ในชั่วพริบตานั้น ห้วงความคิดของเยี่ยนอวี๋ก็ปรากฏภาพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ มากมายขึ้นมาฉับพลันจนทำให้นางต้องขมวดคิ้วงามเล็กน้อย เพราะนี่เป็นครั้งที่สองที่นางมีความรู้สึก ‘รุนแรง’ เช่นนี้
ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่ ‘แรกพบ’ กับกู้หยวนเหิง ในครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับกู้หยวนเหิงเช่นกัน? ตระกูลของกู้หยวนเหิงคือผู้มีอิทธิพลแห่งสำนักเหยาไถเซียน
ดังนั้นชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ น่าจะเป็นชุนซิ่นจวิน แต่เยี่ยนอวี๋มั่นใจมากว่าแม่นางเยี่ยนจื่ออวี๋ไม่เคยพบกับชุนซิ่นจวินมาก่อน
“อ้ะเนะ?” เยี่ยนอวี๋ที่ตกอยู่ในห้วงความคิด ถูกมือนุ่มนิ่มของเจ้าตัวน้อยที่ลูบลงบนใบหน้านางดึงสติกลับมา
ครานี้เยี่ยนเสี่ยวเป่ากำลังกะพริบดวงตากลมโตดำวาวดุจหินอัคนีและมองมาทางท่านแม่คนงามของเขาอย่างเป็นห่วง ทั้งยังเอ่ยแสดงความเห็นใจว่า “อ้ะเนะ?”
เยี่ยนอวี๋ยิ้มออกมาอย่างอดมิได้ แววตรึกตรองกลางหว่างคิ้วหายไปในชั่วพริบตา ภายในตาเหลือเพียงแค่บุตรชายตรงหน้าเท่านั้น “แม่ไม่เป็นอะไร”
“อ้ะเนะ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าโผเข้ากอดใบหน้าของมารดาตนเอง
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนอวี๋นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น มองไปทางกู้หยวนหมิงที่ตะลึงมองนางตรงหน้า ภายในสายตามีเพียงแค่ความงามของสตรีวัยเยาว์ที่สวยเกินคำบรรยาย ยากที่จะพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ ราศีนี้นี้ทำให้เขาแสบตา แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกปวดใจที่ทำให้กู้หยวนหมิงไม่เข้าใจยิ่งกว่า นั่นคือความรวดร้าวใจราวกับภาวะขาดอากาศที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน!?
ลูกศิษย์หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขาผู้หนึ่งสังเกตเห็นว่ากู้หยวนหมิงลืมตัวเสียกิริยา พยายามเรียกเขาอยู่หลายครั้ง “ศิษย์พี่หมิง ชุนซิ่นจวิน?…” แต่ยังคงไม่สามารถดึงสติเขากลับมาได้
“ชุนซิ่นจวิน?” ลูกศิษย์หญิงแห่งสำนักเหยาไถเซียนที่ไม่เข้าใจจึงมองไปทางรถม้าของอินหลิวเฟิงตามจิตใต้สำนึก แต่ตอนนี้รถม้าได้หยุดนิ่งลงแล้ว ม่านรถก็ตกลงมาแล้วเช่นกัน ดังนั้นนางจึงมองไม่เห็นเยี่ยนอวี๋
ส่วนอินหลิวเฟิงก็เดินลงมาจากรถม้า พลางเอ่ยเสียงดังว่า “ชุนซิ่นจวิน ท่านต้องกำราบความเหิมเกริมของสำนักคุนอู๋นะ พวกเขาอาศัยสถานะที่เป็นสำนักแรกในราชสำนักแล้วทำตัวไม่มีขื่อไม่มีแป!”
เขาเพิ่งจะกล่าวจบ เสียง ‘โฮก’ ที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมของสัตว์อสูรก็ดังขึ้นกลางต้าฮวงอันกว้างใหญ่ จากนั้นก็พุ่งเข้าหากลุ่มคนของสำนักเหยาไถเซียน
พรวด…เฉิงหมิงที่กระอักเลือดออกมาเพราะอัญเชิญจระเข้สองเศียรเพิ่งจะพบว่า ด้านหน้ามีคนของสำนักเหยาไถเซียนปรากฏขึ้น? แม้ว่าเขาจะรู้นานแล้วว่าในต้าฮวงมีคนของสำนักเหยาไถเซียน แต่กลับมิได้สืบเสาะดูว่าพวกเขาอยู่ที่ใด
ทว่าในยามนี้เฉิงหมิงที่อ่อนแอเป็นอย่างมากนั้นไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะเรียกสั่งให้จระเข้สองเศียรนั่นหยุดลงแล้ว ดังนั้นมันจึงคำรามเสียงดัง! พร้อมกับพุ่งตัวไปทางกลุ่มคนของสำนักเหยาไถเซียน
หลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงสู้กันอย่างเลี่ยงมิได้…
“เฮ้อ” อินหลิวเฟิงแสดงท่าทางโล่งใจโดยการเอ่ยว่า “โชคดีๆ” เขารู้อยู่แล้วว่าด้วยความสามารถของเฉิงหมิงทำได้เพียงอัญเชิญจระเข้สองเศียรออกมาได้ทันเวลาเท่านั้น แต่ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้กลับไร้หนทางในการควบคุมมัน แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
“นายน้อย ต้องช่วยหรือไม่ขอรับ” องครักษ์เอ้อร์เหมาขอคำแนะนำอย่างแสดงออกถึงจิตใจที่ค่อนข้างดีงาม
อินหลิวเฟิงโบกมือไปมา พลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องช่วยอยู่แล้ว เจ้าไปสิ! ข้าเพิ่งเจอเรื่องตื่นตระหนกตกใจมา ขอพักก่อน”
