ทว่าเยี่ยนอวี๋คิดว่าเซ่าซือมิ่งสตรีเพียงหนึ่งเดียวในตำหนักเซ่าซือมิ่งในตอนนี้ คือสนมที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดในราชสำนักในวันข้างหน้า
กู้หยวนหมิงได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “ถึงแม้พี่สาวข้าเป็นเซ่าซือมิ่งคนปัจจุบันในราชสำนัก แต่นางเป็นเพียงลูกน้องของต้าซือมิ่งเท่านั้น ข้ารับรองว่าการกระทำใดๆ ของต้าซือมิ่ง ไม่มีส่วนข้องเกี่ยวกับพี่สาวข้าแม้เพียงน้อย”
“…เจ้ามิต้องประหม่า ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” สีหน้าเยี่ยนอวี๋แปลกประหลาดเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพี่สาวเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับต้าซือมิ่ง” และยังเพิ่งถูกต้าซือมิ่งทุบตีด้วย…
กู้หยวนหมิงจึงถอนหายใจโล่งอก พูดว่า “เจ้าไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้ว พี่สาวข้ากู้หยวนซูเป็นหนึ่งในเซ่าซือมิ่งปัจจุบันจริงๆ ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะต้าซือมิ่งคนปัจจุบันจู่ๆ ถูกต้าซือมิ่งคนก่อนแต่งตั้งให้เป็นต้าซือมิ่ง ต้าซือมิ่งคนปัจจุบันควรเป็นหยวนซู”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน นางจึงถือโอกาสถามหยั่งเชิงว่า “พี่สาวเจ้า นางไม่ได้ตั้งใจเข้าวังเป็นสนมหรือ”
“?” กู้หยวนหมิงมองเยี่ยนอวี๋อย่างตะลึงงัน ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “นี่มัน ไม่มีเรื่องเช่นนี้เสียหน่อย แม่นางเยี่ยนได้ยินมาจากที่ใด”
“ไม่มีหรือ” เยี่ยนอวี๋สับสนในทันใด แต่นางมั่นใจว่ากู้หยวนหมิงตะลึงงันจริงๆ เพราะฉะนั้น อย่างน้อยกู้หยวนหมิงก็ไม่รู้ว่ากู้หยวนซูอยากเป็นสนม
หรือว่านางจะด่วนตัดสินเกินไป เซ่าซือมิ่งเพียงหนึ่งเดียวอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเหนียงเหนียงในวันข้างหน้าก็ได้ ดูท่านางยังต้องคอยสังเกตุการณ์อย่างอดทนไปอีกสักเล็กน้อย
กู้หยวนหมิงผู้ที่ไม่รู้ว่าเยี่ยนอวี๋กำลังคิดอะไร เขาพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่มีแน่นอน! หยวนซูนาง… นางมีความทะเยอทะยานก็จริง แต่นางไม่เคยคิดเข้าวัง เพราะเป้าหมายของนางคือต้าซือมิ่ง”
อินหลิวเฟิงที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็เป็นพยานยืนยันว่า “เรื่องนี้ข้าช่วยยืนยันได้ กู้หยวนซูสตรีนางนั้นให้ความสำคัญกับตำแหน่งต้าซือมิ่งมาก ด้วยความสามารถของนาง ไม่จำเป็นต้องไปเป็นนางสนมอ่อนแอราวกับดอกฝอยทอง[1]ที่ต้องคอยพึ่งอำนาจบารมีกษัตริย์”
“…เช่นนั้นหรือ” ถึงแม้เยี่ยนอวี๋ยังคงไม่หายข้องใจ ทว่านางก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจดังเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ถึงอย่างไรไม่ว่าคนคนนี้คือใคร บัดนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาเผชิญหน้ากับเขา
ในเวลานี้ สิ่งสำคัญคือทหารของราชสำนัก และสำนักคุนอู๋…
เยี่ยนอวี๋จึงเปลี่ยนเรื่องพูด “พี่… ศิษย์พี่รอง สถานที่ลับที่ฝึกฌานในสำนักคุนอู๋แห่งนั้นที่เจ้าเคยบอก เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าไปอย่างไร”
เยี่ยนจื่อเสารู้ว่าเยี่ยนอวี๋เกือบหลุดพูดคำว่า ‘พี่รอง’ ออกมายอมรับสถานะศิษย์พี่รองแต่โดยดี พยักหน้าพูดว่า “ข้าจำได้ว่าอยู่ชานเมืองซีเป่ยในหลานฮวาเจิ้ง”
“เกรงว่านั่นยังไม่ใช่แหล่งกำเนิด” กู้หยวนหมิงมีข้อมูลที่มากกว่านี้ “หากข้อมูลของข้าไม่ผิด สถานที่ลับสำหรับการฝึกฌานของพวกเขา อันที่จริงน่าจะอยู่ในบริเวณต้าฮวง ข้าพอจะรู้ว่าอยู่ตรงไหน”
“รบกวนชุนซิ่นจวินนำทางได้หรือไม่” เยี่ยนอวี๋ไม่สงสัยในตัวเขา ถึงแม้เขาไม่ได้น่าเชื่อถือดังเช่นอินหลิวเฟิง ทว่านางรู้ว่า ในมุมของสำนักแล้ว กู้หยวนหมิงย่อมต้องการเห็นสำนักคุนอู๋ล่มจม
“ย่อมได้” กู้หยวนหมิงก็มิได้ปฏิเสธ
ทว่าอินหลิวเฟิงจู่ๆ ก็พูดเตือนว่า “พวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่าหมอกต้าฮวงรอบตัวเรา แน่นหนาขึ้นมากแล้ว”
“ใช่!” เอ้อร์เหมาผู้ที่ไม่รู้ว่ารับช่วงเคี่ยวข้าวต้มงูต่อตั้งแต่เมื่อใด ก็เบนความสนใจจากหม้อตุ๋นซุปงู มองหมอกรอบตัว
กู้หยวนหมิงกลับไม่ได้เพิ่งพบ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ในเมื่อเป็นเรื่องปกติที่จะมีหมอกแน่นหนาในต้าฮวง ทว่าในความแน่นหนาของหมอกในตอนนี้กลับทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาถึงกับเห็นแม่นางเยี่ยนตรงหน้าไม่ชัดเจนแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวคือ ภายใต้ทัศนวิสัยที่แย่เช่นนี้ ยังมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นจากบริเวณพื้นผิว อีกทั้งเสียงแปลกเหล่านี้ยังค่อยๆ ดังระงมขึ้นเรื่อยๆ!?
