ตอนพิเศษ 30 เสือดาวน้อยอยากมีลูกคนที่สอง
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าตัวน้อยเห็นตนเองเปล่งแสง แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนที่ผ่านมา เพราะว่าแสงนี้ไม่ใช่เป็นแค่แสงสีขาว แต่เป็นแสงหลากสีงดงาม
เสี่ยวหรงเยี่ยนตะลึง “อ้ะ” สวยจังเลย…
ทว่าตะลึงก็ส่วนของตะลึง สิ่งนี้ไม่ได้ขัดขวางเขาในการอ้าปากกินข้าวต่อไป เพียงแค่มีสีหน้าเหม่อ ดวงตากลับกำลังเปล่งประกาย และยังร้อง ‘ว้าว’ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ทุกคนขบขันกับท่าทางเหม่อลอยน่าเอ็นดูอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ของเขา แต่ก็ไม่ได้หัวเราะเสียงดังเกินไป เพื่อไม่ให้รบกวนเด็กน้อยที่พลังถูกปลุกตื่น
ใช่แล้ว ทุกคนดูออกว่าเด็กน้อยกำลังปลุกพลังในตัวตื่น
ถึงอย่างไรผู้ที่สามารถนั่งโต๊ะประธานได้ นอกจากจะมีความรู้กว้างขวางและมีสายตาที่ดีแล้ว ยังรู้จักสายเลือดตระกูลหรงเป็นอย่างดี ดังนั้น แม้พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเด็กน้อยครั้งแรก แต่พวกเขาก็รู้ผลลัพธ์
ทว่าหรงอี้ที่กำลังป้อนเด็กน้อยนั้น เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในงานรู้ว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้ไม่มีความกังวลอะไรมากนักในยามปลุกพลังในตัว เพียงแค่อย่าขัดจังหวะเขา เรื่องอื่นๆ ยังคงดำเนินต่อไปได้
หรงมั่วผู้เป็นปู่เห็นดังนั้นรู้สึกอิจฉา “ดูเหมือนจะเลี้ยงง่ายมากเลย”
“จริงเจ้าค่ะ” เยี่ยเชียนหลีคิดเช่นเดียวกัน “เลี้ยงง่ายกว่าอี้เอ๋อร์มากเลย”
หรงมั่วเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาพยักหน้าทันที
จู่ๆ เยี่ยนเชียนหลีกลับประชิดเข้าใกล้ใบหูของเขากระซิบว่า “ดังนั้นแล้วไม่ใช่ทารกทุกคนจะเลี้ยงยากเหมือนอี้เอ๋อร์เสียหน่อย ท่านอยากจะ…”
“ไม่” หรงมั่วที่เดาออกว่าเสือดาวตัวเมียตัวนี้กำลังคิดอะไร เขาปฏิเสธเรื่องที่นางอยากจะพูดถึงทันควัน และปิดกั้นความเป็นไปได้ใดๆ ไว้เด็ดขาด “แม้ไม่ต้องเลี้ยงหรงอี้แล้ว แต่ยังต้องเลี้ยงเจ้าเสือดาว ไม่ว่างหรอก”
เยี่ยเชียนหลี “…”
ว่าแต่ จำเป็นต้องเลี้ยงนางด้วยหรือ
เยี่ยเชียนหลีที่อดกลั้นแล้วอดกลั้นอีกจนสุดท้ายก็กลั้นไม่อยู่พึมพำขึ้นว่า “ข้าไม่ต้องให้ท่านเลี้ยงเสียหน่อย เราเลี้ยงบุตรสาวอีกคนไม่ดีหรือ”
เส้นเลือดบนหน้าผากของหรงมั่วกระตุก เขายื่นมือไปโอบเสือดาวตัวน้อยที่ประชิดเข้ามาใกล้ใบหู สั่งสอนเบาๆ ว่า “เจ้าหมกมุ่นอยู่กับท่านแม่มากจนคิดว่าสามารถให้หลานสาวกับนางได้จริงหรือ”
เยี่ยเชียนหลีรู้สึกคำพูดนี้แปลกๆ “ให้หลานสาวกับนางอะไรกัน ข้าแค่อยากมีบุตรสาวให้ท่าน”
“ฮึ” หรงอี้หัวเราะเบาๆ “บุตรสาวคือสิ่งที่เจ้าอยากมีก็มีได้หรือ”
