เยี่ยนชิงไม่เคยรู้สึกว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ตรงหน้ามิใช่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขาเลย แม้ว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขาจะมีความลับมากมาย และมีด้านที่อธิบายไม่ได้อีกมากมายก็ตาม
แต่เยี่ยนชิงก็มิเคยมีข้อสงสัยใดๆ เขามิเคยรู้สึกว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขาจะไม่ใช่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขาแล้ว เขาเพียงแค่รู้สึกเศร้าใจที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ถูกสภาพแวดล้อมบีบบังคับให้โตขึ้นเท่านั้น
เช่นเดียวกับเยี่ยนจื่อเสา!
ส่วนเยี่ยนอวี๋ หลังจากที่นางได้ยินเสียงบิดาผู้เอ็นดูบุตรสาวดุจเจ้าหญิง นางก็หยุดโดยสัญชาตญาณ แล้วหันไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามาหานาง “ท่านพ่อรีบหน่อยเจ้าค่ะ”
เฮ้อ! เยี่ยนชิงเดินตามบุตรสาวสุดที่รักได้ทัน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มละไมว่า “ให้พ่ออุ้มเสี่ยวเป่าดีหรือไม่”
“อีกสักพักเถอะเจ้าค่ะ เสี่ยวเป่ายังตกใจอยู่ หากคนอื่นอุ้ม เกรงว่าเขาจะหลับไม่สนิท” เยี่ยนอวี๋อธิบายอย่างอดทน
เยี่ยนชิงก็มิได้ดึงดันเช่นกัน จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงถามขึ้นว่า “อ้อ พี่รองของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยนอวี๋ก็พูดเสียงเบาว่า “พี่รองสภาพแย่มากเจ้าค่ะ ท่านพ่อต้องเตรียมใจให้พร้อม”
เยี่ยนชิงตกตะลึง เพียงแต่ยิ้มและพยักหน้ามิได้ถามอะไรอีก แม้นเขาจะเตรียมใจไว้ตั้งแต่ต้นแล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นลูกชายจริงๆ เขาก็ยังยากที่ยอมรับอยู่ดี
“พี่รองไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นมนุษย์ได้แล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋ลูบใบหน้าของเยี่ยนจื่อเสาซึ่งได้กลายเป็นอสูรร้ายอย่างสมบูรณ์ “ข้าทําได้เพียงแค่พยายามอย่างดีที่สุด เพื่อให้เขาคงจิตใจมนุษย์ของเขาไว้ ไม่ลืมความทรงจำ และไม่คลุ้มคลั่ง”
หัวใจของเยี่ยนชิงจมดิ่ง มือหนาๆ เอื้อมไปจับมือลูกชายอย่างอดไม่ได้ แม้ว่ามันจะไม่นับว่าเป็นมือคน หากแต่เป็นกรงเล็บอสูรก็ตาม
“ข้าขอโทษ” เยี่ยนอวี๋หลับตาลงด้วยความรู้สึกผิด “เพราะข้าไร้ความสามารถเอง”
“จะโทษเจ้าได้อย่างไรกัน” เสียงของเยี่ยนชิงแหบแห้ง แต่ใบหน้าของเขายังคงเด็ดเดี่ยว “บอกมาเถิด จื่อเสากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร พ่ออยากรู้”
แม้ว่าจะลำเอียงเพียงใด แต่เยี่ยนชิงก็รักลูกชายของเขาเช่นกัน ไม่ว่าลูกชายทั้งสองคนจะหยาบโลนเพียงใด พวกเขาก็ยังเป็นลูกที่เขาและแม่ของลูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน เขารักพวกเขาทุกคน
เพียงแต่ว่าหลังจากที่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เกิดได้ไม่นาน แม่ของลูกๆ ก็จากไป และเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขา เขาย่อมรักใคร่เอ็นดูเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มากเป็นธรรมดา
นอกจากนี้ ลูกชายที่หยาบโลนทั้งสองคน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง อีกทั้งยังรู้จักถนอมดูแลน้องสาว ต่างก็เติบโตมาได้ตามที่เขาปรารถนา ทว่าบัดนี้…
เยี่ยนชิงฟังเยี่ยนอวี๋อธิบาย พลางจับกรงเล็บของลูกชาย แม้ว่ามือของเขาจะถูกกรงเล็บอันแหลมคมทิ่มจนเลือดไหล แต่เขาก็ไม่ปล่อย ‘จื่อเสา’ คือลูกชายคนดีของเขา
