ลูกหนูน้อยที่เพิ่งตั้งสติได้ก็เกาลำคออย่างรุนแรง และส่งเสียงร้องโวยวาย “จิ๊ดๆๆ” มันยังทำท่าจะต่อยเยี่ยนเสี่ยวเป่าอย่างโมโห ดูมีชีวิตชีวานัก
“…อึก” อินหลิวเฟิงกลืนน้ำลาย สำรวจลูกหนูน้อยตรงหน้าอย่างตกใจ เพื่อยืนยันว่ามันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“จิ๊ด!” ลูกหนูน้อยจ้องเขม็งไปที่เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่จับหางของมันไว้แน่นอีกครั้ง และยังชี้ไปที่เสี่ยวเป่าอย่างต้องการประท้วง ส่งเสียงร้อง “จิ๊ดๆ ” ไม่หยุดปาก
เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับไม่ได้ดุมัน เขายื่นมืออวบอ้วนน้อยๆ ของตนออกมาลูบมัน “อ้ะ! อ้ะเนะเนะ…” ท่าทางกำลังเจรจากับลูกหนูน้อยด้วยเหตุผล
“จิ๊ด!” ราวกับว่าลูกหนูน้อยฟังรู้เรื่อง มันเท้าเอวขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยนเสี่ยวเป่าลูบมันอีกครั้ง ก่อนที่มันจะร้อง “จิ๊ด” เบือนหน้ามองไปทางอื่น ราวกับกำลังบอกว่า ‘ข้าไม่ถือสากับเด็กกะโปโลอย่างเจ้าหรอก’
“วิเศษนัก” กู้หยวนหมิงถูกเจ้าหนูตัวน้อยตัวนี้ดึงความสนใจไปอย่างสิ้นเชิง จนเมื่อไข่ขนาดยักษ์ฟองนั้นสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง เขาจึงถูกเบนความสนใจไป
หึ่ง! หึ่ง… ไข่ขนาดยักษ์ที่สั่นและส่งเสียงไม่ขาดสายนั้น มันยังส่งเสียงดัง ตึงตึง เป็นครั้งคราว ราวกับข้างในกำลังต่อสู้กันเองอย่างไม่ลงรอยกัน
อย่างน้อยอินหลิวเฟิงก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะว่าไข่ขนาดยักษ์ฟองนี้มีรอยนูนออกมาแล้วก็หดกลับไปเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาเขาเห็นแล้วก็ลุ้นระทึก กลัวว่าไข่จะแตกออกมา สัตว์ประหลาดในนั้นจะออกมากันหมด!
โชคดีที่ความเคลื่อนไหวเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงเวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็กลับไปเป็นดังเดิม แม้แต่รอยร้าวที่แตกออกนั้น ก็ค่อยๆ สมานเข้าด้วยกัน
เยี่ยนอวี๋ถอนหายใจโล่งอก นางผนึกยันต์ลงบนไข่ฟองนั้น ครั้งนี้ฝ่ายหลังจึงหดกลับไปเป็นขนาดเท่าไข่ไก่ปกติด้วยความรวดเร็วอย่างว่านอนสอนง่าย
“จัดการได้แล้วหรือ” อินหลิวเฟิงถามอย่างไม่มั่นใจนัก
“ถือว่าใช่” เยี่ยนอวี๋เก็บ ‘ไข่ไก่’ ก่อนจะเหลือบมองลูกหนูตัวนั้น ฝ่ายหลังถูกสายตาของนางกวาดมองจนหวาดกลัว ก่อนจะรีบมุดไปข้างหลังเยี่ยนเสี่ยวเป่า
“อ้ะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายื่นมือออกมาลูบไข่ไก่ อ้าปากทำท่าจะทานไข่ฟองนั้น
เยี่ยนอวี๋รีบเก็บไข่ฟองนั้นทันที “ทานไม่ได้”
ไข่ฟองนี้มีกลิ่นอายซับซ้อนนัก ทานไปจะท้องเสียเอา…
“เจ้าเหมียวจอมตะกละ” เยี่ยนจื่อเสามองหลานชายน้อยที่เห็นอะไรก็อยากทานไปหมดอย่างน่าขัน
