และน้ำเสียงเยือกเย็นสง่างามนี้ เมื่อคำว่า ‘ไปซะ’ ดังก้องกังวานเข้าไปในหูของหัวหน้าลัทธิเซิ่งเหลียน กลายเป็นเสียงราวกับภูเขาไฟที่ปะทุ! แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น ระเบิดตับไตไส้พุงอวัยวะภายในของเขา
ตัวตนของเขา! ภายใต้ ‘คำสั่ง’ ของต้าซือมิ่งแห่งราชสำนัก เขาได้หวนกลับไปสู่ตอนใต้สุดของเมืองโบราณของอาณาจักรต้าซย่า โดย ‘นั่ง’ อย่าง ‘สงบ’ อยู่ในเมืองชั้นใน
“…”
บรรดาบุคคลชั้นนำของลัทธิเซิ่งเหลียนต่างสำลักและพูดไม่ออก
เมื่อครู่พวกเขาเกลี้ยกล่อมอย่างดุเดือดเท่าใด บัดนี้พวกเขายิ่งหวาดกลัวเท่านั้น
ตามสนธิสัญญาที่ลงนามโดยชนเผ่าจิ่วหลี หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามในปีนั้น บุคคลระดับผู้นำของลัทธิเซิ่งเหลียนไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปในเขตแผ่นดินตอนกลางได้ นอกจากจะถูกเรียกพบเป็นการเฉพาะเท่านั้น
เมื่อใดที่เข้าไป ราชสำนักต้าซย่าสามารถส่งกองกำลังไปทำลายลัทธิเซิ่งเหลียนได้ตลอดเวลา!
บัดนี้…
“ท่านผู้นำ…” บุคคลระดับผู้อาวุโสบางคนของลัทธิเซิ่งเหลียนที่สามารถสัมผัสได้ถึงขุมพลังของต้าซือมิ่งแห่งราชสำนัก พวกเขาเกือบจะร้องไห้แล้ว นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องคอยช่วยเหลือผู้นำที่พูดไม่ฟังและมุทะลุบ้าดีเดือด! ขอเปลี่ยนคนได้หรือไม่!
และผู้นำลัทธิเซิ่งเหลียนผู้ห้าวหาญไม่สนใจสิ่งใดในตอนนั้น เขาเหี่ยวแห้งไปแล้ว “ข้า ข้าที่เป็นผู้นำก็คิดไม่ถึง ข้าแค่จะไปเขตชายแดนของแผ่นดินตอนกลางเท่านั้น ไม่! ไม่ใช่สิ ที่นั่นคือต้าฮวง ต้าฮวง! ยังมิใช่แผ่นดินตอนกลาง ก็ถูกขับไล่กลับมาแล้ว!”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ผู้นำลัทธิเซิ่งเหลียนผู้ล่ำสันไม่เป็นรองใครก็รีบคิดหาข้อแก้ตัวและกล่าวว่า “ใช่! ที่ข้าไปคือต้าฮวง ไม่ใช่แผ่นดินตอนกลางด้วยซ้ำ! ไม่นับว่าผิดสัญญา!”
“เช่นนั้นท่านก็ลองไปอีกครั้งดูสิ?” ผู้อาวุโสของลัทธิเซิ่งเหลียนกล่าวอย่างเฉยเมย เขาคิด! ไม่ช้าก็เร็ว ลัทธิเซิ่งเหลียนของพวกเขาจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของผู้นำเพียงคนเดียวเป็นแน่!
“โอ้ ไม่ ไม่ดีกว่า แต่เราสามารถร้องขอความเป็นธรรมกับราชสำนักต้าซย่าได้! เรื่องอะไรข้าจะไม่มีสิทธิไปต้าฮวง” ผู้นำลัทธิเซิ่งเหลียนไม่เต็มใจอย่างยิ่ง “และซิงเอ๋อร์ก็ถูกสังหารไปแล้ว! เขาเป็นลูกชายของข้า!”
“ร้องขอความเป็นธรรมนั้นทำได้ แต่ไม่แน่ว่าราชสำนักต้าซย่าควบคุมคนที่ขับไล่ท่านออกมาได้” ผู้อาวุโสผู้เย็นชาของลัทธิเซิ่งเหลียนกล่าวเตือนด้วยสายตาเฉียบแหลมว่า “ต้าซือมิ่งแห่งต้าซย่าคือขุมพลังหลักที่ทำลายลัทธิเซิ่งเหลียนเรา ถ้าไม่มีต้าซือมิ่งผู้นี้ ราชวงศ์ต้าซย่าไม่มีค่าด้วยซ้ำ”
“ผู้อาวุโสใหญ่! สงบจิต! สงบใจหน่อย! ใช้คำพูดสุภาพด้วย” ผู้อาวุโสลัทธิเซิ่งเหลียนอีกคนรีบเตือนผู้อาวุโสใหญ่ แต่ในใจแอบชื่นชมยินดี โชคดีที่ลูกชายของผู้นำตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้านั่นก็คงระยำไม่ต่างจากผู้นำเท่าไรนัก
ตอนนี้ดีแล้ว!
ลัทธิเซิ่งเหลียนของพวกเขาสามารถเปลี่ยนเซิ่งจื่อได้
ประเสริฐนัก!
คราวนี้ต้าซือมิ่งแห่งราชสำนักข้องเกี่ยวเรื่องทางโลกแล้ว อาจเป็นเพราะว่าเขากับราชสำนักไม่ลงรอยกัน ดังนั้นจึงมอบ ‘โอกาสพลิกฐานะ’ ให้กับลัทธิเซิ่งเหลียน?
