และในขณะที่เยี่ยนอวี๋กำลังปลอบโยนลูก พลางฝึกฝนไปด้วยอยู่นั้น เยี่ยนจื่อเสาที่อยู่ข้างนอกก็เดินวนไปมาอย่างกระวนกระวายใจ “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์?”
“นางบอกว่าไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ” อินหลิวเฟิงไม่เข้าใจ หมายจะเข้าไปตบไหล่เยี่ยนจื่อเสา แต่เมื่อพิจารณาว่าเยี่ยนจื่อเสารับมือยาก เขาจึงยอมแพ้
“บางทีเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อาจโกหกเราก็ได้? ถ้าไม่เป็นไร ทำไมนางถึงยังไม่ออกมาล่ะ” เยี่ยนจื่อเสาไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าน้องสาวไม่เป็นไร ย่อมไม่วางใจเป็นธรรมดา
“พวกเราลองไปหาที่อื่นดู ลองดูว่าสามารถเข้าไปได้หรือไม่” เม่ยเอ๋อร์ค่อนข้างเป็นกังวล เพราะนางไม่สามารถสัมผัสได้ว่าภายในนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เมื่อนางปลดปล่อยจิตเหนือสำนึกออกไปก็เหมือนโยนหินลงทะเลลึก ที่ไม่ทำให้เกิดคลื่นแม้แต่น้อย
“เป็นความคิดที่ดี” อินหลิวเฟิงเห็นด้วยกับความคิดของเม่ยเอ๋อร์ “แต่จะหาได้อย่างไร เจ้ามีเบาะแสหรือ”
“ข้ามีขอรับ!” เอ้อร์เหมาออกความเห็น!
“เจ้า?” อินหลิวเฟิงมององครักษ์ของตัวเองอย่างคลางแคลงใจ
เอ้อร์เหมาพูดด้วยความมั่นใจว่าเป็นความคิดที่เข้าท่า “ก่อนที่เราจะมาถึงที่นี่มีทางแยกหลายเส้นทางไม่ใช่หรือ พวกเราก็กลับไปเดินหาตามเส้นทางอื่น ก็จะหาวิธีอื่นที่สามารถเข้าไปได้แล้วไม่ใช่หรือขอรับ”
อินหลิวเฟิงไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นเขาจึงจำใจต้องเห็นชอบอย่างไม่เต็มใจ “เอาเช่นนี้ เอ้อร์เหมากับเม่ยเอ๋อร์ไปสำรวจทาง ข้ากับจื่อเสาจะเฝ้าอยู่ที่นี่ต่อเอง”
“ข้าจะไปสำรวจเส้นทางเหมือนกัน ซวงเสวียนจวินเจ้าเฝ้าที่นี่คนเดียวก็พอ” เยี่ยนจื่อเสาแสดงชัดว่านั่งไม่ติดที่แล้ว
“…ก็ได้” อินหลิวเฟิงที่ได้รับมอบหมายให้รับภาระสำคัญ เขารู้ว่าเหตุใดเยี่ยนจื่อเสาจึงไว้ใจเขามาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับความไว้ใจ แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขนัก
เอ้อร์เหมานั้นต่างออกไป เขาคิดด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก! นายน้อยของพวกเขาได้รับการยอมรับแล้วจริงๆ แม้แต่พี่ภรรยาคนรองก็จัดการได้จนอยู่หมัด คู่ควรแล้วที่เป็นถึงนายน้อย!
…
แต่ถึงกระนั้น ทั้งหมดก็แยกออกเป็นสองกลุ่มอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้อินหลิวเฟิงอยู่ที่เดิมเล่นดินปั้นที่น่าเบื่อลำพัง แต่เขาไม่ได้เล่นดินปั้นคนเดียวนานนัก ไม่นานกู้หยวนหมิงก็มาถึง
“ซวงเสวียนจวิน?” กู้หยวนหมิงมองอินหลิวเฟิงด้วยแววตาฉงน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงถามขึ้นมา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขากับอินหลิวเฟิงไม่ได้มาเส้นทางเดียวกัน
“ข้าก็อยากถามเจ้าเหมือนกัน” อินหลิวเฟิงมองซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นว่าไม่มีใครนอกจากกู้หยวนหมิง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แล้วบรรดาศิษย์สาวร่วมสำนักของเจ้าล่ะ?”
