“หรือว่าเกิดเรื่องแล้ว ข้าไปดูเสียหน่อย” เยี่ยนจื่อเสานั่งไม่ติด
กู้หยวนหมิงกลับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้อง พวกเขากลับมาแล้ว”
เยี่ยนจื่อเสามองไป ก็เห็นอินหลิวเฟิงและลูกน้องที่ดูทุลักทุเลเล็กน้อยเหาะเหินกลับมาอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงตรงหน้าเขา
ทว่าอินหลิวเฟิงที่เพิ่งจะยืนมั่นคงบนพื้นนั้นดูอ่อนแรงมาก “ให้ตาย! จื่ออวี๋เจ้าคือเทพชัดๆ เจ้าหมอนี่พิลึกคนจริงๆ! ข้าเกือบจะถูกมันหลอกเข้าแล้ว!”
ตุบ! เอ้อร์เหมาที่ล้มหน้าทิ่มกับพื้น ดวงตาหมุนติ้ว พูดขึ้นว่า “ไอ้เจ้าตัวมากเล่ห์… ข้าน้อยไม่ไหวแล้ว…”
ตุบ! เอ้อร์เหมาสลบเหมือดไปทันที เขาไม่ไหวแล้วจริงๆ ทว่ามือของเขายังคงจับศิษย์ตระกูลชือไว้แน่น ฝ่ายหลังดูค่อนข้างสาหัสทีเดียวเพราะถูกอัดจนศีรษะปูดบวม หน้าตาฟกช้ำ เสียโฉมโดยสิ้นเชิง
เยี่ยนจื่อเสาไม่รู้ว่าควรสงสารใครกันแน่ เขามองไปที่อินหลิวเฟิง รอฟังเขาเล่า
อินหลิวเฟิงก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนาน เขาเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าหมอนี่พิกลกว่าชือหมิ่นซิงเสียอีก ที่ข้าต่อยจนเขาลืมตาไม่ได้ก็เพราะสายตาเขามีพิษ! หากถูกเขามองจะอยากไปกับเขาทันที ข้าเกือบจะเสียความบริสุทธิ์เสียแล้ว”
พรวดดด กู้หยวนหมิงพ่นข้าวต้มงูออกมา ท่าทีสง่าอ่อนโยนของเขาพังทลายลงในบัดดล สีหน้าก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
“โห!” อินหลิวเฟิงกลับส่งเสียงร้องไม่หยุด พูดต่อไปว่า “ชุนซิ่นจวินเจ้าต้องมีท่าทีเกินเลยเช่นนี้ด้วยหรือ หรือว่าเจ้าคิดอะไรกับข้า ข้า…”
“หุบปาก!” กู้หยวนหมิงรู้สึกอยากต่อยคน เขากัดฟันกรอด หางตาของเขากลับเห็นว่าเยี่ยนอวี๋คุกเข่าลงเพื่อสำรวจศิษย์ตระกูลซือคนนั้นแล้ว
เยี่ยนจื่อเสารับหน้าที่ป้อนเสี่ยวเป่าทานข้าวต้มงูต่อจากน้องสาว ฝ่ายหลังทานไปพลางมองท่านแม่เขา และส่งเสียงร้อง “อ้ะ!” ถามท่านแม่ของเขาว่า เขาคือใคร
เยี่ยนอวี๋ยกมือขึ้นแปะลงบนตำแหน่งหนีหวานกง[1]ของบุรุษใบหน้าฟกช้ำ ฝ่ายหลังที่สลบไปแล้วกลับปล่อยคลื่นพลังคุ้มกันตัวด้วยสัญชาติญาณ ทำเอาเยี่ยนอวี๋เลิกคิ้วอย่างชื่นชม “พลังจิตไม่ธรรมดาจริงๆ”
“แค่ก…” บุรุษหน้าฟกช้ำที่สะดุ้งตื่นขึ้น ถึงแม้เขาลุกขึ้นไม่ได้ (เพราะถูกกระทืบรุนแรงเกินไป) แต่เขากำลังพยายามลืมตา! เสียดายที่เขาทำไม่สำเร็จ…
แต่พลังของเยี่ยนอวี๋ก็ทะลวงเข้าไปในจิตสำนึกรู้ของเขาอย่างแข็งแกร่ง ฝ่ายหลังส่งเสียงร้องเจ็บปวด เขาพยายามใช้พลังจิตขัดขืน
เยี่ยนอวี๋จึงเตือนอย่างเยือกเย็นว่า “อยู่เฉยๆ”
“…” บุรุษหน้าฟกช้ำชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหยุดลง ทว่าตอนนี้ในใจของเขากลับสับสนราวกับคลื่นโหมซัด เพราะแต่ไรมาจิตสำนึกรู้ของเขานั้นเป็นสิ่งที่เขารู้สึกภาคภูมิใจมาโดยตลอด เป็นการมีอยู่ที่แม้แต่ผู้อาวุโสของลัทธิเซิ่งเหลียนก็มิอาจเข้าถึงได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถถูกเลือกเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว ภายใต้ร่างกายที่ไม่สามารถฝึกฌานได้ น่าเสียดาย… ทุกอย่างล้มเหลวเสียแล้ว
ในขณะที่คิดเช่นนี้ บุรุษหน้าฟกช้ำก็ยอมพ่ายแพ้ เยี่ยนอวี๋กลับเก็บมือกลับมา ก่อนจะพูดด้วยความตะลึงเล็กน้อย “ดูท่าสัตว์ร้ายต้าฮวงที่จู่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะถูกเจ้าใช้พลังจิตหลอกล่อมาหรือ”
เมื่อจบประโยค…
“!”