“เป็นเพราะข้า พี่รองจึงใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่ออัญเชิญจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางออกมา และได้บรรลุพิธีอัญเชิญที่เขามิอาจบรรลุได้ เพราะเช่นนี้ จึงไปกระตุ้นเลือดของมนุษย์วานรหวาไหวที่ถูกปิดผนึกไว้ และมันก็หลอมรวมเข้ากับเลือดของเขา” เยี่ยนอวี๋เล่าอย่างเจ็บปวดใจ
นางเศร้าใจนัก…
ความเศร้าใจนี้ เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน นับตั้งแต่ที่นางจุติเป็นเซียนมา เป็นความรู้สึกที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแก้แค้น และต้องได้ระบายความรู้สึกให้จงได้! เป็นความเจ็บปวดเหลือทน
เพราะไม่ว่านางจะทําอะไรไป พี่รองของนางก็กลายร่างเป็นอสูรแล้ว มิใช่ชายหนุ่มรูปงามผู้กล้าหาญอีกต่อไป
แม้ว่านางจะไม่คิดว่าการเป็นวานรน้อยนั้นไม่ดี แต่นางรู้ว่าโลกมนุษย์นั้น ถือว่าวานรน้อยเป็นสัญลักษณ์แห่งภัยพิบัติ มีเพียงโลกสวรรค์เท่านั้นที่ไม่สนใจเรื่องพรรค์นี้
และพี่รองของนาง เขายังคงเป็นเพียงผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามเท่านั้น เขายังมีหนทางอีกยาวไกลให้ก้าวเดินเพื่อกลายเป็นเซียน นอกจากนี้ เนื่องจากตำแหน่งเซียนที่อยู่บนสวรรค์ทั้งเก้าชั้นนั้นเต็มหมดแล้ว ดังนั้นหนทางการเป็นเซียนจึงถูกปิดตาย
“พี่รอง…” เยี่ยนอวี๋เงยหน้ามองพี่ชายที่หลับอยู่ตรงหน้า ลอบตัดสินใจได้แล้ว! เมื่อนางคืนสู่การเป็นเซียน นางจะสถาปนาเทพเซียนใหม่
แม้ว่าครานั้นนางจะเป็นคนที่สั่งให้ปิดผนึกทางสัญจรทั้งสามโลกก็ตาม แต่นางก็ต้องกลับคำเพื่อเปิดทางให้พี่รอง
นี่คือสิ่งที่นางต้องชดใช้ให้กับพี่รอง นางสามารถลงจากตำแหน่งเทพเซียนก็ได้ เพื่อเป็นการลงโทษตัวเอง
…
และเยี่ยนชิงในเวลานี้ พูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าคิดเช่นนั้น พี่รองเจ้าเพียงแค่ทําในสิ่งที่เขาต้องการ สำหรับเขาแล้ว การที่เจ้าอยู่ดีมีสุขสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ฉะนั้นแล้ว หากเจ้าถือโทษตัวเองเพราะเรื่องนี้ ถึงจะเรียกว่าไม่เห็นแก่การเสียสละของพี่รองของเจ้าจริงๆ”
ความจริงเยี่ยนชิงอยากจะบอกว่าลูกชายผู้โง่เขลาคนนี้ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าหากเป็นเขา ก็คงจะทำเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่จําเป็นต้องหัวเราะเยาะลูกชายคนเล็ก
แต่ไม่ว่าเยี่ยนชิงจะพูดอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของเยี่ยนอวี๋ได้
อินหลิวเฟิงที่ตื่นจากภวังค์ก็วิ่งตามมาทันที หลังจากที่ได้เห็นก็ตกใจในรูปร่างหน้าตาของเยี่ยนจื่อเสา “นี่ จื่อเสาคงไม่ได้มีเลือดของมนุษย์วานรหวาไหวจริงๆ หรอกกระมัง”
เยี่ยนอวี๋เมินเขา นางให้เม่ยเอ๋อร์ประคองเยี่ยนจื่อเสาขึ้น เตรียมพร้อมที่จะพาคนออกจากเขตหวงห้าม
แม้ว่าแก่นพลังวิญญาณของเขตหวงห้ามจะดีก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะสําหรับเยี่ยนจื่อเสา
เยี่ยนหงชวนและหยางชีซานก็ออกจากแอ่งน้ำไปแล้ว ต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่พวกเขาออกไป ก็มีแสงเหมือนดวงดาวสีม่วงปรากฏอยู่ข้างแอ่ง
นั่นคือต้าซือมิ่งผู้ที่ ‘ก่อเรื่องเสร็จแล้วก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว’ ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวขึ้น และปรากฏตัวในจุดที่เยี่ยนเสี่ยวเป่านอนคว่ำหน้าอยู่ ใบหน้าเย็นชาทว่างดงาม แขนเสื้อทั้งสองพลิ้วไหว ราวกับรูปปั้นของเทพแห่งแสงสว่างที่สว่างเรืองรองในตนเอง