ในเวลาเดียวกันนั้น เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่สัมผัสถึงกลิ่นอายของท่านพ่อรูปงามไม่ได้แล้วก็ร้อนใจจนดวงหน้าเล็กๆ นั้นแดงก่ำ “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ…”
“เขาเป็นอะไรหรือ” อินหลิวเฟิงไม่เข้าใจ
เยี่ยนอวี๋มองไปด้านนอกด้วยสายตาลำบากใจ ขณะอุ้มบุตรชายที่มีท่าทางกระวนกระวายเอาไว้ นางเชื่อว่าบุตรชายไม่ได้กระวนกระวายใจอย่างไม่มีสาเหตุ แต่นางสัมผัสถึงลมปราณผิดปกติอื่นๆ ไม่ได้จริงๆ นอกจากเกราะคุ้มภัยของตำหนักไท่ชางอันเก่าแก่
นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่า บุตรชายสัมผัสถึงลมปราณที่นางมิอาจรับรู้ได้ ดังนั้นบุตรชายสัมผัสได้ถึงสิ่งใดกันแน่ เยี่ยนอวี๋หลุบแพขนตาลงเล็กน้อย ขณะเผยแววครุ่นคิดออกมา
ทว่าอินหลิวเฟิงกลับรู้สึกถึงมันได้แล้ว เขาคิดว่านี่เป็นสถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน “แม่นางเยี่ยน ทางที่ดีที่สุดท่านควรจะปลอบบุตรชายของท่านให้เงียบก่อน มีลมปราณยอดฝีมือแห่งสำนักคุนอู๋!”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋เหลือบตาขึ้นมอง หยุดใคร่ครวญไปชั่วขณะแล้วลูบศีรษะโล้นของบุตรชาย พลางปลอบเสียงเบา “เสี่ยวเป่าไม่ต้องร้อนใจ ไม่ว่าเจ้าจะสัมผัสได้ถึงสิ่งใด ช้าเร็วอย่างไรแม่จะช่วยเจ้าหาให้พบ”
“อ้ะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่ารีบแหงนศีรษะเล็กๆ ขึ้น สายตาที่มองไปยังมารดาวูบไหว
เยี่ยนอวี๋รู้ว่านางคิดถูก จึงก้มลงจุมพิตหน้าผากบุตรชาย และเอ่ยคำสัญญาอย่างจริงจังว่า “แม่จะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งรีบร้อนไปดีหรือไม่”
“อ้ะเนะเนะ…” แม้ว่าเยี่ยนเสี่ยวเป่าจะอยากไปตามหาท่านพ่อคนงาม แต่เขาก็เชื่อมารดาของตนเองมาก อีกอย่างเขาก็รู้เช่นกันว่าคนเลวมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรับคำมารดาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลังจากนั้นก็มุดกลับเข้าไปในผ้าห่อตัวอย่างเชื่อฟัง
ท่าทางว่านอนสอนง่ายนั้นทำให้อินหลิวเฟิงที่มองอยู่รู้สึกว่านี่จะต้องเป็นทารกน้อยที่จะกลายเป็นปีศาจตนหนึ่งในอนาคตแน่นอน ดังนั้นเขารู้สึกว่าไม่แปลกเลยที่เขาจะถูกทำให้อับอายได้ เป็นเขาที่ดูแคลน ‘ความสามารถ’ ของทารกนี้เอง
“เด็กดี” เยี่ยนอวี๋ก็รักบุตรชายที่รู้ความคนนี้มากเช่นกัน แววตาฉายประกายอ่อนโยนออกมา ทั้งยังจุมพิตบุตรชายตัวน้อยครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างอดมิได้
อืม
บุตรชายตัวน้อยที่ทั้งนุ่มนิ่มและงดงาม น่ารักเกินไปแล้วจริงๆ