ด้วยเหตุนี้ ผู้อาวุโสรองของลัทธิเซิ่งเหลียนจึงรีบแนะนำ “ในเมื่อเซิ่งจื่อได้ล่วงลับไปแล้ว ภาระอันเร่งด่วนในเวลานี้ นอกจากจะยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกับราชสำนักต้าซย่าแล้ว ยังต้องเลือกเซิ่งจื่อ บุตรศักดิ์ของเซิ่งเหลียนคนต่อไปด้วย”
“เป็นทางเลือกที่ดี! ตราบใดที่ใครก็ตามสามารถล้างแค้นให้ลูกชายของข้าได้ เขาก็จะเป็นเซิ่งจื่อคนต่อไป!” ผู้นำของลัทธิเซิ่งเหลียนประกาศกร้าวด้วยความตั้งใจอันยิ่งใหญ่! เขาต้องล้างแค้นให้ลูกชายของเขา!
“เอ่อ…” ผู้อาวุโสรองของลัทธิเซิ่งเหลียนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสใหญ่ของลัทธิเซิ่งเหลียนเห็นพ้องต้องกันว่า “ได้ ในเมื่อเซิ่งจื่อคนก่อนเกิดเรื่องที่ต้าฮวง ถ้าเช่นนั้นผู้ที่จะได้รับคัดเลือกเป็นเซิ่งจื่อคนต่อไปของลัทธิเราจะต้องไปที่ต้าฮวงทั้งหมด ถึงวาระนั้นผู้ใดที่สามารถแก้แค้นให้กับเซิ่งจื่อได้ ก็จะได้เป็นเซิ่งจื่อคนต่อไป”
“ถูกต้อง! เช่นนี้แหละ!” ในที่สุดผู้นำลัทธิเซิ่งเหลียนถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ ทุบโต๊ะอย่างแรง และใช้แก่นพลังวิญญาณเปลวไฟอันแกร่งกล้า หลอมรวมเป็นใบหน้าของคนสองคน แล้วกล่าวว่า “ฆาตกรคือสองคนนี้!”
ด้วยเหตุนี้…
อินหลิวเฟิงกับกู้หยวนหมิงที่ยังไม่ได้ทำอะไรกับชือหมิ่นซิงเลย กลับอยู่ใน ‘บัญชีดำ’ เป็นแพะรับบาป และพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม อินหลิวเฟิงในฐานะผู้ที่เคยเป็นแพะรับบาป เขายังคงตื่นตัวอยู่เสมอ “ข้ามักจะมีลางสังหรณ์ไม่ดี ชุนซิ่นจวิน เราจะไม่ถูกมองว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าชือหมิ่นซิงใช่หรือไม่”
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ลัทธิเซิ่งเหลียนจะทำอะไรได้ พวกเขากล้าลงมือฆ่าบุตรชายของผู้มีอำนาจแห่งต้าซย่า กับบุตรชายคนโตของสกุลกู้หรือ” กู้หยวนหมิงกล่าวอย่างไม่แยแส
“…เอาเถอะ เจ้าวิเคราะห์เช่นนี้ก็ถูก” อินหลิวเฟิงเห็นด้วยกับคำพูดของกู้หยวนหมิง แต่ทำไมเขาถึงต้องเป็นแพะรับบาปล่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นะ!
แต่ไม่ว่าอินหลิวเฟิงจะคิดอย่างไร กู้หยวนหมิงผู้ซึ่งไม่เห็นลัทธิเซิ่งเหลียนอยู่ในสายตาได้ถามขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยนน่ะ นางเข้าไปแล้วหรือ”
“เอ๋?” อินหลิวเฟิงกะพริบตาอย่างคนแกล้งโง่ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
กู้หยวนหมิงอดไม่ได้อีกครั้ง กลอกตาอย่างสง่างาม “ไม่มีใครบอกเจ้าหรือว่าตอนที่เจ้าแสร้งทำเป็นโง่ ท่าทางเหมือนองครักษ์ของเจ้ามากเลย” ดูโง่มาก!
“ข้าเปล่า ข้าไม่ได้…ข้าไม่รู้จริงๆ” อินหลิวเฟิงปฏิเสธไม่ยอมรับ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าถึงยอมรับไปก็ไม่สำคัญ แต่ในเมื่อทุกคนไว้วางใจเขามาก เขาก็ไม่ควรพูด
กู้หยวนหมิงพูดไม่ออกจริงๆ แต่ไม่ว่าเขาจะรู้ความจริงหรือไม่ก็ตาม เขาก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรออยู่ที่นี่ และคอยดูว่าเมื่อคุณหนูใหญ่เยี่ยนออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร
ส่วนความคิดที่จะบุกเข้าไปหยิบฉวยอะไรออกมานั้นก็ลืมไปเสียเถอะ ชือหมิ่นซิงได้ใช้ชีวิตของเขาอธิบายผลที่ตามมาจากความพยายามที่จะบุกเข้าไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากู้หยวนหมิงจะไม่มีความคิดใดๆ แต่ต้าซือมิ่งแห่งราชสำนักกลับมีความคิดมากมาย! และสิ่งที่เขาได้ดำเนินการไปแล้วก็คือกระจายจิตเหนือสำนึกกลุ่มหนึ่งเข้าไปสำรวจในห้องที่เยี่ยนอวี๋อยู่
“…”
จิตเหนือสำนึกของต้าซื่อมิ่งแทรกซึมเข้าไปอย่างเงียบๆ มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจของกระบี่ไท่ชาง แต่ทันทีที่เข้ามา เจ้าตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้น!
“เนะ?”