กู้หยวนเหิงไม่คาดคิดว่าอินหลิวเฟิงจะถามถึงเค้าเงื่อนของต้าซือมิ่งของราชสํานักกับเขา จึงตกตะลึงกับคำถามอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วไม่นานก็ตอบกลับ “ข้าน้อยไม่เคยทราบข่าวนี้มาก่อนขอรับ และ…”
กู้หยวนเหิงชะงัก กล่าวออกมาอย่างเสียมิได้ว่า “บุคคลสำคัญเช่นต้าซือมิ่ง จะมาเขตชางอู๋ได้อย่างไร” จากทั้งหมดเจ็ดสำนักในต้าซย่า สำนักชางอู๋เป็นสำนักที่เกือบจะอยู่ลำดับสุดท้าย ซ้ำร้ายยังตั้งอยู่บนชายแดนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของต้าซย่า อยู่ห่างไกลเมืองหลวงนัก
“อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้” อินหลิวเฟิงเองก็ทราบดีว่าตามหลักแล้วต้าซือมิ่งของราชสำนักผู้ลึกลับท่านนั้นไม่น่าจะมาเขตชางอู๋ แต่เขาได้รับข้อมูลคล้ายว่าจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่เขาสืบหามาโดยตลอด กลับไม่พบร่องรอยใดๆ ดังนั้นเขาจึงลองเสี่ยงถามดู
“ซวงเสวียนจวินมีเรื่องสำคัญจึงตามหาต้าซือมิ่งหรือ” กู้หยวนเหิงถามอีกครั้ง
“ไม่ผิด” อินหลิวเฟิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “หลายปีมานี้ เมืองโยวตูของข้าเกิดอุทกภัยรุนแรงเป็นพิเศษ นักพรตยังทํานายว่าปีหน้าจะเกิดอุทกภัยร้ายแรงกว่านี้มากนัก จึงต้องการเชิญต้าซือมิ่งออกมาจากสถานที่เก็บตัว เพื่อบรรเทาภัยพิบัติให้กับเมืองโยวตูของเรา”
“เรื่องของปีหน้ายังไม่นับเป็นเรื่องเร่งด่วนอะไร เมื่อถึงช่วงฤดูตระเตรียมดินสำหรับเพาะปลูก ต้าซือมิ่งย่อมต้องปรากฏตัวขึ้นในราชสำนักเป็นแน่ เมื่อวาระนั้นมาถึงซวงเสวียนจวินท่านค่อยไปขอร้องอีกครั้งเถิดขอรับ” กู้หยวนเหิงกล่าวแนะนํา
“แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่นักพรตทุกคนต่างบอกว่าเหตุอุทกภัยในปีหน้านั้นน่าหวั่นวิตกมากนัก จึงต้องการเชิญต้าซือมิ่งมาตรวจดวงชะตาเสียก่อน เกรงว่าจะเป็นภัยลุกลามไปถึงตี้ชิว” อินหลิวเฟิงถอนหายใจอย่างเคร่งขรึม
สีหน้าของกู้หยวนเหิงก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น “ถึงกับลุกลามไปถึงตี้ชิวเชียวหรือ” พระราชวังสร้างขึ้นที่ตี้ชิว จึงกล่าวได้ว่าความพินาศนี้จะไปถึงพระราชวัง!? นี่มัน… “ถ้าเช่นนั้นก็จัดการยากจริงๆ ต้องรีบไปรายงานเรื่องนี้ให้ต้าซือมิ่งทราบด่วน องค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องนี้หรือยังขอรับ?”