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับทำหน้ามุ่ย ชี้ไปที่ลุงรองของเขา ก่อนจะมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของมารดา ทำท่าทางน่าสงสารราวกับกำลังบอกว่า ‘ลูกถูกรังแก’
เยี่ยนอวี๋หัวเราะเบาๆ ลูบเจ้าเด็กน้อยพลางบอกพี่รองของนางอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวเป่าไม่ใช่เจ้าเหมียวจอมตะกละ เขาคือเจ้าคนน่ารักต่างหาก”
“อ้ะเนะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่แอบอิงมารดาอยู่นั้นจึงพยักหน้า ทำเอาเยี่ยนจื่อเสาพูดสำทับอย่างขบขันว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าน่ารักที่สุด”
“เขายังรู้ว่าเจ้าเหมียวจอมตะกละไม่ดีด้วยหรือ” กู้หยวนหมิงมองเจ้าตัวน้อยอย่างอิจฉาตาร้อน พลางคิดในใจว่าหากเป็นหลานชายของเขาจริงๆ ก็น่าจะดี เสียดายที่แม่นางเยี่ยนปฏิเสธแล้ว อีกทั้งเด็กคนนี้ก็ไม่เหมือนชีหลางจริงๆ ทว่า… กู้หยวนหมิงรู้สึกคุ้นหน้าของเด็กคนนี้นัก เหมือนกับว่าเขาเคยเจอที่ใดมาก่อน หรือบางที เด็กหน้าตาดีมีหน้าตาเช่นนี้กันทุกคนนะ? ขาวผุดผ่อง หน้าตาเหมือนภาพวาดเช่นนี้?
กู้หยวนหมิงพยายามรื้อฟื้นความทรงจำถึงเด็กน้อยในสำนักของตน แต่กลับนึกหน้าตาของเด็กเหล่านั้นไม่ออก เพราะไม่ค่อยได้คลุกคลีกับพวกเขา เขาจึงคิดว่าหลังจากได้กลับไปแล้ว ต้องสังเกตดูเสียเล็กน้อยแล้วล่ะ
“อ้ะเนะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ถูกพูดถึงนั้น เขาก็มองกู้หยวนหมิงด้วยดวงตาโตเป็นประกาย เพื่อบอกว่า ข้ารู้อยู่แล้ว
กู้หยวนหมิงหัวใจละลาย “น่ารักจริงๆ เลย”
“ใช่แล้ว” เยี่ยนอวี๋ยิ้มจนตาเป็นพระจันทร์เสี้ยว รังสีความอ่อนโยนแผ่ซ่าน ทำให้กู้หยวนหมิงรู้สึกราวกับได้เห็นเทพธิดาแสนสวยจุติบนโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
เยี่ยนอวี๋จูบเด็กน้อยเบาๆ แล้วลูบเด็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ทุกคน พูดว่า “ทำลายที่นี่ทิ้งเสีย กำจัดกลิ่นอายของเราด้วย”
เอ้อร์เหมารีบขานตอบอย่างน่าพึ่งพาได้ว่า “คุณหนูใหญ่วางใจ นายท่านของเราถนัดขอรับ!”
อินหลิวเฟิง “…”
“อืม รีบลงมือหน่อย เราต้องรีบกลับสำนักชางอู๋” แม้เยี่ยนอวี๋วางใจเม่ยเอ๋อร์ และรู้ว่าทหารของราชสำนักยังต้องใช้เวลาอีกช่วงหนึ่งจึงจะเดินทางถึง แต่นางก็กังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุอื่นใดขึ้นระหว่างนั้น
“ได้ขอรับ!” เอ้อร์เหมาหยิบสิ่งของสีดำก้อนกลมๆ ก้อนหนึ่งออกมา ก่อนจะโบกมือให้ทุกคนถอยไป เพราะเขาจะเริ่มปฏิบัติการแล้ว
“ยาอสนีบาต?” กู้หยวนหมิงแปลกใจ เพราะว่ายาอสนีบาตทั่วไปไม่ใหญ่เช่นนี้ ยาที่เอ้อร์เหมานำออกมานี้ เพียงแค่หนึ่งเม็ดก็มีขนาดใหญ่กว่าสิบเท่าของผู้อื่นแล้ว!
