“อะเนะ!” เจ้าตัวน้อยกลับแสดงอาการระแวดระวัง ดวงตาแป๋วอันเป็นสีดำมันระยับจ้องเขม็ง “อะเนะเนะ…” ไม่อยากกินข้าวกับเจ้าหรอก
“เสี่ยวเป่าอยากไปหรือ” เยี่ยนอวี๋คิดว่าลูกต้องการไป
เจ้าตัวน้อยอยากจะส่ายศีรษะทันที แต่น่าเสียดายที่กระดูกสันหลังของเขายังไม่แข็งแรงดี การแสดงออกจึงเหมือนการเอี้ยวคอ “อะเนะเนะ…”
โชคดีที่เยี่ยนอวี๋เข้าใจความหมายของเขา จึงปฏิเสธอินหลิวเฟิง “เสี่ยวเป่าไม่ไป”
อินหลิวเฟิง “…”
“ไปเถิด” เยี่ยนจื่อเสากลับพูดขึ้นมา จากนั้นเขาก็รับหมัดจากบิดาอย่างไม่รู้สึกประหลาดใจ!
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เยี่ยนชิงต่อยบุตรชายเสร็จ เขาก็กล่าวอย่างเห็นด้วยว่า “ไปเถิด เจ้าสุนัขกู้หยวนเหิงจะได้เลิกมาเกาะแกะเสียที ให้เขารู้ถึงความยากแล้วยอมถอยก็ดีเหมือนกัน”
“พวกท่านพูดเช่นนี้ต่อหน้าข้า นึกถึงจิตใจกันบ้างหรือไม่” อินหลิวเฟิงสับสน ครอบครัวนี้ต้องเป็นชนเผ่าพิสดารแน่นอน!
เยี่ยนจื่อเสาถามกลับแกมบังคับ “หรือว่าซวงเสวียนจวินท่านไม่ยินยอม?”
“…มิกล้า” อินหลิวเฟิงรู้ว่าถ้าเขาแสดงความไม่พอใจ เขาจะไม่ได้เจอนางอย่างแน่นอน
“ช่างเถิดเจ้าค่ะ เสี่ยวเป่าไม่ยินยอม” เยี่ยนอวี๋กล่าว
อินหลิวเฟิง “…”
“อะเนะเนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าแสดงท่าทางลิงโลดอย่างมีความสุข มิหนำซ้ำยังชูมือเล็กอันอวบอ้วนขึ้น เขาอยากกอดท่านแม่คนงามของตนนัก
เยี่ยนอวี๋หอมเจ้าตัวน้อย “ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาเสี่ยวเป่ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
“เอ๊ะ?” อินหลิวเฟิงเศร้าใจ ยังคิดจะช่วงชิงโอกาสอีกครา
แต่เยี่ยนชิงชิงพูดขึ้นก่อน “ก็จริง สภาพอากาศเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะให้เสี่ยวเป่าออกไปข้างนอก ถ้าอย่างไร รอให้อากาศดีกว่านี้ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน”
“…เช่นนั้นก็ได้” แม้ว่าอินหลิวเฟิงจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ
ด้วยเหตุนี้อินหลิวเฟิงที่ต้องกลับไปอย่างไม่ประสบความสําเร็จ จึงถูกเยี่ยนจื่อเสาส่งออกจากสำนักชางอู๋อย่างรวดเร็ว
“นายน้อย เป็นเช่นไรบ้างขอรับ” องครักษ์นายหนึ่งวิ่งเข้ามาสอบถามด้วยความดีใจ
“หึ” อินหลิวเฟิงยิ้มบางๆ
องครักษ์แห่งเมืองโยวตูนายนั้นยิ่งดีใจจนตัวลอย “ข้าน้อยรู้! ไม่มีหญิงสาวคนใดที่ท่านเอามาไม่ได้”
มุมปากของอินหลิวเฟิงกระตุก และเตะองครักษ์จนกระเด็นในครั้งเดียว ทว่าตนกลับมองย้อนกลับไปยังส่วนลึกของสำนักชางอู๋ ถ้าสัมผัสไม่ผิดล่ะก็ เกรงว่าต้าซือมิ่งจะอยู่ในสำนักชางอู๋จริงๆ
แต่เหตุใดเขาจึงอยู่ในสำนักชางอู๋ล่ะ
เป็นเพราะปรมาจารย์วิญญาณของสำนักชางอู๋อย่างนั้นหรือ
อินหลิวเฟิงไม่แน่ใจ
แต่เขารู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้ของเขาคุ้มค่า ไม่แน่ เขาไม่เพียงจะสามารถจัดการกับเรื่องสําคัญของตระกูลได้เท่านั้น แต่อาจได้แต่งภรรยาผู้ไม่ธรรมดากลับไปอย่างราบรื่นด้วยก็เป็นได้
…
ในเรือนด้านหลังของหอเจ้าสำนัก หลังจากที่เยี่ยนเสี่ยวเป่ากินเสร็จแล้วหลับไป เยี่ยนอวี๋ก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านพ่อ ท่านช่วยพาข้าไปยังสถานที่ที่เปล่งแสงตลอดเวลาได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เปล่งแสง?” ครั้งแรกที่ได้ยินเยี่ยนชิงก็งุนงง ต่อมาจึงเข้าใจและพูดว่า “ได้อยู่แล้ว”
“ท่านพ่อ?” เยี่ยนจื่อเสาที่เข้าใจ รู้สึกแปลกใจ “สถานที่ของปรมาจารย์วิญญาณ เกรงว่าท่านจะพาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เข้าไปตามอำเภอใจไม่ได้กระมัง?”
