แม้ว่าหยางเซ่าเหิงจะสามารถตามลมปราณและพบตําแหน่งโดยประมาณได้ แต่กลับไม่สามารถรู้ตําแหน่งที่แน่ชัดได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลิงเป่าจากเมืองโยวตูของอินหลิวเฟิงไม่ใช่ของแผงลอยข้างถนน ก็พอเชื่อถือได้อยู่…
เพราะเช่นนี้แม้ว่าหยางเซ่าเหิงจะหาไปหามา ก็ยังปล่อยให้รถม้าของอินหลิวเฟิงพ้นจากสายตาของเขาไปได้ และเขายังไม่รู้อีกว่าลมปราณที่ดึงดูดเขาแท้จริงแล้วมาจากรถม้าของอินหลิวเฟิง
“หรือว่า…” หยางเซ่าเหิงขมวดคิ้วปม คาดเดาอย่างตระหนักได้ว่าลมปราณนี้อาจถูกปล่อยออกมาจากผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงพลังที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาก็เป็นได้
แม้ว่าภูเขาระดับนี้จะมีผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์น้อยมาก แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีเลย ดังนั้นหยางเซ่าเหิงจึงไม่ได้ตามหาอย่างละเอียดอีกและเดินทางกลับไปยังขบวน
…
แต่อินหลิวเฟิงที่สัมผัสได้ถึงหยางเซ่าเหิงพึมพำขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “จมูกสุนัข”
“ความรู้สึกไวดีนะ” เยี่ยนอวี๋มองไปทางที่หยางเซ่าเหิงจากไปอย่างมีนัยยะ
“ไม่หรอก! แต่การแสดงของข้ายอดเยี่ยมนัก ทุกคนคิดว่าข้าเป็นเพียงแจกันดอกไม้ เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในสี่สุภาพบุรุษ แม้แต่หยางเซ่าเหิงยังไม่มองข้าอยู่ในสายตาเลย เจ้าดูสิเขาไม่อยากมาตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยซ้ำ” อินหลิวเฟิงค่อนข้างกระหยิ่มใจในตนเอง
แต่เยี่ยนอวี๋กลับพูดว่า “ยากนักที่เจ้าจะตระหนักในตนเองได้”
“หา?” อินหลิวเฟิงสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขายังไม่ทันตั้งตัวเม่ยเอ๋อร์ก็สำทับขึ้นว่า “อย่าว่าแต่แจกันดอกไม้เลย คุณชายน้อยยังดูดีกว่าวิหคทมิฬน้อยตัวนี้มากนัก”
อินหลิวเฟิง “…”
สรุปแล้วเขาเป็นวิหคทมิฬน้อย?
ทั้งยังเป็นวิหคทมิฬน้อยที่ไม่คู่ควรที่จะเป็นแจกันดอกไม้เลย?
“ข้าไม่ยอม! ข้าคิดว่าข้าดูดีเลยทีเดียว” อินหลิวเฟิงได้โต้แย้งอย่างทุลักทุเล
แต่เยี่ยนอวี๋และเม่ยเอ๋อร์ก็ไม่สนใจเขา มีเพียงเจ้าตัวน้อยที่ส่ายศีรษะอย่างไว้หน้าเท่านั้น “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ…” เจ้าดูไม่ดี! ท่านพ่อรูปงามต่างหากที่ดูดี!
อินหลิวเฟิงรู้สึกว่าเขาถูกเลือกปฏิบัติโดย ‘คนชั้นสูง’ ต่อเขาในฐานะ ‘ทาส’ คนหนึ่ง ฮือๆๆ…รังแกกันไปหน่อยแล้ว ส่งเด็กน้อยมารังแกเขาทุกครั้งเลย! ฮือๆๆ…
…
ครึ่งวันต่อมา
เยี่ยนอวี๋ที่ถึงตำบลหลันฮวาเป็นที่เรียบร้อยแล้วขมวดคิ้วอีกครั้ง “เม่ยเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่!” ไม่จำเป็นต้องให้เยี่ยนอวี๋ออกคำสั่ง เม่ยเอ๋อร์ก็เข้าใจและหายตัวมุ่งหน้าไปสำรวจทางข้างหน้าทันที
อินหลิวเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็ตะลึงงัน จึงอดไม่ได้ที่จะตำหนิองครักษ์ของตน “เอ้อร์เหมาเจ้าดูคนอื่นสิ! เป็นลูกน้องเช่นเดียวกัน เหตุใดเจ้าจึงไม่มีไหวพริบเฉกเช่นคนอื่นเลยล่ะ”
“ตำนานเขาว่านายเป็นอย่างไรบ่าวเป็นเช่นนั้นนะขอรับ” องครักษ์เมืองโยวตูบางคนที่ ‘มี’ ชื่อเรียกเป็นครั้งแรกกล่าว
อินหลิวเฟิง “…”
เขาต้องอกแตกตายเพราะองครักษ์คนนี้ในสักวันแน่!
“อ้ะเนะเนะ!” ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าในขณะนี้อยู่ไม่นิ่งแล้ว เขาเริ่มม้วนตัวไปมาอย่างไม่หยุดหย่อนจนผ้าห่อตัวหลุดออกในที่สุด
จากนั้นเด็กน้อยคนนี้ก็กอดแขนท่านแม่ของเขาอย่างตื่นเต้นในทันทีแล้วชี้ไปข้างหน้า “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ” ท่านแม่ๆ ท่านพ่อรูปงามอยู่ข้างหน้า รีบไปเร็วเข้า!
