โฮก!
เสียงคำรามกึกก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดินของอสูรโบราณที่ดังมาจากสถานที่ไม่ไกลจากต้าฮวงสร้างความตื่นตะลึงให้กับจระเข้สองเศียร และความตื่นตระหนกให้กับคทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น!
ทั้งยังประสบความสำเร็จในการทำให้เยี่ยนเสี่ยวเป่ายกก้นเล็กๆ ขึ้น ทั้งร่างกายขนาดเล็กโถมออกไป เยี่ยนอวี๋ปกป้องแขนของเขาไว้ นัยน์ตากลมโตกะพริบปริบๆ มองไปยังแหล่งที่มาของเสียงคำรามอสูร “อ้ะเนะเนะ! เนะ…” อยากไปเล่น เสี่ยวเป่าอยากไปเล่น…
มือเรียวขาวราวกับหยกลูบไปตามศีรษะโล้นของบุตรชาย ลูบจากแนวไรผมไปถึงลำคอนุ่มนิ่มของบุตรชายครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่จะให้บุตรชายที่ร่าเริงสงบลงเล็กน้อย
ทว่าเยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่ได้ถูกลูบจนสงบ เขากลับบิดไปบิดมาอย่างตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังคว้ามือของท่านแม่คนงามมากอดเอาไว้และคลอเคลียใบหน้าอวบอิ่มไปมา “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ…” ท่านแม่พาเสี่ยวเป่าไปหน่อย! ไปนะ…
รอจนเสียงคำรามของอสูรสงบลง ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นล้วนได้ยินเสียงอ้อแอ้น่ารักของเจ้าตัวน้อยบางคนที่ไม่เข้ากับความน่าเกรงขามของสถานการณ์และบรรยากาศอันตึงเครียดเอาเสียเลย
นี่ทำให้อินหลิวเฟิงอยากจะใช้มือไปปิดปากเล็กๆ ของเจ้าตัวน้อยบางคนอย่างอดไม่ได้ ทำไมน่ะหรือ!
แน่นอนว่าเป็นเพราะมีอสูรที่ส่งเสียงคำรามออกมามาอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง! ยังจะ ยังจะร้องอีก…ต้องการดึงดูดความสนใจจากฝ่ายตรงข้ามหรือ
อินหลิวเฟิงเป็นกังวลในชะตาชีวิตของตนเองอย่างยิ่ง
ฟืด เสียงลมหายใจของอสูรขนาดมหึมาบางตนสาดรดลงบนสถานที่แห่งนี้ ทำให้ฝูงชนที่ถูกทำให้ตะลึงค้างแต่เดิมแทบจะขาอ่อนแรงโดยไม่รู้ตัว
และในเวลาเดียวกันนั้น ร่างวิญญาณของอสูรขนาดมหึมาสีแดงเข้มที่คดโค้งกว่าพันลี้ก็เติมเต็มวิสัยทัศน์ของฝูงชนเต็มที่!
“มังกรทอแสง” กู้หยวนหมิงเอ่ยออกมาทีละคำ เขาสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของอสูรโบราณตนนี้ได้อย่างชัดเจน เกรงว่าจะห่างจากการคาดการณ์ของเขาลิบลับ เพราะว่ามันไม่มีร่างจิตวิญญาณ ไม่ใช่…
อินหลิวเฟิงก็ค้นพบเช่นกัน “จริงหรือ ท่านนั้นหรือ”
“อ้ะ! อ้ะเนะเนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าตื่นเต้นมากกว่าเดิม
อินหลิวเฟิงอยากจะร้องไห้แล้ว “เบาเสียงหน่อยเถอะ ท่านบรรพบุรุษตัวน้อย…” เขาอยากจะพูดว่า ท่านตัวเล็กขนาดนี้ เกรงว่าคงไม่พอให้ติดซอกฟันมังกรทอแสงตนนี้เลย!
“มันไม่ได้ยิน” เยี่ยนอวี๋กลับเอ่ยขึ้นมา นางถึงขั้นอุ้มบุตรชายที่ตื่นเต้นของนางเดินผ่านอินหลิวเฟิงและกู้หยวนหมิงตรงไปยังมังกรทอแสงที่อยู่ไม่ไกลตนนั้น
นี่…
“บัดซบ!”
อินหลิวเฟิงรีบตามไปอย่างลืมตัวเสียกิริยาอีกครั้ง ทั้งยังลองเอ่ยยับยั้งว่า “แม่นาง ท่านอย่าบุ่มบ่ามจะได้ไหม”
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้หยุด นางยังคงเดินตรงไปข้างหน้าอีกระยะหนึ่ง และหยุดลงในตอนที่อินหลิวเฟิงใกล้จะผุดเหงื่อเย็น พลางเอ่ยว่า “เจ้ามาดูนี่”
“ข้า?” อินหลิวเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตามเข้าไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังจุดเทียนไว้อาลัยอย่างลึกซึ้งให้กับความกล้าหาญของตนเอง ความจริงแล้วเขาไม่อยากจะเข้าไปใกล้ขนาดนั้น!
แม้ว่ามังกรทอแสงตรงหน้าจะดูเหมือนหยุดนิ่ง หมอบดูพวกเขา โดยไม่ได้ทำสิ่งใด แต่ความรู้สึกที่ถูกมองเป็นมดกลับชัดเจนที่สุด!