นางชอบมากเหลือเกิน
…
หลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง เอ้อร์เหมา องครักษ์ที่อยู่นอกรถม้าก็รายงานสถานการณ์ว่า “คุณหนูใหญ่เยี่ยน นายน้อย กลุ่มคนสำนักคุนอู๋มีอยู่ยี่สิบสองคน จะทิ้งรถม้าหรือไม่ขอรับ”
“ทิ้ง!” อินหลิวเฟิงตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ไม่ทิ้ง” เยี่ยนอวี๋ตอบกลับในเวลาเดียวกัน
หลังจากนั้น แน่นอนว่าเอ้อร์เหมาย่อมฟังเยี่ยนอวี๋อยู่แล้ว เขาจึงบังคับรถม้าหรูหราคันนี้มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของต้าฮวงต่อไปด้วยความเร็วตลอดการเดินทาง
อินหลิวเฟิง “…”
เขาอดทนแล้วอดทนอีก แต่ก็ยังคงอดพูดออกมามิได้ว่า “ทิ้งรถม้าเอาไว้จะสะดวกยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาก็อยากจะค่อนแคะอย่างอดมิได้ คราแรกที่ออกเดินทางจากสำนักชางอู๋ คุณหนูผู้นี้ยังคิดจะใช้รถม้าที่โดดเด่นยิ่งกว่าคันนั้นของนางอยู่เลย! เป็นรถม้าวิหคสุริยันที่ได้มาจาก…สำนักหมอหลวง
ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ยืนกรานคัดค้าน เจ้าสำนักเยี่ยนก็ยังนับว่ามีจุดยืนอยู่บ้าง ถึงได้ควบคุมนิสัยแย่ๆ ของคุณหนูใหญ่ผู้นี้เอาไว้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงเปิดเผยตนเองไปนานแล้วแน่นอน!
อีกทั้งตลอดการเดินทางนี้ คุณหนูใหญ่ผู้นี้ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่นางก็แทบจะแสดงให้เห็นว่ารังเกียจรถม้าชั้นสูงที่มาจากเมืองโยวตูของพวกเขาคันนี้ตลอดเวลา!
อุปนิสัยย่ำแย่นี้ อินหลิวเฟิงอดมิได้ที่จะรู้สึกว่า คำเล่าลือที่กล่าวว่าคุณหนูใหญ่เยี่ยนยอดสำรวยและหยิ่งยโส ก็มีพื้นฐานความจริงและมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
แต่ทว่าคำถามของอินหลิวเฟิงกลับเรียกท่าทางเหยียดหยามแข็งกร้าวจากเม่ยเอ๋อร์เสียอย่างนั้น “ท่านเป็นบุรุษผู้หนึ่งสามารถลำบากหน่อยได้ คุณหนูใหญ่และคุณชายน้อยของพวกเรานั้นบอบบาง จะทิ้งรถม้าให้วิ่งวุ่นอย่างไร้จุดหมายเช่นท่านได้อย่างไรกัน”
อินหลิวเฟิง “…”
เขาหมดแรงจะค่อนแคะแล้ว
ทว่าเอ้อร์เหมาที่อยู่ด้านนอกกลับแสดงท่าทางเหมือนถูกล้างสมองไปแล้ว “เม่ยเอ๋อร์กล่าวได้มีเหตุผลจริงๆ บุรุษหยาบกร้านเช่นพวกเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ หลังจากนี้ข้าจะจำเอาไว้”
อินหลิวเฟิง “…”
เขาขอประกาศว่าเขาได้สละชีพในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว
มารดามันเถอะ…
ทำไมเขาถึงต้องเดินทางร่วมกับพวกคนประหลาดนี้กันนะ?