เป็นเช่นนั้นจริง
แต่เยี่ยนชิงรู้ว่าปรมาจารย์วิญญาณก็อยากพบบุตรสาวสุดที่รักของเขาเช่นกัน
ในฐานะเจ้าสำนัก ไม่มีใครรู้จักปรมาจารย์วิญญาณได้ดีไปกว่าเขาแล้ว และเขาสามารถรับรู้ได้จากเมื่อคืนแล้วว่าปรมาจารย์วิญญาณและเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มีบางอย่างที่ ‘เชื่อมต่อกัน’
ดังนั้นเยี่ยนชิงจึงไม่ใส่ใจกับบุตรชายคนรอง และถามบุตรสาวต่อว่า “เจ้าอยากไปเมื่อใดล่ะ”
“เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋ตอบ
“ใจร้อนขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยนชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าอยากไปด้วยตัวเอง หรือปรมาจารย์วิญญาณเรียกหาเจ้าล่ะ?”
“เรียกหา?” เยี่ยนจื่ออวี๋ขมวดคิ้ว แอบนึกถึงต้นอู๋ถงแก่ที่กําลังจะตาย มีหรือที่จะมีความอาจหาญเช่นนี้ แล้วนึกถึงคำที่เยี่ยนชิงใช้เรียก ‘ปรมาจารย์วิญญาณ’ จึงพูดเนิบๆ ว่า “ข้าต้องการไปเองเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? น้องเล็ก เจ้าช่วยพูดให้ชัดเจนกว่านี้ได้หรือไม่ เหตุใดพี่รองถึงไม่เข้าใจ” เยี่ยนจื่อเสารู้สึกสับสน แต่เขาสังเกตเห็นได้ว่า เหมือนว่าท่านพ่อจะรู้ทุกอย่าง ดังนั้นเขาจึงอยากจะรู้ด้วย! จะให้ท่านพ่อกับน้องเล็กมีความลับกันอยู่สองคนไม่ได้
เยี่ยนอวี๋ไม่คิดจะปิดบัง “พลังปราณของข้ายังอ่อนแออยู่ ปรมาจารย์วิญญาณสามารถช่วยฟื้นฟู เอ่อ เลื่อนขั้นให้ข้าได้ ข้าถึงจะสามารถช่วยถอนพิษที่อยู่ในตัวพี่รองได้”
“อ่อนแอ?” เยี่ยนชิงเบิกตากว้าง สีหน้าประหลาดใจ “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ หากพ่อจำไม่ผิด ขอบเขตพลังปราณของเจ้าในตอนนี้ อย่างต่ำที่สุดก็อยู่ในขั้นสุวรรณชาด สามารถหลอมรวมไข่มุกวิญญาณได้แล้วมิใช่หรือ”
เยี่ยนอวี๋ไม่คิดว่าบิดาผู้เอ็นดูลูกสาวดุจดั่งเจ้าหญิงจะปราดเปรื่องเช่นนี้ และพูดได้เพียงว่า “สถานการณ์ของข้าออกจะพิเศษไปหน่อย แม้ว่าข้าจะสั่งสมพลังปราณจนถึงขั้นสุวรรณชาดแล้ว แต่ก็ยังหลอมรวมไข่มุกไม่ได้ ท่านพ่อต่างหาก ควรไปเก็บตัวฝึกฝนได้แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก” เยี่ยนชิงโบกมือพลางกล่าวว่า “รอคลี่คลายปัญหาพี่รองของเจ้าให้ได้ก่อน พ่อค่อยเก็บตัว มิเช่นนั้นจะหมดห่วงเจ้าได้อย่างใร”
“ประเดี๋ยว เดี๋ยวนะ…” เยี่ยนจื่อเสารู้สึกว่าในที่สุดเขาก็เข้าใจประเด็นนี้แล้ว “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เจ้าเป็นนักปรุงยาขั้นสุวรรณชาดแล้วกระนั้นหรือ!”