“ไม่ได้หรอก ก็ยังต้องการความร่วมมือของท่านอย่างไรเล่า” เยี่ยเชียนหลีมองสามีของนางตาปริบ ดวงตาคู่หนึ่งใสราวลูกแก้ว ราวกับเสือดาวจอมเกาะติด สายตาเช่นนั้นของนางเป็นสายตาที่นางใช้มองผู้คนที่เลี้ยงดูนางมาอย่างใกล้ชิด มันเต็มไปด้วยความผูกพัน ความไว้วางใจ และความเปิดเผย
หรงมั่วทนสายตาเช่นนี้ของนางไม่ได้มากที่สุด ทุกครั้งที่เห็น เขาคิดอยากจะกอดนางไว้ในอ้อมแขนและรังแกนางอย่างหนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องใดๆ ของนางได้ภายใต้สายตาเช่นนี้
แต่ว่า… คำพูดไร้สาระอย่างการให้กำเนิดบุตรสาวนี้ จะยอมตกลงง่ายๆ ไม่ได้…
หรงมั่วกอดเสือดาวนุ่มนิ่มที่ประชิดตัวเข้ามา ตอบอย่างแข็งทื่อว่า “เรื่องบุตรสาวน่ะไม่ต้องคิดแล้ว ได้แฝดสามเหมือนน้องชายข้า น่าจะเป็นไปได้มากกว่า ลักษณะของเจ้าและข้าคงจะเป็นประเภทเลี้ยงยาก ไม่ต่างจากอี้เอ๋อร์เท่าไรหรอก เจ้าแน่ใจนะ”
นี่มัน… พยายามเกลี้ยกล่อมให้นางล้มเลิกความคิดจริงๆ เยี่ยเชียนหลีจุกพูดไม่ออก
แม้ท่านอาทั้งสามท่านของนางจะไม่เลว อาเล็กยิ่งเลี้ยงง่าย เพียงแค่ขี้เกียจไปเล็กน้อย แต่อารองของนาง… นางรู้สึกขนหัวลุก
ตอนที่นางกลับเขาพระสุเมรุ อาทั้งสามท่านนี้ยังหนุ่ม อยู่ในวัยที่กำลังซุกซน อาเล็กยังดี อารองและอาสามนี่สิ โดยเฉพาะอารอง ก่อเรื่องได้ทุกวัน ก่อเรื่องใหญ่สามวันครั้ง
อีกทั้งเจ้าเสือดาวน้อยของนางก็อยู่เขาพระสุเมรุในครานั้น เมื่อจอมราชันย์อยู่ด้วยกันและยังมีอาสามที่เต็มไปด้วย ‘แผนการแปลกๆ’ นั้น…
เยี่ยเชียนหลีขนลุกไปหมด “ช่างเถอะๆ…” หากได้บุตรสาวสำเร็จได้ในครั้งเดียว เช่นนั้นย่อมดี แต่หากได้แฝดสาม…
เยี่ยเชียนหลีรู้สึกว่านางอาจจะหัวล้าน ต้องกลั่นหลอมยาปลูกผมตามรอยเท้าท่านย่าของนาง ต้องรู้ว่าท่านย่าผมร่วงไม่หยุดก็เพราะสามแฝดนี้
หรงมั่วเห็นนางล้มเลิกความคิดก็โล่งอกกลับกอดนางแน่นกว่าเดิม ครั้นกำลังจะพูดอะไร เยี่ยเชียนหลีกลับผละออกพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท ปล่อยมือ คนกำลังมองอยู่มากมาย ไม่เหมาะสม”
หรงมั่ว “…”
ตอนที่ประชิดตัวเข้ามาเพราะอยากให้เขาให้ความร่วมมือเรื่องมีลูก เหตุใดจึงคิดไม่ถึงว่าไม่เหมาะสมนะ
พอตอนนี้ไม่อยากมีลูกแล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าไม่เหมาะสมหรือ
ฮึ
หรงมั่วที่หัวเราะเย็นชาในใจย่อมไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ และยังพูดเสียงขรึมว่า “หากขยับอีก ข้าจะอุ้มเจ้าขึ้นมา”
เยี่ยเชียนหลีเบิกตากว้าง “ทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ตอนที่เจ้าอยากคุยกับข้าก็ประจบประแจงเข้ามา ตอนนี้ทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จก็คิดจะถอย ฝันไปเถอะ” หรงมั่วยืนหยัดไม่ปล่อยมือ
