การที่นางเกิดใหม่เป็นเยี่ยนจื่ออวี๋อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่อาจจะเป็นเพราะวิญญาณของพวกนางสองคนสามารถใช้ร่างกายเดียวกันได้
“แม่นางน้อยคนนี้หน้าตาเหมือนข้า รูปร่างก็เช่นกัน” เยี่ยนอวี๋รู้สึกซับซ้อน นางรู้สึกเจ็บแปลบที่ทุ่งพลังของตนในระดับที่สามารถทนรับได้ พลางทอดถอนใจ
บางครั้งชะตากรรมก็วิเศษเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนจื่ออวี๋ตายไปอีกครั้ง บางทีพวกนางอาจจะใช้ร่างกายร่างเดียวกันต่อไปก็เป็นได้
…
ในขณะที่เยี่ยนอวี๋กำลังอ่อนไหวอยู่นั้น บริเวณหัวใจของนางก็มีแสงดำมืดจางๆ แสงหนึ่งกระจายหายไป นั่นคือพลังของวิชาที่สกัดบางอย่างไว้นั่นเอง
เยี่ยนอวี๋ยกมือขึ้นรีบคว้าแสงสีดำที่ทะลักออกมาเข้าไปในกลุ่มก้อนแสงสีดำม่วง ไม่ปล่อยให้มันแยกสลายจากกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้วิชาสกัดไหวตัวทัน
ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับพบว่าในกลุ่มพลังวิชาสกัดกลุ่มนี้ ไม่เหมือนกับวิชาสกัดใดๆ ที่นางรู้จักเลย “คล้ายวิชาปรปักษ์สวรรค์ แต่ก็มีกลิ่นอายของวิชาทะลวงสวรรค์ แต่กลับไม่ใช่การผสมผสานของทั้งสองวิชา”
เยี่ยนอวี๋รู้ว่า เมื่อครั้งวิชาปรปักษ์สวรรค์และวิชาทะลวงสวรรค์ วิชาสกัดสองประเภทนี้ยังไม่ถูกห้ามใช้ พวกมันต่างเป็น “ยาในตำนาน” ที่ใช้แก้ไขพรสวรรค์
นักปรุงยาใช้วิธีการเฉพาะปรุงยาวิเศษทำให้คน ‘ไร้ประโยชน์’ ที่ไม่สามารถฝึกฌานได้ กลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ฝึกฌานได้ด้วยการแปลงสภาพ
แต่ยาปรปักษ์สวรรค์และยาทะลวงสวรรค์ที่จำเป็นต้องใช้ในการแปลงสภาพนั้นชั่วร้ายนัก พวกมันต้องใช้ทุ่งพลังของผู้ฝึกฌานคนใดคนหนึ่งในการหลอมยา! มันจึงกลายเป็นยาต้องห้าม ดังนั้นวิชาปรปักษ์สวรรค์และวิชาทะลวงสวรรค์ที่ต่อยอดมาจึงกลายเป็นวิชาต้องห้ามไปด้วย
“ดูท่า เหนียงเหนียงในวันข้างหน้าท่านนี้คงสามารถใช้วิชาต้องห้ามอันปราดเปรื่องเช่นนี้ได้ไม่น้อย” เมื่อเยี่ยนอวี๋ได้ข้อสรุปดังนั้น นางก็ปล่อยแสงสีดำผนึกวิชาสกัดในร่างกายไว้
ถึงแม้ความลึกซึ้งของวิชาสกัดที่อยู่ในร่างนางจะชวนให้เยี่ยนอวี๋ฉงนสงสัย แต่นางก็ไม่วอกแวกถลำลึกเพื่อศึกษา นางบำเพ็ญฝึกฝนร่างกายของนางต่อไป
แต่แล้วร่างกายเยี่ยนอวี๋ที่เคยถูกตราหน้าว่าอ่อนแอนั้น หลังจากที่ถูกการโจมตีถึงสามครั้งของกระบี่ไท่ชางจึงเพิ่งปรากฏเหตุการณ์ทุ่งพลังแหลกสลาย
ถึงแม้ว่าการโจมตีทั้งสามครั้งของกระบี่ไท่ชางจะใช้เพียงพลังที่เพิ่มขึ้นทีละเท่าตัว แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยนอวี๋ดีใจปนประหลาดใจได้แล้ว ความคืบหน้าเช่นนี้ อย่างมากที่สุดภายในสามวัน นางจะสามารถทำให้ร่างกายของตนทนทานต่อการใช้พลังที่ตรงกับพลังจิตวิญญาณของนางได้