“ท่านพ่อข้าได้ชี้แจงขึ้นไปแล้ว แต่…” ข้อความต่อจากนั้นอินหลิวเฟิงไม่ได้พูดต่อ
กู้หยวนเหิงเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งแล้ว เหล่าขุนนางต่างรู้ดี แม้ว่าองค์จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะทรงพระปรีชาสามารถ และมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ทว่าค่อนข้างอวดตนว่าเป็นคนวิเศษ ครั้งหนึ่งเคยล่วงเกินต้าซือมิ่ง เป็นเหตุให้ต้าซือมิ่งถึงกับสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากงานเลี้ยงในวังหลวง จากนั้นก็ไม่สนใจไยดีราชสำนักอีกเลย
แน่นอนว่าสิ่งที่ขุนนางจดจําได้มากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ องค์จักรพรรดิไม่ได้พยายาม ‘เหนี่ยวรั้ง’ ต้าซือมิ่งไว้ กระทั่งคิดจะฉวยโอกาสนี้ยึดอํานาจที่ต้าซือมิ่งถือครอง หากแต่…
องค์จักรพรรดิล้มเหลว!
จักรพรรดิหยวนคังได้ส่งกองกำลังอันแข็งแกร่งสูงสุดของราชสํานักออกไป ทว่าหาได้สัมผัสแม้กระทั่งชายเสื้อของต้าซือมิ่งผู้นั้นไม่…
นับแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างราชสํานักกับต้าซือมิ่งพลันหยุดชะงัก หากมิใช่เพราะต้าซือมิ่งไม่เห็นอำนาจจักรพรรดิอยู่ในสายตา เกรงว่าผู้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิคงจะเปลี่ยนไปแล้ว
เหล่าบรรดาโหวและขุนนางที่ร่วมงานเลี้ยงในเวลานั้น ล้วนได้รับคําสั่งให้ปิดปากให้สนิท แม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็น ‘มวลชนผู้มุงดู’ ก็ตาม จากการเปลี่ยนแปลงของดวงดาราบนท้องฟ้าในราชสํานักในเวลานั้น ต่างพอจะคาดเดาถึงสายสนกลในกันได้บ้าง ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า ณ เวลานั้นได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แม้กระทั่งอินหลิวเฟิง เขาก็ไม่สามารถทราบข้อมูลอันชัดเจนจากบิดาได้เช่นกัน รู้เพียงว่าต้าซือมิ่งนั้นแข็งแกร่งจนน่าเกรงกลัว! แม้ว่าจักรพรรดิหยวนคังจะทรงพระปรีชาสามารถ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังด้อยกว่าเขาอีกขั้นอยู่ดี
เพียงแต่…
“มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่มีช่องทางที่จะติดต่อกับต้าซือมิ่ง” กู้หยวนเหิงค่อนข้างเห็นใจอินหลิวเฟิง รวมถึงเมืองโยวตูด้วย อย่างไรเสียก็เป็นการยากที่จะให้จักรพรรดิหยวนคังผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะและมีแผนการอันล้ำลึกต้องก้มศีรษะให้ก่อน เกรงว่าจักรพรรดิจะทรงเต็มใจย้ายเมืองหลวงเสียดีกว่าต้องทำเช่นนั้น
อินหลิวเฟิงเข้าใจในเรื่องนี้ดี เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น “ดังนั้นท่านพ่อข้าจึงให้ข้ามาตามหาเขา ช่างน่าสังเวชใจเหลือเกิน เมืองโยวตูอันรุ่งเรืองที่ผ่านมา จะต้องมาจบสิ้นเสียแล้ว แต่การได้มาพบกับแม่นางจื่ออวี๋ ก็นับว่าไม่เสียเที่ยวเท่าไหร่นัก!”