เยี่ยเชียนหลี “…”
ฝ่าบาทยังคงคิดเล็กคิดน้อยเช่นเดิม
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนางเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ก่อนเอง
ก็ได้ เยี่ยเชียนหลีนิ่ง คิดในใจว่าถึงอย่างไรทุกคนก็กำลังมองเสี่ยวเป่า คงไม่เป็นอะไรหรอก
น่าเสียดาย…
ความคิดหลอกตนเองเช่นนี้ถูกกล่องวิเศษเปิดโปงอย่างไร้ความปรานี “บอกว่าเจ้าโง่เจ้ายังไม่เชื่อ เจ้าคิดว่าเจ้าสองคนทำแบบนี้จะไม่มีใครเห็นรึ”
“…หุบปาก”
“ยังไม่ยอมฟังคำแนะนำอีก เจ้า…”
“หากพูดอีก จะส่งเจ้าให้เสี่ยวไป๋ ช่วงนี้เจ้าคงอยู่สุขสบายเกินไปสินะ” เยี่ยเชียนหลีคิดในใจ นางเอาองค์ชายบอบบางคนหนึ่งไม่อยู่ แล้วจะเอากล่องใบหนึ่งไม่อยู่ด้วยหรือ
กล่องวิเศษเงียบทันที ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม ช่วงที่ผ่านมานี้มันซ่อนตัวเองไว้อย่างมิดชิด ไม่เคยออกมาเลย เพราะกลัวเจ้าเหมียวบางตัว
หากไม่ใช่เช่นนี้ มันคงออกมาเล่นกับลูกของลูกพี่นานแล้ว เป็นเพราะเจ้าเหมียวตัวนั้นแท้ๆ
ฮึ
กล่องวิเศษยิ่งคิดยิ่งโมโห กระทั่งคิดอย่างโหดร้ายว่า หากครั้งหน้าเจ้าเหมียวตัวนั้นตายอีกครั้ง มันจะไม่ช่วยอธิษฐานอีก ขอเพียงให้เจ้าเหมียวไปยิ่งเร็วยิ่งดี จะได้คืนความอิสระให้แก่มัน
กล่องวิเศษไม่กลัวฟ้ากลัวดินที่มีหนึ่งเดียวในโลก บัดนี้กลับไม่กล้าเห็นแสงตะวันเพราะความคับข้องใจ ช่างน่าโมโหจริงๆ
แต่ไม่ว่ามันจะโมโหเพียงใด เจ้าเหมียวสีขาวตัวน้อยที่มัน ‘กลัว’ มีความสุขกับชีวิตช่วงนี้มาก มันกำลังอยู่บนศีรษะของฝูเหอ อยู่กับเหมียวเทียนจีตัวเมียตัวนั้น
ฝูเหอมองเด็กน้อยตรงหน้า แต่ได้ยินเสียงร้อง ‘เหมียวๆ’ ของเจ้าเหมียวสีขาวที่พยายามเอาใจเจ้าเหมียวเทียนจีเป็นครั้งคราว เสียงนั้นประจบสอพลอ ไม่มีเกียรติศักดิ์ ทำเอาคนต้องเหลือบมอง
อินหลิวเฟิงที่อยู่ข้างๆ คอยสังเกตนานแล้ว ในที่สุดก็อดถามไม่ได้ว่า “สหายฝู เสี่ยวไป๋ติดสัดหรืออย่างไร”
ใบหน้าสง่างามของฝูเหอแข็งทื่อ พัดบังไว้ข้างๆ ปากเพื่อปกปิดปากที่กำลังกระตุก รู้สึกเขินอาย ก่อนจะตอบอย่างอ่อนโยนว่า “เสี่ยวไป๋นิสัยเช่นนี้อยู่แล้ว สหายอินคงจะไม่ค่อยเห็น”
“จริงหรือ” อินหลิวเฟิงทำหน้า ‘เจ้าอย่าโกหกข้าเพราะข้าเรียนมาน้อย’ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเสี่ยวไป๋เสียหน่อย เขาไม่เคยเห็นท่าทีประจบสอพลอและไร้เกียรติเช่นนั้นเลย
ในอดีต เขาคิดว่าเจ้าเหมียวตัวนี้น่ารักดี ทั้งร่าเริงและสดใส คิดไม่ถึงว่า… เจ้าเหมียวตัวนี้ไร้ยางอายเช่นนี้ เพียงเพื่ออยากจะแตะต้องเจ้าเหมียวตัวเมีย
อินหลิวเฟิงยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าสมแล้วที่เป็นแมวของต้าซือมิ่ง เรื่องอื่นขอไม่พูด แค่ครานั้นที่ต้าซือมิ่งต้องการจีบนายท่านติด เขายอมทำทุกอย่างอย่างไร้ยางอายจริงๆ