อินหลิวเฟิงก็พูดอย่างยอมจำนนว่า “ใช่แล้ว เราถอยกันก่อนเถิด พลังของเจ้าสิ่งนี้ไม่เบา” เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าลูกน้องไร้สมองของเขาคนนี้เหตุใดจึงนำยาออกมาใช้ในยามนี้ ยาเม็ดนี้ใช้สู้กับฝูงสัตว์ร้ายเมื่อครู่นี้ไม่ดีกว่าหรืออย่างไร!” …ทั้งที่เป็นสิ่งของชั้นดีแท้ๆ เหตุใดลูกน้องของเขามักเอาออกมาใช้ในสถานการณ์ลับๆ ล่อๆ เช่นนี้เสมอ อินหลิวเฟิงอยากจะกระอักเลือดนัก…
ทว่าเขาก็ถอยอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงคัดค้านแล้ว ให้ตายเถอะ ครั้งหน้าเขาต้องพาซานเหมาออกมา ไม่พาเอ้อร์เหมาเจ้าบื้อคนนี้ออกมาอีกแล้ว! ทำลายภาพพจน์สุภาพบุรุษเช่นเขาเสียหมด
…
เมื่อเสียงสายฟ้าร้องโครมครามและฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง ยุติลง จุดรวมตัวของสำนักคุนอู๋แห่งนี้ก็ถูกทำลายสูญสิ้น ก่อนจะมลายหายไปกับกลีบเมฆ
เยี่ยนอวี๋นำเกี้ยววิหคสุริยันวิจิตรของนางออกมา ก่อนจะเชื้อเชิญกู้หยวนหมิงอย่างใจกว้าง ฝ่ายหลังคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะขึ้นเกี้ยวไป
ขบวนต้าฮวงจึงจบลงเพียงเท่านี้ ส่วนต้าซือมิ่งราชสำนักที่คอยติดตามพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือซากปรักหักพังเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาจากไปได้ครู่หนึ่งแล้ว
และในขณะนี้ กองกำลังทหารใต้บังคับบัญชาแนวหน้าคุนอู๋ก็ถูกนำทัพโดยผู้พิทักษ์ธาตุไฟ ผู้พิทักษ์ธาตุสายฟ้า และหยางถิงอวิ๋นผู้เป็นท่านอาเล็กของหยางเซ่าเหิง เข้าใกล้เมืองชางอู๋ล่วงหน้าแล้ว
“รายงานขอรับ! พบกองกำลังทหารใต้บังคับบัญชาแนวหน้าคุนอู๋หนึ่งหมื่นนายทางประตูทิศเหนือ!”
“รายงานขอรับ! มีรอยร้าวแยกกลางอากาศบริเวณประตูทิศเหนือ ผู้ดูแลสองนาย…” ผู้ดูแลป้อมยามประตูเมืองที่กำลังจะส่งรายงานกลับไปในสำนักก็ถูกสายฟ้าฟาดตายทันที!
วั่วปู้เหลย ผู้พิทักษ์ธาตุสายฟ้าของสำนักชางอู๋ ก็ปรากฏตัวราวกับแสงฟ้าผ่าเหนือประตูเมืองทิศเหนือของเมืองชางอู๋ เสียงดัง ครืน ทำให้ประตูเมืองอันแข็งแกร่งและตั้งอยู่มานานแห่งนี้กลายเป็นมหาสมุทรแห่งความโกรธเกรี้ยวในทันที
วั่วปู้เหลย ผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตแรกเริ่มของสำนักคุนอู๋ เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตที่มาสำนักชางอู๋อย่างไร้ยางอายคนที่สอง ต่อจากหยางเทียนชื่อ!
ไม่เพียงแต่เขา ยังมีปู่เย่าเหลียน ผู้พิทักษ์ธาตุไฟแห่งคุนอู๋ที่อยู่ขั้นเดียวกับเขาก็ปรากฏตัวเหนือประตูเมืองทางทิศเหนือของสำนักคุนอู๋ราวกับเพลิงไฟ!
ปัง!