“สายเลือดวิหคทมิฬ จะสวามิภักดิ์เพียงแต่ข้า” เยี่ยนอวี๋กล่าวอย่างใจเย็น “เมืองโยวตูไม่มีวันรู้ว่าข้าทำอะไรกับเจ้า”
อินหลิวเฟิงนึกถึงประโยคหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เจ้าตะโกน! ตะโกนไปสิ ตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยเจ้าหรอก เอ่อ…
อินหลิวเฟิงส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วเพื่อสลัดความคิดแปลกๆ นี้ออกไป และเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริง สายเลือดวิหคทมิฬ จะสวามิภักดิ์เพียงแต่ข้า
นี่มัน…
“หมายความว่าอย่างไร” อินหลิวเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แม้ว่าเขาจะรู้สึกมานานแล้วว่าแม่นางเยี่ยนตามที่กล่าวขานกันนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาหรือจะคาดคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขาจริงๆ
อินหลิวเฟิงคาดไม่ถึง เยี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้คิดจะบอก นางเพียงค่อยๆ พูดว่า “เรื่องที่เจ้าไม่ควรทราบ หากทราบไปก็ไร้ประโยชน์”
“…ก็ได้” อินหลิวเฟิงผิดหวังมากและพูดอย่างจริงใจว่า “ข้าขอยืนยันอีกครั้ง ข้ามิได้แตะต้องลูกของท่านจริงๆ”
“แล้วเหตุใดเขาถึงร้องไห้และชี้ไปที่เจ้าล่ะ” เยี่ยนอวี๋ถามกลับ
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” อินหลิวเฟิงรู้สึกว่าตัวเองโดนใส่ร้าย เขาไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะถูกใส่ร้ายอย่างที่มิอาจแก้ต่างได้ และเนื่องจากความอยุติธรรมเช่นนี้ ทำให้เขาสูญเสียอิสรภาพและศักดิ์ศรี เขาอยากจะร้องไห้จริงๆ!
อินหลิวเฟิงรู้สึกว่าโต้วเอ๋อร์ที่ถูกปรักปรำในตํานาน ก็คงมิถูกใส่ร้ายเท่าเขาในตอนนี้! เขาไม่รู้อะไรเลย อยู่ดีๆ ก็ถูกตั้งข้อหา “…” อะไรก็ไม่รู้
เยี่ยนอวี๋ไม่ต้องการพูดไร้สาระอีก นางดึงเส้นบางอย่างออกมาด้วยนิ้วเดียว และเตือนอย่างหวังดีว่า “ตอนที่ข้าเริ่มลงมือ ทางที่ดีเจ้าอย่าพยายามต่อต้านล่ะ มิเช่นนั้น หากกลายเป็นคนโง่ จะถือว่าเจ้ารนหาที่เอง”
อินหลิวเฟิง “…”
เขาอยากร้องไห้! จริงๆ นะ
แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะต่อต้านเช่นไรดี เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรงอย่างที่สุด นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้พลังในรอบยี่สิบปีของชีวิต
ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขารนหาที่เอง…
เขาเองที่แอบเข้าไปในเขตหวงห้ามของสำนักชางอู๋ เมื่อเขาจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือก็เป็นไปไม่ได้ แน่นอนว่าเขาสามารถต่อกรกับคนตรงหน้าเขาได้ แต่เขาก็มั่นใจมากว่า ขุมพลังที่อยู่ในเขตหวงห้ามของสำนักชางอู๋จะเอาชนะเขาได้ในไม่ช้า
ดังนั้นตอนนี้ เขากลายเป็นตัวไหมที่อยู่ในรังอย่างสมบูรณ์แล้ว?
ในเวลานี้เอง จู่ๆ อินหลิวเฟิงก็นึกขึ้นได้ องครักษ์ได้ห้ามเขาแล้ว มิให้เขาแฝงตัวเข้ามาในเขตหวงห้ามของสำนักชางอู๋ แต่เขาไม่เชื่อฟังเอง ไม่เชื่อฟังเอง…
คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ
โดนลอบกัดเข้าแล้ว
อินหลิวเฟิงคอตกประดุจดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา จะขัดขืนแต่ก็มิกล้า ปล่อยให้เยี่ยนอวี๋กระทำสิ่งใดตามแต่ใจปรารถนา
“เจ้ามิต้องเสียใจไป ตราบใดที่เจ้าไม่ทําร้ายเสี่ยวเป่าของข้าอีก มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเจ้า” ขณะที่เยี่ยนอวี๋พูดอย่างตรงไปตรงมา และปลอบใจด้วยสีหน้าไร้อารมณ์นั้น! ก็ได้นำอักษรรูนโบราณที่สร้างเสร็จแล้วประทับไว้บนกะโหลกศีรษะของอินหลิวเฟิงอย่างไร้ความปรานี
อินหลิวเฟิงคิดจะหลบ!
แต่เมื่ออักษรรูนแตะเข้าที่อินหลิวเฟิง ก็เหมือนดั่งเวลาที่มิสามารถย้อนกลับไปได้! มันไหลเข้าสู่อนุสติของอินหลิวเฟิง ทันทีที่ข้อความเหล่านั้นเข้าไปในอนุสติของเขา ก็พลันมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หืม?”