“…เด็กคนนี้ช่าง ‘มีชีวิตชีวา’ จริงๆ” อินหลิวเฟิงมองเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างตะลึงพลันสงสัยว่าพ่อทูนหัวตัวน้อยคนนี้อย่างน้อยต้องมี ‘สติปัญญา’ ของเด็กอายุราวห้าปีแน่นอน
“เสี่ยวเป่าไม่รีบนะ รอเม่ยเอ๋อร์ก่อน” เยี่ยนอวี๋กลับชอบลูกน้อยที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่ลูกน้อยนอนหลับไปเกือบตลอดทาง
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าตะโกนราวกับเห็นด้วย แต่ก็ยังม้วนตัวไปมาอยู่ ท่าทางต้องการเกาหูและแก้มของเขาอย่างไม่สามารถหยุดได้
โชคดีที่เม่ยเอ๋อร์กลับมาอย่างรวดเร็ว นางได้กลับไปยังรถม้าและคุกเข่าต่อหน้าเยี่ยนอวี๋ “คุณหนูใหญ่ มังกรทอแสงรวมไปถึงลมปราณของตำหนักไท่ชางได้ปรากฏตัวขึ้นในต้าฮวงเจ้าค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ” อินหลิวเฟิงตะลึงจนอ้าปากกว้างอย่างเสียภาพลักษณ์
เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วอย่างไม่แปลกใจ “เจ้าไปขับรถม้าแล้วระวังเรื่องการซ่อนตัวด้วย”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” เม่ยเอ๋อร์เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ซ่อนตัว’ นั่นคือห้ามปล่อยให้มังกรทอแสงและตำหนักไท่ชางสัมผัสได้ถึงลมปราณของคุณหนูใหญ่
ส่วนเพราะเหตุใดนั้นเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้ถามและจะไม่ถามให้มากความด้วย
ดังนั้นอินหลิวเฟิงจึงไม่คิดอะไรมาก เขาที่ดึงสติกลับมาได้แล้วรู้สึกว่าข้อมูลจากเม่ยเอ๋อร์หมายความว่าบริเวณนี้ของต้าฮวงที่อยู่ติดกับตำบลหลันฮวาเป็นการรวมตัวของกลุ่มอำนาจและอันตรายมาก
ยังไม่ต้องพูดถึงแก่นวิญญาณมังกรทอแสงที่ทรงพลังมากอยู่แล้ว ที่สําคัญคือลมปราณของตำหนักไท่ชางนั่น! ตำหนักไท่ชาง…ตำหนักไท่ชางที่ตํานานเล่าขานว่าเป็นต้นกําเนิดของเทพผู้เบิกฟ้าผ่าพิภพนั่นไงเล่า!
ทว่าคำว่าตำหนักไท่ชางนี้ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นบ่อยในช่วงนี้นัก? หากตำรา ‘ผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ขั้นพื้นฐาน’ ของคุณหนูใหญ่ไม่ใช่ของแผงลอยข้างถนนล่ะก็…
อินหลิวเฟิงพิจารณาอยู่เงียบๆ แล้วคิดอีกว่าหรือแท้จริงแล้วต้าซือมิ่งท่านนั้นมาเพราะข่าวเรื่องตำหนักไท่ชางนี้เช่นกัน? มิเช่นนั้นบุคคลเช่นนั้นจะมาที่เขตชางอู๋เพื่ออะไรกัน
ในระหว่างที่อินหลิวเฟิงคิดใคร่ครวญอยู่นั้นเม่ยเอ๋อร์ก็ได้ขับรถม้าเข้าไปในต้าฮวงแล้ว และกำลังมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของต้าฮวง ทว่ารถม้าคันนี้เพียงแค่ข้าม ‘เส้นกำบัง’ ล่องหนนั้นไปเท่านั้น เจ้าเด็กน้อยร้อง “อ้ะ” ขึ้นทันที! ทั้งยังหันกลับไปมองอย่างรีบร้อนอีกด้วย
“เป็นอะไรหรือ” เยี่ยนอวี๋ปลอบลูกน้อยอย่างสงสัย “เจ้าอยากเข้ามาไม่ใช่หรือ”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าชี้ไปทางด้านนอก “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ…” ไม่ใช่! ไม่ใช่แล้ว! ท่านพ่อรูปงามไม่ได้อยู่ที่นี่!
และในความเป็นจริงต้าซือมิ่งแห่งราชสำนักบางคนไม่ได้เข้ามาจริงๆ และใช่ว่าเขาไม่อยากเข้ามาแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นเพราะเขาถูกสกัดกั้นไว้เท่านั้น
ขณะที่ผู้คนรอบข้างไม่สามารถมองเห็นได้ บริเวณตรงหน้าของซือมิ่งรูปงามท่านนี้ก็มีนิมิตเจ็ดสีดุจภาพมายาปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ทุกครั้งที่เขาจะเข้าใกล้ แสงนี้ก็จะสว่างขึ้น!
“น่าสนใจ” ดวงตาสีม่วงฉายแวววับ ต้าซือมิ่งผู้ซึ่งมีน้ำเสียงไพเราะดุจเสียงพิณยกมุมปากขึ้น “ใช่เจ้าหรือไม่”