ให้ตายเถอะ…
เยี่ยนจื่อเสารู้สึกว่าเหมือนสติพังทลาย
อย่างที่รู้กันดี นักปรุงยาขั้นสุวรรณชาดเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสุวรรณชาด เพราะต่างก็เป็นยอดฝีมือเหมือนกัน!
นอกเหนือจากผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่ว่าผู้ฝึกฝนสาขาใด ต่างก็ต้องผ่านการฝึกฌานขั้นพื้นฐานเก้าขั้นเสียก่อน จากนั้นต้องข้ามผ่านแก่นวิญญาณเก้าขั้น ต่อมาจึงจะเป็นขั้นปฐมภูมิ และสุดท้ายถึงจะอยู่ในขั้นสุวรรณชาดได้!
ทว่าตอนที่เขาจากสำนักไปเมื่อหนึ่งปีก่อน น้องเล็กผู้น่ารักของเขายังไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ เช่นนั้นก็หมายความว่า! ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา น้องเล็กผู้อ่อนแอของเขาได้กระโดดข้ามถึงสี่ขั้น กลายเป็นนักปรุงยาที่อยู่ในขั้นสุวรรณชาดแล้วหรือ!
เอ่อ…
“ท่านพ่อ! คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง” เยี่ยนจื่อเสาเริ่มกังขาในพรสวรรค์ของตัวเอง และสงสัยความสามารถของตัวเองในการปกป้องน้องสาวเหลือเกิน
เพราะจนถึงตอนนี้เขายังเป็นเพียงผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ที่อัญเชิญอสูรศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุวรรณชาดได้เท่านั้น! อย่าว่าแต่ความแข็งแกร่งของน้องสาวจะตามทันตัวเองอยู่แล้วเลย แม้แต่อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญออกมาก็ไม่มีประโยชน์มากนัก
ถึงอย่างไร
ตัวน้องเล็กเองก็สามารถจัดการศัตรูที่อยู่ในขั้นสุวรรณชาดได้อยู่แล้ว!
“…” เยี่ยนจื่อเสารู้สึกว่าชีวิตหม่นหมอง เขาช่างไร้ประโยชน์!
ครั้นยามที่เยี่ยนอวี๋เหลือบสายตาไปเห็นแววตาละห้อยหมดอาลัยตายอยากอย่างเยี่ยนจื่อเสา นางเหนื่อยใจที่จะปลอบใจพี่คนนี้นัก “พี่รอง…”
ทว่าเยี่ยนจื่อเสากลับฮึดสู้ขึ้นมาด้วยตัวเอง “ไม่เป็นไร! ประเดี๋ยวข้าทบทวนอ่านตำราที่น้องเล็กมอบหมายให้ ข้าจะให้ความร่วมมือกับเจ้า แล้วข้าก็จะสามารถอัญเชิญจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางในตำนานได้!”
“…ตามหลักแล้วก็จะเป็นเช่นนั้น” เยี่ยนอวี๋อยากจะบอกว่า แม้ว่าจะมีการสร้างช่องทางการอัญเชิญ แต่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ไม่ใช่เด็กในอาณัติของพี่รองที่จะอัญเชิญออกมาเมื่อใดก็ได้…
แต่เยี่ยนอวี๋กลัวว่าหลังจากที่นางพูดออกไปแล้วเยี่ยนจื่อเสาจะร้องไห้ ดังนั้นนางจึงไม่พูด กลัวบ่อน้ำตาตื้นจะเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลบิดา
ส่วนเยี่ยนชิง เมื่อเขาเห็นว่าบุตรชายมีแรงจูงใจ ไม่จำเป็นต้องให้เขาเคี่ยวเข็ญ จึงไม่ได้ว่าอะไรอีก เตรียมตัวจะพาบุตรสาวออกเดินทาง “ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เจ้าวางเสี่ยวเป่านอนบนเตียงก่อนเถิด ประเดี๋ยวเราจะออกไปกันแล้ว”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋แสดงเจตจำนงว่าไม่เห็นด้วย “ให้เสี่ยวเป่าไปด้วย”
เยี่ยนชิงรู้สึกประดักประเดิด เขากลัวว่าผู้รักษาปรมาจารย์วิญญาณจะขวางทางเขา! ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับไม่ทราบถึงความกังวลใจของเขา เหลือบมองแล้วพูดกับเขาว่า “ท่านพ่อนำทางเถิด”
“…ก็ได้” เยี่ยนชิงคิดว่าอย่างมากก็แค่เสียหน้า! แต่ต้องพาหลานชายเข้าไปเงียบๆ ให้ได้
จากนั้น…