อินหลิวเฟิงตระหนักได้ถึงความรู้สึกของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกได้ลางๆ ว่าเหมือนมีกระแสบางอย่างจากอนุสติของเขา ไหลผ่านไปยังแขนขาทั้งสี่ข้าง อวัยวะภายในและไขกระดูก เขาไม่รู้สึกถึงความไม่สบายตัว แต่กลับมีความรู้สึกเบาสบายราวกับถูกชะล้างร่างกายอย่างไรอย่างนั้น?
ความรู้สึกนี้…
ราวกับว่าเขาได้ประโยชน์จากมัน?
“เจ้าน่าจะยินดีนะ” เยี่ยนอวี๋พูดอย่างไม่แปลกใจ “เสี่ยวเป่าของข้ามีพรสวรรค์มากกว่าเจ้าจริงๆ ฉลาดกว่าเจ้าอีก ทั้งหมดนี้จึงเป็นผลพลอยได้ของเจ้า”
“หมายความว่าอย่างไร” อินหลิวเฟิงสับสน
“แม้ว่าองค์ประกอบของชีวิตจะแบ่งเป็นร่างหลักและร่างเสริม ทุกอย่างของร่างเสริมจะส่งทุกอย่างให้กับร่างหลัก แต่ร่างหลักที่แข็งแกร่งก็สามารถฉายเงาให้กับร่างเสริมได้ เจ้าควรสํานึกในความเอื้ออาทรของเสี่ยวเป่า ความสามารถของเขาได้ฉายเงาให้กับเจ้าด้วย” เยี่ยนอวี๋อธิบาย
อินหลิวเฟิง “?”
ดังนั้น…
เขาควรจะขอบคุณสําหรับการได้เป็น ‘ทาส’ ให้กับเจ้าตัวน้อยนี้?
ความรู้สึกนี้ซับซ้อนมากจนอินหลิวเฟิงมิสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์
เพราะเช่นนี้ อินหลิวเฟิงจึงอ้ำอึ้งอยู่ที่เดิมอยู่นาน จนไม่สังเกตเห็นว่าเยี่ยนอวี๋เลิกสนใจเขา และได้อุ้มเสี่ยวเป่าไปหาพี่รองของนางแล้ว ทิ้งหยางชีซานและเยี่ยนชิงให้งุนงงอยู่เช่นเดียวกัน ปล่อยให้พวกเขางุนงงอยู่เป็นเพื่อนกับอินหลิวเฟิง
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งค่อนวัน…
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ” เยี่ยนชิงมองอาจารย์ของเขาอย่างไม่เข้าใจ “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ได้ทำสัญญาให้นายน้อยอินกลายเป็นทาสของเสี่ยวเป่าอย่างนั้นหรือ”
“เหมือนจะเป็นเช่นนั้น” หยางชีซานพยักหน้าอย่างไม่รู้อะไรเลย แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว เดิมทีก็นับได้ว่าเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงชายชราที่หูตาแคบและโง่เขลานัก
ในความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของเขา มิเคยได้ยินว่ามนุษย์สามารถทําสัญญากับมนุษย์เองได้…
ในความเป็นจริง อย่าว่าแต่หยางชีซานเลย บรรดาผู้เฒ่าของสำนักชางอู๋ที่ ‘มุงดู’ อยู่เงียบๆ ต่างก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน!
รวมถึงเยี่ยนหงชวนที่มาทันเวลาพอดี ก็ด้วยเช่นกัน!
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์…” เสียงถอนหายใจของเยี่ยนหงชวนเต็มไปด้วยความว่างเปล่าราวกับเสียงของภูติผี
หยางชีซานและเยี่ยนชิงต่างก็เหงื่อตก พลั่ก ด้วยความหวาดกลัว “ท่านปู่…” ท่านปรากฏตัวโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงเช่นนี้อยู่บ่อยๆ จะดีจริงๆ หรือ!
เยี่ยนหงชวนไม่สนใจชายชราทั้งสองคน เขายังคงมองแผ่นหลังของเยี่ยนอวี๋ด้วยสายตาซับซ้อน รู้สึกอยู่ลางๆ ว่านางเหมือนจะไม่ใช่หลานสาวของเขา
เยี่ยนหงชวนค่อนข้างเสียใจ ตอนที่หลานสาวตัวน้อยของเขายังเด็ก เขาก็เคยอุ้มนาง เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นหลานสายเลือดของเขา มิหนำซ้ำยังหน้าตางดงามราวกับหยกเจียระไน ใครเห็นก็อดมิได้ที่จะอุ้ม
แต่หลานสาวผู้น่ารักที่เป็นดั่ง ‘เศษสวะ’ จะไม่กลับมาอีกแล้ว และได้ ‘จากไป’ ชั่วนิรันดร์ โดยที่เขายังไม่ทันได้ปกป้องนางเลย
‘เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์’ ในตอนนี้ เขาเองก็ไม่ทราบว่าจะใช่หลานสาวของเขาหรือไม่ อาจจะใช่ หรือไม่ใช่เลยก็ได้
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์! รอพ่อด้วย!” เยี่ยนชิงไม่ได้คิดมาก เพราะ…