บุรุษหน้าฟกช้ำอึ้งไปในทันที! เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่สำรวจพลังจิตของเขา ก็… ก็รู้ทุกสิ่งแล้ว!
“อะไรนะ!” อินหลิวเฟิงตะลึงอีกครั้ง เขามองไปที่บุรุษหน้าฟกช้ำที่นอนอยู่บนพื้นอย่างระแวง แล้วจึงกระทืบซ้ำลงไปอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“มารดามันเถอะ! ที่แท้เจ้าตัวมากเล่ห์เล่นสกปรกเช่นนี้แต่แรกแล้ว! ข้าก็ว่า ที่นี่เป็นพรมแดนของต้าฮวง มีสัตว์ร้ายต้าฮวงมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ที่แท้เป็นฝีมือของเจ้าหมอนี่!”
กู้หยวนเหิงก็ตกตะลึงจนวางถ้วยลง “เขามีความสามารถมากถึงเพียงนี้เลยหรือ” อย่าโทษเขาที่สงสัยเลย เพราะเขาพบว่าคนผู้นี้นอกจากมีพลังจิตไม่ธรรมดาแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งพอๆ กับสามัญชนธรรมดาเท่านั้น อาจจะสู้ลิงตัวหนึ่งไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับพูดอย่างมั่นใจว่า “เขาคือทายาทตระกูลชือที่สืบทอดพรสวรรค์พลังจิตวิญญาณชือโยวในบรรดาตระกูลจิ่วหลีได้อย่างสมบูรณ์ เขาเพียบพร้อมไปด้วยพรสวรรค์ล้นเหลือ”
“!” บุรุษหน้าฟกช้ำเงยหน้าขึ้นทันที! ทำเอาอินหลิวเฟิงตกใจจนปล่อยหมัดใส่หน้าเขาจนสลบไปอีกครั้ง
กู้หยวนหมิงมองบุรุษหน้าฟกช้ำเหลือเชื่อคนนี้ แล้วมองเยี่ยนอวี๋ “…เจ้า เจ้าแน่ใจหรือ”
“อืม ข้าจะพาเขาไป” เยี่ยนอวี๋ไม่คิดว่าจะได้เจอสมบัติเช่นนี้ ก่อนที่จะนางตำหนิอินหลิวเฟิง “เจ้าเพลามือหน่อย ร่างกายเขาเป็นเพียงคนธรรมดา หากเจ้าต่อยเขาอีกสองหมัด คงตายคามือเจ้า”
อินหลิวเฟิงพูดอ้ำอึ้งว่า “…ข้าก็แค่ตอบสนองตามสัญชาติญาณน่ะ”
เยี่ยนอวี๋เข้าใจ นางรู้ว่าอินหลิวเฟิงและลูกน้องของเขาจับคนนี้ได้ไม่ง่าย นางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ยื่นยาผงให้อินหลิวเฟิง พูดว่า “เขากลืนยาเม็ดไม่ได้ เจ้าช่วยเขาทายาเถิด”
“…ข้าหรือ” อินหลิวเฟิงเบิกตาโต “ข้าไม่เคยรับใช้ผู้อื่น จะรู้วิธีทายาให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน”
กู้หยวนหมิงจึงรับยามาอย่างคล่องแคล่ว พูดว่า “ข้าทำเอง”
ทำเอาเยี่ยนอวี๋อดประชดประชันอินหลิวเฟิงไม่ได้ “คุณชายสูงส่งทั้งนั้น ดูคนอื่นเขาสิ?”
อินหลิวเฟิง “…”
เขาผู้ซึ่งมิกล้าตอบโต้ จึงทำได้เพียงป้อนยาให้เอ้อร์เหมาลูกน้องของตนเอง
…
ในอีกฝั่งหนึ่ง หยางเทียนชื่อ ประมุขหอสำนักคนก่อนของสำนักชางอู๋ที่ถูกต้าซือมิ่งราชสำนักสัมผัสได้ท่านนั้นก็ปรากฏตัวเหนือเมืองชางอู๋แล้ว!
การปรากฏตัวของหยางเทียนชื่อนั้น บรรดาผู้แข็งแกร่งของสำนักชางอู๋ไม่มีผู้ใดค้นพบเลย ปรมาจารย์วิญญาณก็ไม่รู้ตัว จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าประมุขหอคนก่อนของสำนักคุนอู๋มาเยือนเมืองชางอู๋ล่วงหน้าด้วยตนเองแล้ว!
——————–
[1] หนีหวานกง คือตำแหน่งบริเวณหว่างคิ้ว