“…พวกท่านรู้จักกันอยู่ก่อนแล้วหรือ” สีหน้าของกู้หยวนเหิงดูไม่ดีนัก อันที่จริงสีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว เหตุเพราะการลงไม้ลงมือที่ไม่นานมานี้ เยี่ยนชิงลงมืออย่างไม่ปรานี เมื่อเพ่งพินิจดูให้ดีก็จะเห็นว่าใบหน้าของเขาค่อนข้างบวม นี่ขนาดว่าใช้ยาที่มีสรรพคุณวิเศษแล้ว
“ใช่ ระหว่างที่ข้าเดินทางจากเมืองโยวตูมา ครั้งหนึ่งเคยเจอกับแม่นางจื่ออวี๋ที่นอกเมืองเต๋อหยาง” แต่เยี่ยนจื่ออวี๋ในเวลานั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพิศวงเช่นนี้ อินหลิวเฟิงรำพึงในใจ
แต่อินหลิวเฟิงจะไม่มีทางรู้เลย ภายหลังจากที่เขาเยื้องกรายผ่านไปไม่นาน เยี่ยนจื่ออวี๋ก็ถูกซุ่มโจมตี หลังจากนั้นเยี่ยนอวี๋จึงฟื้นขึ้นแทน
อย่างไรก็ตามคําตอบของอินหลิวเฟิงทําให้กู้หยวนเหิงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “เป็นเช่นนี้นี่เอง” โชคดีที่อินหลิวเฟิงก็ไม่ใช่พ่อของเด็กนั่น!
เดิมทีกู้หยวนเหิงกังวลมากว่าอินหลิวเฟิงจะเป็นพ่อของเด็กคนนั้น! เพราะถึงแม้ว่าข่าวลือภายนอกจะบอกว่าเขา…กู้หยวนเหิงจะเป็นพ่อของเด็กก็ตาม แต่ตัวเขาเองรู้ดีว่าไม่ใช่
ขณะที่กู้หยวนเหิงเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็ได้ยินอินหลิวเฟิงพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าข้ากับแม่นางจื่ออวี๋จะมีวาสนาต่อกัน แต่ข้าได้ยินมาว่าชีหลาง เจ้าก็พึงใจแม่นางจื่ออวี๋อยู่เช่นกัน ดูท่าพวกเราคงจะได้สู้กันอย่างยุติธรรมแล้วล่ะ”
“…ใช่แล้วล่ะ” กู้หยวนเหิงตอบอย่างแข็งขัน แต่ในใจกลับรู้สึกขมขื่นเหลือประมาณ ทว่าเขายังเชื่ออย่างแน่วแน่! เขามั่นใจว่าเยี่ยนจื่ออวี๋ยังคงชอบเขาอยู่ เพียงแต่นางยังเข้าใจเขาผิดอยู่เท่านั้น ตราบใดที่เขาไปอธิบายให้นางเข้าใจด้วยตัวเอง ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่
จากนั้นอินหลิวเฟิงก็สนทนาปราศรัยอีกไม่กี่คำ แล้วจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ
หลังจากที่กู้หยวนเหิงออกไปส่งอินหลิวเฟิง เขาสั่งพ่อบ้านทันทีว่า “ส่งสาส์นไปหาเยี่ยนซูซู บอกนางว่าเมื่อใดที่นางสามารถจัดการให้ข้าได้พบกับจื่ออวี๋ได้ นางจะได้ทุกอย่างที่นางปรารถนา”
“ขอรับ นายน้อย” พ่อบ้านรับคําสั่งแล้วจากไป
กู้หยวนเหิงยืนแกร่วอยู่นอกเรือนจ่างสื่ออยู่เป็นเวลานาน สายตาของเขาเหม่อมองไปยังสำนักชางอู๋โดยไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจ เหตุใดนางถึงไม่ยินยอมแล้วล่ะ
น้องจื่ออวี๋ เจ้าเป็นอะไรไป กู้หยวนเหิงคิดไม่ตก แต่เขาทราบว่ารถม้าสองคันนั้นเป็นรถม้าที่มาจากราชสำนัก ทั้งยังเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของสำนักหมอหลวงสูเจิ้งด้วย!
หลายคนไม่ทราบว่าหนึ่งในสิบแปดของยานพาหนะวิหคสุริยัน มีหนึ่งคันที่จักรพรรดิหยวนคังประทานให้แก่สำนักหมอหลวงสูเจิ้ง ทว่ากู้หยวนเหิงกลับทราบดี แม้ว่าเขารู้เรื่องนี้โดยบังเอิญ แต่ข่าวที่ได้รับมาก็น่าเชื่อถือมากเช่นกัน