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือ เจ้าเหมียวตัวนี้ทำโจ่งแจ้งเกินไป ผู้อื่นเห็นหมด ส่วนต้าซือมิ่งจะทำอย่างลับๆ อีกทั้งด้วยใบหน้าและความสง่างามของเขา ดูแล้วก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าเขาไร้ยางอายเท่าไร
“จึ๊” อินหลิวเฟิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกปลง สายตาที่เขามองเสี่ยวไป๋เต็มไปด้วยความชื่นชมมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกำลัง ‘แหงนมองเบื้องสูง’
ฝูเหอก็… ยิ่งทำตัวไม่ถูก เพราะว่าเสี่ยวไป๋อยู่บนไหล่ของเขา อินหลิวเฟิงมองมาแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าสหายน้อยที่มาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าท่านนี้กำลัง ‘มองเขา’ ราวกับว่าเขาไร้ยางอายมาก แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น น่ากระอักกระอ่วนจริงๆ…
อาจจะเป็นเพราะสีหน้าของฝูเหอฝืนธรรมชาติและกระอักกระอ่วนเกินไป ทำเอากู้จื่อเฟิงที่อยู่ตรงข้ามเขาจู่ๆ เอ่ยปากถามว่า “ท่านทั้งสองกำลังคุยอะไรกันหรือ” สีหน้าแปลกประหลาดเช่นนี้
เนื่องจากว่าสิ่งที่อินหลิวเฟิงถามไม่ใช่เรื่องดีอะไร เขาจึงปิดกั้นคนข้างนอกไว้ (โดยเฉพาะเสี่ยวไป๋) ดังนั้นบทสนทนาของเขาและฝูเหอมีเพียงพวกเขาสองคนได้ยิน
ครานี้เมื่อถูกอินหลิวเฟิงถาม…
ไม่ว่าจะเป็นฝูเหอหรืออินหลิวเฟิงล้วนตอบพร้อมกันว่า “ไม่มีอะไร”
เดิมทีกู้จื่อเฟิงไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่สงสัยในความสนิทสนมของทั้งสอง เหตุใดจึงกระซิบกระซาบกันได้ แต่ทันทีที่ทั้งสองตอบพร้อมกันว่า ‘ไม่มีอะไร’ ก็ยิ่งทำให้เขาอดคิดมากไม่ได้ “อ้อ”
เอ้อร์เหมาที่อยู่ข้างๆ ดูถึงตรงนี้ก็ร้อนรน “นายน้อย จริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังนี่ ชุนซิ่นจวินถามท่าน เหตุใดท่านจึงไม่ชี้แจงสักเล็กน้อยเล่า” กลัวจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่
อินหลิวเฟิงชะงัก “ชี้แจงอะไร”
ฝูเหอเองก็งุนงง อีกทั้งเขายังยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนด้วย เหตุใดรู้สึกเหมือนกับว่าเขาและสหายน้อยจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าท่านนี้คุยเรื่องน่าละอายนะ
แม้เขาจะทำนายมามากมายก็ไม่สามารถเข้าใจความคิดแปลกๆ ของเอ้อร์เหมาได้ ย่อมยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงเกิดความรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างไม่มีสาเหตุเช่นนี้ รู้สึกเพียงว่าเจ้านายและลูกน้องคู่นี้และสหายน้อยตรงข้ามท่านนี้แปลกคนจริงๆ