องครักษ์แห่งเมืองโยวตูกลอกตามองบนในใจ และเข้าร่วมต่อสู้ในสถานการณ์นี้อย่างว่าง่าย! อย่าว่าเลย การเคลื่อนไหวของเขารุนแรง ความสามารถก็พอใช้ได้ ทำให้คนของสำนักเหยาไถเซียนล้วนยากที่จะคิดบัญชีย้อนหลัง
เม่ยเอ๋อร์ไม่ได้ขยับตัว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครสามารถวิ่งแจ้นมาถึงตัวเยี่ยนอวี๋ได้ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องลงมือ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายฆ่ากันไปหลายร้อยกว่ากระบวนท่าแล้ว กู้หยวนหมิงถึงได้โรยตัวลงตรงหน้าอินหลิวเฟิง และมองเขาอย่างหมดคำบรรยาย “ความสามารถของซวงเสวียนจวินยอดเยี่ยมจริงๆ”
“ที่ไหนกันๆ แต่จะว่าไปแล้ว ครั้งนี้ข้านำทักษะที่เชี่ยวชาญออกมาใช้หลบหนีจริงๆ คนของสำนักคุนอู๋เหล่านี้ไม่ยอมพูดกันด้วยเหตุผล เอะอะก็จะฆ่าข้า ข้ากลัวมากเลย…” อินหลินเฟิงกล่าวอย่างมีความรู้สึกหวาดผวาในใจ
กู้หยวนหมิงเกือบจะลืมตัวเสียกิริยากลอกตามองบนใส่เขาแล้ว แต่เขาไม่เหมือนหยางเซ่าเหิงที่ปักใจเชื่ออย่างไร้ความสงสัยหรอกนะ…นายน้อยแห่งเมืองโยวตูตรงหน้าผู้นี้เป็นคนเสเพลไร้ค่าคนหนึ่ง
เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แต่ตระกูลอินสายหลักก็ใช่ว่าไร้ผู้คน อินหลิวเฟิงก็ใช่ว่าไม่มีพี่น้อง เจ้าเมืองโยวตูได้วางตำแหน่งนายน้อยให้กับอินหลิวเฟิงตั้งนานแล้ว นี่จะเป็นความลำเอียงเล็กๆ น้อยๆ งั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม กู้หยวนหมิงไม่มีทางเชื่อจริงๆ ว่า อินหลิวเฟิงจะมีความสามารถเท่าที่แสดงออกมาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยว่า “ข้าอยู่ที่ต้าฮวงนานขนาดนี้ ทว่าแม้แต่เขตชายแดนที่อยู่อาศัยของพวกข้าคนของสำนักคุนอู๋ก็ไม่เคยย่างกรายเลยด้วยซ้ำ ซวงเสวียนจวินมีความสามารถมากขนาดนี้ เหตุใดจึงต้องกลัวด้วยเล่า”
“หืม? ท่านพูดว่าพวกเขาไม่รู้ว่าพวกท่านอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” อินหลิวเฟิงแสดงสีหน้าไม่เชื่ออย่างแกล้งโง่และเผยสีหน้าบ่งบอกว่า ‘อย่ามาหลอกข้าผู้ซึ่งไร้ความสามารถนะ’ ออกมา
กู้หยวนหมิงอดทนแล้วอดทนอีก แต่สุดท้ายก็อดทนไม่ไหว จึงกลอกตามองบนด้วยท่าทางสง่างาม แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พลางเอ่ยถามไปตรงๆ ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหยางเซ่าเหิงอยู่ที่ใด”
“อ่อ เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ! เขากลับสำนักคุนอู๋แล้ว! พาสุนัขรับใช้ขั้นสุวรรณชาดสิบสองตัวนั้นของเขากลับไปด้วย” อินหลิวเฟิงตอบคำถามอย่างเรียบร้อย เขาเข้าใจเรื่องหมูไปไก่มาเป็นอย่างดี
“ไปแล้ว?” กู้หยวนหมิงประหลาดใจมาก แต่ก็อยู่ภายใต้การคาดการณ์ของเขาเช่นกัน ถึงอย่างไรข่าวสารของที่นี่ก็ไม่สามารถส่งออกไปได้ แต่เขายังคอยระวังว่าหยางเซ่าเหิงจะกลับมา และนำตัวช่วยมากมายกลับมาด้วย
เมื่อเทียบกันแล้ว กู้หยวนหมิงในยามนี้เชื่อมั่นอย่างเห็นได้ชัดว่า ตัวช่วยที่อินหลิวเฟิงพามานั้นสู้หยางเซ่าเหิงไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อว่าอินหลิวเฟิงเป็นแค่คนไร้ความสามารถคนหนึ่งก็ตาม
ขณะที่กู้หยวนหมิงได้รับข่าวนี้ เฉิงหมิงที่อยู่อีกด้านก็ฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้แล้ว จึงตะโกนเสียงดังว่า “หยุด! หยุดให้หมด! นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด!”
เฉิงหมิงไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่าคนเพียงเท่านี้ไม่ใช่คู่มือของสำนักเหยาไถเซียนไม่กี่สิบคนนี้แน่! โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีชุนซิ่นจวินอยู่ด้วย
แต่กู้หยวนหมิงกลับไม่ให้โอกาสเขาในการถอยกลับ เขาผงกศีรษะให้กับศิษย์น้องหญิงร่วมสำนักที่ตามมาด้วย นางที่เข้าใจก็ตวาดเสียงดังใส่เฉิงหมิงว่า “สำนักเหยาไถเซียนของพวกเรามิอาจล่วงเกิน! เป็นโทษที่ต้องถูกฆ่าโดยมิอาจให้อภัยได้!”
“อ้ะเนะ?”