…
สองวันผ่านไป เยี่ยนจื่อเสาและคนอื่นๆ อีกสามคนเข้ามาในเรือน ในที่สุดเขาก็รวมตัวกับอินหลิวเฟิง กู้หยวนหมิงแล้ว แต่เสียงของเขาหดหู่มาก “เสี่ยว… ยังไม่มีคนออกมาหรือ”
“ไม่มี” อินหลิวเฟิงรู้สึกว่าในปากของเขาไม่เพียงเป็นแผลร้อน เขายังรู้สึกเสี้ยนอยากทานเนื้อมาก ถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามีของกินอย่างอื่นหรือไม่ ข้าไม่อยากแทะอาหารแห้งอีกแล้ว”
เยี่ยนจื่อเสาไม่สนใจคำพูดของอินหลิวเฟิง อินหลิวเฟิงได้แต่มองเม่ยเอ๋อร์ตาปริบ เขารู้ว่าเม่ยเอ๋อร์ยังมีข้าวต้มของท่านประมุขน้อยอยู่
เม่ยเอ๋อร์ไม่ได้มองอินหลิวเฟิง นางกำลังมองไปที่บ้านหลังโทรมตรงหน้าอย่างเป็นกังวล เนื่องจากช่วงระยะเวลานี้ นางรู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของนายหญิงไม่ค่อยเสถียรเอาเสียเลย
และด้วยสีหน้าเช่นนี้ของเม่ยเอ๋อร์จึงทำให้อินหลิวเฟิงเบนความสนใจทันที “เม่ยเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่ของเจ้าเกิดเรื่องแล้วหรือ”
“อืม” เม่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมั่นใจ
เยี่ยนจื่อเสาอยู่นิ่งๆ ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว แต่สองสามวันนี้ พวกเขาหาทางเข้าทางอื่นทั้งหมดแล้ว แต่ก็ไม่พบเส้นทางอื่นที่สามารถเข้าไปบ้านหลังนี้ได้เลย
เอ้อร์เหมาองครักษ์นายหนึ่งเกาศีรษะ ก่อนจะพูดว่า “ทำอย่างไรดีขอรับ เราไม่มีทางเข้าไปได้เลย”
… ทุกคนเงียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เม่ยเอ๋อร์ก็พูดขึ้นว่า “มีศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนเข้าไปในหุบเขาอีกแล้ว”
“หา?” เอ้อร์เหมาชะงัก ก่อนจะพูดเมื่อตั้งสติได้ว่า “คนสารเลวกลุ่มนั้นอีกแล้วหรือขอรับ จะว่าไปแล้ว ห้าคนก่อนหน้านี้ล่ะ”
“อยู่นั่น” อินหลิวเฟิงชี้ที่ที่ไกลออกไป
เยี่ยนจื่อเสาจึงเห็นศพที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่สามศพ สามคนนี้ก่อนตายเป็นอย่างไร บัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น ไม่ส่งกลิ่นเหม็นหรือเน่าเปื่อยเลย
อินหลิวเฟิงที่เพิ่งสังเกตสามศพนี้อีกครั้งก็รู้สึกประหลาดใจ พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าดูสิ สภาพพวกเขาสดใหม่เกินไปหรือไม่”
“น่าแปลกตรงไหน ที่นี่คือตำหนักไท่ชาง สามารถทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยเป็นหมื่นปีก็ไม่แปลก” กู้หยวนหมิงไม่รู้สึกประหลาดแต่อย่างใด
อินหลิวเฟิงกลับค้านขึ้นว่า “แต่ทุกสิ่งในเรือนนี้ กลับปรากฏเพียงความเน่าเฟะและเสื่อมสลายนี่”