“…ไม่ทราบ” กู้หยวนหมิงขมวดคิ้วอย่างอธิบายไม่ถูก “แม้ว่าเราจะเดินแยกกันสองเส้นทาง แต่คนที่ตามข้ามาทั้งสิบคน เดินอยู่ดีๆ ก็หายตัวไป แต่…”
หยุดชั่วขณะ กู้หยวนหมิงกล่าวต่อว่า “ข้าเห็นศพของพวกคนของเฉิงหมิง ดูเหมือนว่าจะถูกสัตว์ร้ายบางชนิดดูดเลือดจนเหลือเพียงผิวหนังกับกระดูกเท่านั้น”
“บัดซบ!” อินหลิวเฟิงพูดอย่างมึนงง “นั่นมันสัตว์ประหลาดอะไรกัน หรือเป็นสัตว์ประหลาดในตำนาน…ตัวเฟย? ตัวเฟยที่ทำให้เหี่ยวแห้งในทุกๆ ที่ที่ผ่านอย่างนั้นหรือ หรือว่าจะเป็นตัวขุยป๋า หรือว่า…”
“ไม่เหมือนนะ” กู้หยวนหมิงขัดจังหวะ “ตอนแรกข้าคิดว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด แต่ไม่นานข้าก็พบว่าไม่ใช่ เพราะมีรอยเท้าของคนในที่เกิดเหตุด้วย”
“บัดซบ…” อินหลิวเฟิงรู้สึกตกใจมากขึ้นไปอีก “นอกจากสำนักเหยาไถเซียนของพวกเจ้า สำนักคุนอู๋ของพวกเขาแล้ว ยังมีสำนักไหนที่มาที่นี่อีก”
กู้หยวนหมิงส่ายศีรษะ ในข้อมูลที่เขาได้รับ ไม่มีกองกำลังของสำนักอื่นที่เข้ามาในขอบเขตของ ‘ม่าน’ นี้ แต่เขาพูดอย่างไม่สามารถมั่นใจ
“เดิมทีข้าก็ไม่ทราบว่าเจ้ากับแม่นางเยี่ยนอวี๋ก็จะมาด้วย”
“พวกเราถือว่ามาโดยบังเอิญ” อินหลิวเฟิงบอกว่าไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรก “หรืออาจจะเป็นคนของลัทธิเซิ่งเหลียน”
“ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากลัทธิเซิ่งเหลียน” กู้หยวนหมิงไม่ได้ตัดทอนความเป็นไปได้นี้ “ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์ของลัทธิเซิ่งเหลียนมีประเพณีมุ่งหน้าไปสั่งสมประสบการณ์ที่สุสานฝังศพจิ่วหลี และสุสานฝังศพจิ่วหลีก็อยู่แถวนี้”
ซี๊ด… อินหลิวเฟิงพูดด้วยอาการสยองขวัญ “ทำไมพวกเขาถึงมาได้ รู้แต่แรกข้าก็ไม่มาแล้ว” มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพวกจิ่วหลีนั้นวิปริตวิตถารมาก วิชาที่ใช้ฝึกฝนล้วนเป็นศาสตร์มืดทั้งนั้น
แต่หลังจากอินหลิวเฟิงพูดจบ เสียงชั่วร้ายก็ดังขึ้นไม่ไกล “โอ้? ที่แท้นายน้อยอินไม่ชอบหน้าลัทธิเซิ่งเหลียนของข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
กู้หยวนหมิงหันกลับมาทันที เห็นกลุ่มชายหญิงวัยหนุ่มสาวในเสื้อผ้าชุดประหลาด พวกเขากำลังเดินเข้ามาในอุทยานอันเหี่ยวแห้งนี้ตามลำดับ
อินหลิวเฟิงยังรู้จักคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ดังนั้นเขาจึงยิ้มเจื่อนๆ พร้อมพูดว่า “ชือหมิ่นซิงนี่เอง จะ…เจ้าก็มาด้วยหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เห็นพวกเจ้าเล่า”
“บังเอิญว่าข้าก็ไม่เห็นนายน้อยอินเช่นกัน แต่เวลานี้กลับมีชะตาต้องกันเสียอย่างนั้น” ลูกศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนที่มีนามว่าชือหมิ่นซิงเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี สวมชุดเครื่องประดับเงินของศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียน นอกจากนี้บนศีรษะของเขายังสวมหมวกอันประดับด้วยเงินซับซ้อนด้วย
ชายสามหญิงสองที่มาพร้อมกับเขา สวมใส่อาภรณ์ที่ไม่แตกต่างกันนัก แต่เมื่อพวกเขาเคลื่อนกาย เครื่องประดับเงินที่อยู่บนร่างกายกลับไม่ได้ส่งเสียงกระทบกันออกมาแต่อย่างใด เงียบเชียบจนรู้สึกหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนของลัทธิเซิ่งเหลียนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่คล้ายกัน แต่อินหลิวเฟิงก็ยังจำได้ ชือหมิ่นซิงเป็นศิษย์สายตรง ส่วนที่เหลืออีกห้าคนเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา เพราะทั้งห้าคนสวมชุดสีฟ้าธรรมดา ทั้งเครื่องประดับเงินก็ดูเรียบง่าย
ต่างจากชือหมิ่นซิง คนผู้นี้แต่งกายด้วยชุดสีแดงเพลิง มีรูปแกะสลักชิวโหยว[1] ปักอยู่บนอกเสื้อของเขา เครื่องประดับเงินของเขาส่วนใหญ่เป็นหงส์และไฟ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศิษย์สายตรงสกุลชิวของลัทธิเซิ่งเหลียน
“ศิษย์สกุลชือหรือ” กู้หยวนหมิงจ้องมองที่ชือหมิ่นซิงอย่างระมัดระวัง เพราะเขารู้ดีว่าขุมพลังที่ฝึกฝนของทายาทสายตรงของลัทธิเซิ่งเหลียนสกุลชือคนนี้แปลกประหลาดมาก
“ถูกต้อง ข้าน้อยคือชือหมิ่นซิงลูกศิษย์แซ่ชือ ท่านผู้นี้คือชุนซิ่นจวินแห่งสำนักเหยาไถเซียน กู้หลางจวินสินะ?” ชือหมิ่นซิงกลับยกมือประกบคำนับกู้หยวนหมิงอย่างสุภาพ
“ข้า…” กู้หยวนหมิงกำลังจะตอบ แต่พบว่าชือหมิ่นซิงมองเข้าไปในดวงตาของเขา และทันใดนั้นก็มีประกายสีฟ้าคราม? นั่นทำให้เขารู้สึกเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง
ทันทีหลังจากนั้น…
[1] ชือโหยว เป็นผู้นำของชนเผ่าจิ่วหลีในประเทศจีนยุคโบราณ ชือโหยวเป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ในการรบกับหวงตี้ (จักรพรรดิเหลือง) ในยุคสามราชาห้าจักรพรรดิในเทพปกรณัมจีน