อินหลิวเฟิงมั่นใจว่า ถ้าหากมังกรทอแสงตนนี้คิดอยากจะทำอะไรบางอย่างกับพวกเขา พวกเขาทั้งหมดล้วนจบเห่แน่นอน! ไม่มีใครสามารถหลบหนีได้ ผลลัพธ์ก็คือแม่ลูกสองคนนี้อีกคนกลับแข่งกันทำตัวยโสโอหัง!
ผู้เป็นบุตรชายร้องโวยวายไปทั่ว ผู้เป็นมารดาไม่เพียงแต่ไม่ปลอบ กลับพาบุตรชายเข้าไปดูใกล้กว่าเดิม…อินหลิวเฟิงเป็นกังวลใจอย่างมากว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินยี่สิบห้าปี
ทว่าเยี่ยนอวี๋ไม่ได้รับรู้ถึงความคิดไร้สาระเหล่านี้ของเขาด้วยซ้ำ นางเอ่ยขึ้นในตอนที่อินหลิวเฟิงเดินเข้ามาใกล้ “มองที่ตาของมัน”
อินหลิวเฟิงทนรับแรงกดดันมหาศาล ฝืนแหงนหน้ามอง! ก็สบเข้ากลับเบ้าตาสีนิลราวกับดวงอาทิตย์สีดำขนาดมหึมาสองดวง หืม? เบ้าตา? ตาบอด…
“ตาบอด?” ขณะที่อินหลิวเฟิงตกตะลึง ก็คิดถึงเยี่ยนอวี๋ที่บอกว่ามันไม่ได้ยิน นั่นก็หมายความว่า “นี่เป็นมังกรทอแสงที่ทั้งตาบอดและหูหนวกตนหนึ่ง?”
เยี่ยนอวี๋ไม่ตอบคำถาม แต่นางสามารถมั่นใจได้ว่า นี่ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของมังกรทอแสง แต่น่าจะเป็นผิวหนังชั้นหนึ่งของลูกน้องนางที่ลอกคราบในปีนั้น
และแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ผิวหนังชั้นหนึ่ง แต่ผ่านการฝึกปรือมาหลายปีขนาดนี้ ความสามารถย่อมไม่อาจดูแคลนได้ ทว่าในฐานะผิวหนังชั้นหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ถูกขีดจำกัด ไม่สามารถมีประสาทสัมผัสทั้งสี่ มันมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ความสามารถในการรับรู้ก็อ่อนแรงมาก
ในเวลาเดียวกันกับที่เยี่ยนอวี๋นิ่งเงียบ อสูรขนาดมหึมาสีแดงเข้มที่น่าหวาดกลัวตรงหน้าตนนี้ก็เปลี่ยนทิศทาง เบนศีรษะไปยังเขตลึกในต้าฮวง ทำให้เกิดเสียงดังครืนของแผ่นดินที่สั่นสะเทือน
“เม่ยเอ๋อร์” เยี่ยนอวี๋เอ่ยเรียก
เม่ยเอ๋อร์รีบบังคับรถม้ามาข้างกายเยี่ยนอวี๋ในทันที และอุ้มบุตรชายพลิกกายขึ้นรถม้าไป อินหลิวเฟิงก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว เอ้อร์เหมาแห่งเมืองโยวตูที่อยู่ไม่ไกลก็สลัดความตกตะลึงทิ้งไป แล้วปีนขึ้นรถม้าตามไปอย่างว่องไวเช่นกัน
อ้ากก เม่ยเอ๋อร์สะบัดแส้ลงบนร่างวัวกระทิงที่ถูกทำให้ตกใจกลัว ฝ่ายหลังร้องครางออกมาตามสัญชาตญาณ และตามมังกรทอแสงที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรตัวนั้นไปตามความต้องการของเม่ยเอ๋อร์อย่างตะลึงงัน
โดยละทิ้ง ‘เด็กน้อย’ กลุ่มหนึ่งที่รู้ตัวช้าเอาไว้ตรงนั้น พวกเขาล้วนสูญสิ้นความสามารถในการใคร่ครวญไปแล้ว…
เมื่อเห็นว่าอสูรขนาดยักษ์ตนนั้น รวมไปถึงรถม้าด้านหลังกำลังจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย กู้หยวนหมิงถึงได้สติคืนกลับมาทันที! ทะยานตัวไปบนฟ้าหอบม้วนกลีบมวลผกาสีชมพูร่ายรำไปทั่วกลางอากาศ
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงของกู้หยวนหมิงที่จากไปไกลถึงได้ดังลอยมาว่า “ตามมาให้หมด!”
กลุ่มคนสำนักเหยาไถเซียนที่เพิ่งจะได้สติคืนกลับมาก็รีบตามชุนซิ่นจวินของพวกเขาไป และไม่สนใจคนของสำนักคุนอู๋ที่ตายไปจนเหลือไม่กี่คนอย่างเฉิงหมิงและคนอื่นๆ อีก
ในตอนนี้ใครก็ล้วนมองออกว่าหากติดตามมังกรทอแสงที่ว่ากันว่าหูหนวกตาบอดตนนั้นไป ก็คงจะสามารถตามหาสัญลักษณ์ของปฐมราชินีแห่งตำหนักไท่ชางในสมัยรัชศกหยวนที่ปรากฏออกมาแล้วได้
ดังนั้นกระทั่งเฉิงหมิงที่เกือบจะสิ้นชีพเมื่อครู่นี้ก็กัดฟันตะโกนเสียงดังว่า “พวกเราก็ตามไปด้วย!”
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น…
ต้าซือมิ่งแห่งราชสำนักผู้หนึ่งที่อยู่นอกเกราะคุ้มภัยก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ! เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางเกราะคุ้มภัย
ครืน