ทว่าเอ้อร์เหมาในครานี้ยังดึงดันพูดขึ้นว่า “บอกว่าท่านคุยอะไรคุณชายฝูท่านนี้ไง หรือท่านมีอะไรต้องปิดบังชุนซิ่นจวินหรือ”
ฝูเหอ “…”
เขาผู้เฉลียวฉลาดเลื่อนที่นั่งของตนเองไปทางซีหวังหมู่ทันที ที่แท้แล้ว… สหายน้อยสกุลอินคนนี้ชอบผู้ชาย
แม่เจ้า
รู้อย่างนี้แต่แรกคงไม่นั่งกับเขา คราวนี้เล่าดี จะเปลี่ยนที่นั่งก็คงดูไม่ดี ไม่เปลี่ยนที่นั่งก็กลัวถูกแทะโลม ยากจริงๆ…
ฝูเหอบังใบหน้างดงามของตนเองด้วยพัด กลัวจะถูกอินหลิวเฟิง ‘แอบมอง’ และเริ่มคุยกับซีหวังหมู่ที่อยู่ข้างๆ ทว่า…
วันนี้คงจะเป็นวันที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับฝูเหอเท่าไรนัก เพราะว่าจิ่วอิงที่เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกดันกลับมาพอดี มันกลับมาถึงในเวลานี้
อีกทั้งจิ่วอิงที่แอบกลับมา มันเห็นฝูเหอกำลังประชิดตัวเข้าไปกระซิบข้างหูซีหวังหมู่ ทั้งใกล้ชิดและขวางตา ทำให้มันโมโหมาก จิ่วอิงจึงเข้ามาตบไหล่ของฝูเหอทีหนึ่ง “เสี่ยวจีจื่อ ทำอะไรของเจ้าน่ะ”
ฝูเหอไม่ทันสังเกตเห็นจิ่วอิง เดิมทีก็ตกใจอยู่แล้ว เมื่อถูกตบเช่นนี้อีก ร่างกายความเป็น ‘ไก่อ่อน’ รับไม่ไหวจริงๆ “ปู่จิ่ว ท่านอยากตบร่างข้าให้เละหรืออย่างไร”
“เกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นจื่อซีที่ถูกดึงดูดความสนใจถามขึ้น มือข้างหนึ่งปิดกั้นเสียงของทางนี้ไว้ เด็กน้อยจะได้ไม่ถูกรบกวน
จิ่วอิงจึงนั่งลงข้างฝูเหออย่างขี้ขลาด เบียดฝูเหอไปทางอินหลิวเฟิง มันจึงอยู่ใกล้ชิดกับซีหวังหมู่มาก
ฝูเหอถูกมันเบียดอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำเอามันเกือบล้ม ‘โชคดี’ ที่อินหลิวเฟิงตาไวประคองเขาไว้ “สหายฝูระวังหน่อย”
ฝูเหอ “…”
เขามองแขนที่อินหลิวเฟิงประคองไว้แน่น ใบหน้าซีดเผือด คิดในใจว่าสหายจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคนนี้แอบมองเขาอยู่จริงๆ ด้วย นี่ถึงกับลงไม้ลงมือแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฝูเหอรีบชักมือกลับ พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่เป็นไร หรือไม่ข้าเปลี่ยนที่นั่งกับสหายกู้ดีกว่า”
เอ้อร์เหมาพยักหน้าทันที “เยี่ยม”
กู้จื่อเฟิง “เยี่ยมบ้าบออะไร”
อินหลิวเฟิงก็ไม่ค่อยเข้าใจ “นั่นน่ะสิ ดีอะไรกัน นั่งแบบนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ สหายฝู เหตุใดเจ้าอยากเปลี่ยนที่เล่า” ท่าทางประจบสอพลอนั่นของเสี่ยวไป๋ เขายังดูไม่พอเลย
อินหลิวเฟิงที่คิดเช่นนี้ยังคงมองไปบนไหล่ของฝูเหอ เจ้าเหมียวสีขาวยังคงจีบเหมียวเทียนจีอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