…
“ศิษย์พี่เฉิงหมิง! พบรถม้าคันหนึ่งขอรับ” คนของทางคุนอู๋ค้นพบรถม้าของพวกเยี่ยนอวี๋ตามที่คาดเอาไว้ ทั้งยังแยกแหล่งที่มาออกด้วย “ดูเหมือนเป็นรถม้าของเมืองโยวตูขอรับ”
“เมืองโยวตู?” ในฐานะผู้นำของคนกลุ่มนี้ เฉิงหมิงที่อายุประมาณสามสิบปี และเป็นศิษย์สายตรงภายในสำนักสำนักคุนอู๋ ทั้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางเซ่าเหิงด้วย และมารดาของเขาก็เป็นท่านน้าของหยางเซ่าเหิง
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้รู้ว่าทางฝั่งตะวันออกของต้าฮวงมีแก่นวิญญาณมังกรทอแสงที่ถูกปิดผนึก ภายในสำนักคุนอู๋ก็มีการวางแผนกำหนดวิธีการออกมาว่าจะให้เฉิงหมิงเป็นผู้ได้ครอบครองแก่นวิญญาณมังกรทอแสงนี้
หยางเซ่าเหิงเพียงแค่มาช่วยลูกพี่ลูกน้องของเขาเท่านั้น และถือโอกาสสังเกตการณ์ความคืบหน้าที่สำนักชางอู๋วางแผนไปด้วย ตอนนี้เพราะสำนักชางอู่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น และภายในต้าฮวงก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะย้อนกลับมายังสำนักคุนอู๋”
แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ไม่ใช่ว่าภายในต้าฮวงไร้การเคลื่อนไหว แต่ ‘ข่าวคราว’ และ ‘ลมปราณ’ ล้วนถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว คนสำนักคุนอู๋ในต้าฮวง ไม่สามารถส่งข่าวออกไปได้ และไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ด้วยเช่นกัน!
ดังนั้นตอนนี้เฉิงหมิงจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “คนของเมืองโยวตูล้วนมากันแล้ว เหตุใดน้องเหิงถึงยังไม่มากัน”
“เกรงว่าสำนักชางอู๋จะเกิดเรื่องขอรับ” องครักษ์สำนักคุนอู๋ที่อายุประมาณสี่สิบปีนายหนึ่งวิเคราะห์สถานการณ์อย่างสุขุม
แน่นอนว่าเฉิงหมิงก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน แต่เขาถูกข่าวร้ายที่ได้รับมาครั้งแล้วครั้งเล่า กวนใจจนทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด “แรกเริ่มก็เป็นสำนักเหยาไถเซียน มาตอนนี้ก็มีอิทธิพลของเมืองโยวตู แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไร้ข้อผิดพลาด”
ใครก็ตามที่พบว่าเรื่องที่มั่นใจถึงเก้าในสิบกลายเป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกก็ล้วนไม่สามารถคงสภาพจิตใจให้สงบได้ ยิ่งไปกว่านั้น! เฉิงหมิงก็รู้แล้วเช่นกันว่าอาจจะมีการถือกำเนิดหลิงเป่าแห่งตำหนักไท่ชางขึ้น
นี่ทำให้เฉิงหมิงเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องกล่าวถึงหลิงเป่าแห่งตำหนักไท่ชางเลย เกรงว่าแม้แต่แก่นวิญญาณมังกรทอแสงก็ไม่แน่ว่าจะได้มาครอบครอง”
“ก็ไม่แน่หรอกขอรับ!” องครักษ์ที่อาวุโสผู้นั้นกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมืองโยวตูมีรถม้าเพียงหนึ่งคัน บวกกับคนที่อยู่ในรถก็มีแค่ห้าหกคนเท่านั้น สามารถกำจัดทิ้งก่อนได้”
“ใช่ขอรับ!” ศิษย์แห่งสำนักคุนอู๋ที่อยู่อีกด้านรีบเอ่ยสำทับทันที “ถึงอย่างไรเมืองโยวตูก็ไม่มีอะไรที่ต้องหวั่นเกรงอยู่แล้ว ฝ่าบาทเห็นเมืองโยวตูขัดหูขัดตามานานแล้ว ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องลงดาบกับพวกเขาสักวันหนึ่ง”
“เช่นนั้นจะรออะไรอยู่เล่า รีบล้อมปราบเดี๋ยวนี้!” เฉิงหมิงออกคำสั่ง
หลังจากนั้น…