“…นี่ นี่คงไม่ใช่มังกรคบเพลิงตัวนั้นออกมาอาละวาดอีกแล้วนะ!” อินหลิวเฟิงคลี่พัดอย่างระวังตัว รู้สึกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก “เม่ยเอ๋อร์ไปเสียแล้วด้วย ควรให้นางรออีกเสียหน่อยค่อยไป…”
“ข้าคิดว่า เราคงถูกสัตว์ร้ายถิ่นต้าฮวงล้อมรอบไว้แล้ว” กู้หยวนหมิงก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน เขาชักดาบยาวสีเงินในมือออกมา และรวบรวมพลังจิตในทันที เพื่อเตรียมอัญเชิญวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง
เมื่ออินหลิวเฟิงได้ยินดังนั้นก็อยากจะร้องไห้ “ไม่โชคร้ายเช่นนี้หรอกกระมัง! เราอยู่พรมแดนต้าฮวงนะ! ไม่ใช่ว่าพรมแดนไม่มีกลุ่มสัตว์ร้ายหรอกหรือ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า เราถูกวิญญาณสัตว์ร้ายหลายหมื่นตัวล้อมไว้แล้ว!?”
อินหลิวเฟิงหวังเหลือเกินว่าความรู้สึกของตนจะไม่ใช่ความจริง แต่แล้ว…
เยี่ยนอวี๋กลับชื่นชมเขา พูดว่า “สัมผัสดีเยี่ยม มีสัตว์ร้ายต้าฮวงกำลังรวมตัวกันมากมายจริงๆ ”
“…กูไหน่ไน[2]ของข้า ข้าขอบคุณเจ้าเหลือเกิน” อินหลิวเฟิงอยากจะร้องไห้แล้วจริงๆ คำชื่นชมในเวลาเช่นนี้ เขาไม่อยากได้เลยจริงๆ!
เสียงดังกรอบแกรบราวกับเสียงซุบซิบพึมพำ กลับพิสูจน์ความจริงที่สัตว์ร้ายต้าฮวงมากมายอยู่รอบทิศ ทำเอาเอ้อร์เหมาผวาจนทำหน้าตกใจสุดขีด
เสียงข้าวต้มงูที่กำลังเดือดดังปุดๆ ท่ามกลางบรรยายเช่นนี้นั้น ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดนัก กลิ่นหอมเย้ายวนที่โชยออกมานั้น เมื่ออินหลิวเฟิงที่กำลังหิวโหยมากได้ดมกลิ่นนั้นเข้าไป ตอนนี้กลับไม่อยากทานแล้ว เพราะเขาคิดว่าเขาอาจจะไม่มีชีวิตได้ทานแล้ว
ดวงตาสีเขียวสลับสีแดงของสัตว์ร้ายอยู่ภายใต้การบดบังของม่านหมอกของต้าฮวง ปรากฏให้เห็นวับๆ แวมๆ ในสายตาของเยี่ยนอวี๋และคนอื่นๆ
“แม่เจ้า…” อินหลิวเฟิงรู้สึกขนหัวลุก เขารู้สึกได้ว่า พลังขั้นต่ำของสัตว์ร้ายต้าฮวงเหล่านี้ อยู่ในขั้นสุวรรณชาดด้วย!
สัตว์ร้ายโขยงใหญ่เช่นนี้ เพียงพอที่จะทำให้เขาและเพื่อนร่วมทางของเขาถูกฉีกกระจายและกลืนกินจนไม่เหลือเศษซาก! นี่มันรับมือยากมากกว่ามังกรคบเพลิงที่หูหนวก ตาบอด และโง่เขลาตัวนั้นเสียอีก
สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ…
——————————–
[1] ดอกฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. จัดอยู่ในวงศ์ผักบุ้ง เป็นพืชกึ่งกาฝาก มีลักษณะเป็นเถาเส้นเล็กๆ สีส้ม แกมสีเขียวเติบโตพันกันยุ่งเหยิงบนต้นไม้ต้นอื่น อาศัยโดยการเจาะ ดูด กินอาหาร และน้ำจากพืชนิดอื่น ๆ จึงนำมาใช้อุปมาถึงผู้หญิงอ่อนแอที่เอาแต่พึ่งพาผู้ชายเหมือนดอกฝอยทอง
[2]กูไหน่ไน ใช้เรียกสตรีในครอบครัวที่ออกเรือนไปแล้ว