ก่อนหน้านี้ฝูเหอคิดมาตลอดว่าอินหลิวเฟิงกำลังดูเสี่ยวไป๋อยู่จริงๆ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดเช่นนั้นแล้ว รู้สึกขนลุกอย่างเดียว แต่จะแตกคอกับเขาเลยก็ไม่ดี ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกน้องของคุณหนู คนที่อยู่ตรงข้ามก็เป็นลูกน้องของหลานสะใภ้คุณหนู ความสัมพันธ์ซับซ้อนเกินไป
เมื่อเป็นเช่นนี้… ครั้นฝูเหอกำลังจะกระแอมสองสามทีเพื่อหาข้ออ้างออกจากที่นี่ อวิ๋นจื่อซีกลับเดินเข้ามาเอง “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน”
“มะ ไม่มีอะไร” จิ่วอิงรีบตอบ “ข้าแค่นั่งกับเสี่ยวจีจื่อเท่านั้น ไม่มีเจอหลายปี คิดถึงมาก”
“พอเถอะ” อวิ๋นจื่อซีดูก็รู้ว่าจิ่วอิงกำลังพูดโกหก “เจ้าไม่รังแกเสี่ยวจีจื่อถือว่าดีมากแล้ว ยังคิดถึงมากหรือ”
“ข้าจะรังแกเสี่ยวจีจื่อได้อย่างไร ไม่มีทางหรอก” จิ่วอิงปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด และยังพูดกับซีหวังหมู่ข้างๆว่า “เสี่ยวจีจื่อเป็นสหายเก่าของปู่จิ่ว ทั้งขี้โรคและอ่อนแอ ข้าไม่รังแกเขาหรอก”
“เกี่ยวอะไรกับข้า” ซีหวังหมู่สงสัย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
ฝูเหอกลับไอ ‘แค่กๆ’ อย่างว่องไว ท่าทางเหมือนอ่อนแอมาก “คุณหนู ช่วงนี้ข้าน้อยทำนายเรื่องราวมากมาย รู้สึกไม่ค่อยสบาย ข้าน้อยขอกลับไปปรับลมปราณ ประเดี๋ยวค่อยมาดูท่านเสี่ยวเป่า”
อวิ๋นจื่อซีได้ยินดังนั้นก็มองจิ่วอิงทันที “เจ้ารังแกเสี่ยวจีจื่อจริงๆ ด้วย”
“ที่ไหนกัน” จิ่วอิงรู้สึกถูกปรักปรำ “ข้าแค่เบียดเขานิดเดียว นายหญิงท่านจะกล่าวหาว่าข้าน้อยเป็นคนร้ายเพียงเพราะหน้าตาดุดันของข้าน้อยไม่ได้นะ คนที่ร้ายคือเสี่ยวจีจื่อมากกว่า เขาเข้าหาซีหวังหมู่ลับหลังข้า”
ฝูเหอ “…” อะไรกันน่ะ
วันนี้เขาตกอยู่ในกลุ่มคนแปลกประหลาดแบบไหนกันนะ?
ฝูเหอปวดศีรษะคิดอยากจะออกจากที่นี่อย่างเดียว อินหลิวเฟิงกลับพูดแทรกขึ้นว่า “ฮูหยินซี หรือไม่ให้ข้าพาสหายฝูไปพัก ข้าคุ้นเคยที่นี่ดี”
“มิต้อง” ฝูเหอปฏิเสธทันควัน “ข้ารู้สึกว่าข้าหายแล้ว คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วง”
แม้อวิ๋นจื่อซีจะมีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำเพียงใดก็ต้องรู้สึกได้ว่าพวกเขาแปลกพิกลมากจริงๆ ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด หรงหวงที่อยู่ทางฝั่งนั้นก็เดินมาทางนาง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ทันทีที่เขามา เสี่ยวไป๋หดตัว มันหยุดจีบสาวทันทีและยังรีบกระโดดกลับไปบนไหล่ของอวิ๋นจื่อซี ร้องเสียง ‘เหมียว’ อย่างประจบประแจง บอกว่าตนเองเป็นเด็กดีมาก
อวิ๋นจื่อซีพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร เรากลับไปนั่งกันเถอะ” คนและอสูรพิกลพวกนี้ นางไม่อยากสนแล้ว
หรงหวงจึงจูงมือภรรยากลับไปนั่งอย่างพึงพอใจ ท่าทางเหมือนไม่สามารถห่างจากภรรยาได้แม้แต่วินาทีเดียวเลยจริงๆ…