นี่จึงทำให้อินหลิวเฟิงเข้าไปใกล้ร่างของชือหมิ่นซิงตามสัญชาติญาณ เขาเตรียมจะคุกเข่าลงเพื่อสำรวจ แต่ครั้นเขาเพิ่งจะคุกเข่าลงก็รู้สึกถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
กริ๊งๆ ๆ … เสียงกระดิ่งสั่นดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะ ในขณะที่อินหลิวเฟิงคุกเข่าลงไปนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากทางเข้าสวนดอกไม้แห่งนี้
จากนั้น ศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าคน ขบวนหนึ่งก็เดินเข้าไปในสวนดอกไม้ และมองไปที่อินหลิวเฟิงเป็นคนแรก
ในขณะเดียวกัน แสงรำไรที่อยู่บนศพของชือหมิ่นซิงก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นเองก็พุ่งเข้าใส่อินหลิวเฟิง แต่เขาสะบัดพัดบังไว้ได้ทันท่วงที
ทว่าถึงแม้อินหลิวเฟิงจะขวางการจู่โจมครั้งนี้ได้ แต่เขากลับรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าเขาพบว่า ศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนที่เข้ามานั้น มีสามคนที่สวมชุดศิษย์สาวกสีแดงปักคำว่า ชือโยว!
หรือก็คือ ทั้งสามคนนี้เป็นลูกศิษย์สายตรงของตระกูลชือ! พวกเขามาล้างแค้นให้ชือหมิ่นซิง ในเมื่อหลักคำสอนของลัทธิเซิ่งเหลียนคือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
“เหอๆ …” อินหลิวเฟิงผู้เข้าใจคำสอนของลัทธิเซิ่งเหลียนอย่างถ่องแท้พลันรู้สึกอยากร้องไห้ “สหายลัทธิเซิ่งเหลียนทั้งสามท่าน ข้าขอบอกก่อนว่าพวกเจ้าอาจจะเข้าใจข้าผิด”
ฟ่อ งูลวดลายหลากสีตัวหนึ่งลอดออกมาจากแขนเสื้อของศิษย์หญิงตระกูลชือ มันมองอินหลิวเฟิงด้วยสายตาชั่วร้าย
อินหลิวเฟิง “…”
เขาจนใจแล้วจริงๆ
ส่วนเอ้อร์เหมาก็ระวังตัวมากกว่าปกติ เขาปกป้องอินหลิวเฟิงไว้ข้างหลัง รอบกายปรากฏรังสีสีขาว
แม้กระทั่งเม่ยเอ๋อร์ก็จับตามองงูลวดลายหลากสีตัวนั้นไม่เคลื่อนสายตา เพราะในร่างของสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้นมีสายเลือดของสัตว์ร้ายโบราณงูตะขอ[1]อยู่
แต่แล้วความสนใจของงูตัวนี้ก็ถูกเบี่ยงเบนไปจากอินหลิวเฟิง มันหันไปมองบ้านร้างที่เปล่งแสงรำไรขึ้นอีกครั้ง และมีเลือดไหลออกมาจากในบ้าน!
“คุณหนูใหญ่!” เม่ยเอ๋อร์ก็สังเกตเห็นรอยเลือดเหล่านี้แล้วเช่นกัน มิหนำซ้ำนางยังรู้ว่า นี่คือเลือดของเยี่ยนอวี๋ นางจึงพุ่งตรงไปที่ประตูบานนั้นอย่างไม่คิดชีวิตทันที!
และในขณะเดียวกัน งูลวดลายสีสันตัวนั้น ก็ถือโอกาสชูคอแผ่แม่เบี้ยใส่อินหลิวเฟิงเสียงดัง ฟ่อ!
แอ๊ด ในขณะเดียวกันประตูผุพังบานหนึ่งก็ถูกเปิดออก
———————-
[1] งูตะขอ เป็นสัตว์ในตำนานโบราณจีน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ มีนิสัยดุร้าย มีพิษสูง จุดเด่นคือหางที่แยกเป็นสองแฉกเหมือนตะขอแตกต่างจากงูทั่วไป