ตอนที่ 135 ก็จะแย่งของเจ้า ทำไมรึ
“บัดซบ!” ปู่เย่าเหลียนปล่อยแก่นพลังวิญญาณธาตุไฟอันทรงพลังออกมาด้วยความพิโรธ เขาพยายามดึงรั้งถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าอะไรก็มิสามารถชิงถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงไปเช่นนี้ได้! ไม่เพียงแต่เขา แม้แต่หยางเทียนชื่อและวั่วปู้เหลยก็ช่วยออกแรงด้วย!
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขาสูญเสียศาสตราเวทในตำนานอันยิ่งใหญ่ไปสองชิ้นแล้ว ถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงเป็นศาสตราเวทในตำนานที่เหลืออยู่ชิ้นสุดท้าย หากทำหายอีกล่ะก็… พวกเขาจะมีหน้ากลับไปสำนักได้อย่างไร
แต่น่าเสียดาย… ความเร็วของพวกเขาทั้งสามก็ยังไม่เร็วเท่าถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงที่ถูกแย่งชิงไป มันถูกกลืนเข้าไปในเกราะคุ้มกันเมืองชางอู๋ต่อหน้าต่อตาพวกเขา
หึ่ง!
และแล้วการจู่โจมกะทันหันและรุนแรงของหยางเทียนชื่อทั้งสามคนก็ถูกเกราะคุ้มกันดีดกระเด็นกลับทันที ฝ่ายหลังดีดทั้งสามคนออกไปกลางอากาศอย่างไม่ยากเย็นนัก
“ให้ตายเถอะ!”
“บัดซบจริงๆ!”
“ชางอู๋คนชั้นต่ำ! พวกเจ้าบังอาจแย่งศาสตราเวทคุนอู๋ของข้า พวกเจ้า…”
เสียงร้องของพวกเขาค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ ผ่านไปเพียงไม่นานก็หายวับไปแล้ว เหลือเพียงหยางชีฮั่นที่งงงันไม่รู้จะทำอย่างไรดีและกองทัพคุนอู๋สภาพทุลักทุเล สภาพของพวกเขาไม่ต่างจากกลุ่มคนน่าเวทนาไร้ที่พึ่งพา
…
ส่วนถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงที่ร่วงลงบนมือของเยี่ยนอวี๋ก็ถูกนางย่อขนาดลง และเก็บมันไว้โดยที่มันไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย พลังจิตใจที่ประทับอยู่บนถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงก็ถูกเยี่ยนอวี๋ลบทิ้งในทันที ทำเอาปู่เย่าเหลียนที่กระเด็นลอยไปกลางอากาศ ยังไม่ทันร่วงลงบนพื้นก็กระอักเลือดออกมา
“บัดซบ! บัดซบจริงๆ…” ปู่เย่าเหลียนร้องอย่างเจ็บปวด เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าสำนักชางอู๋ไม่เพียงมีคนที่สามารถแย่งศาสตราเวทในตำนานของเขาไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ และยังลบตราประทับพลังจิตใจของเขาทิ้งเสียด้วย!
จากนี้เป็นต้นไป ปู่เย่าเหลียนไม่สามารถสื่อจิตสัมผัสถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงได้อีกแล้ว เขาสูญเสียการควบคุมถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงอย่างสิ้นเชิง และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเวลาหนึ่งจิบชาเท่านั้น
“เป็นไปได้อย่างไร…” หยางเทียนชื่อไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว ด้วยความรู้ของเขาและวั่วปู้เหลย พวกเขาย่อมรู้ถึงสาเหตุที่ปู่เย่าเหลียนกระอักเลือด
ทว่าการลบตราพลังจิตใจบนถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงที่ปู่เย่าเหลียนประทับไว้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตระดับขั้นถอดจิต! โอ้ ไม่… ไม่!
หยางเทียนชื่อคุยกับตนเอง ถึงแม้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงของขั้นถอดจิต แต่เขาก็มิสามารถลบตราพลังจิตใจบนถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงที่ปู่เย่าเหลียนประทับไว้ได้ภายในเวลารวดเร็วเช่นนี้ อย่างน้อยเขาต้องใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาจึงทำได้! ทว่าคนชางอู๋ที่ชิงถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงไปได้นั้น เขา เขา…
“คงยืมมือปรมาจารย์วิญญาณ!” หลังจากที่หยางเทียนชื่อประคองปู่เย่าเหลียนที่เสียสติขึ้นมาแล้ว ก็พูดอย่างมั่นใจว่า “สำนักชางอู๋ไม่มีคนที่แข็งแกร่งเช่นนี้! แต่อย่าดูถูกปรมาจารย์วิญญาณสำนักชางอู๋”
“แค่ก…” ปู่เย่าเหลียนอยากจะร้องไห้
วั่วปู้เหลยตบไหล่สหายของเขาเบาๆ ก่อนจะพูดปลอบว่า “คิดในแง่ดี อย่างน้อยเจ้ายังมีโอกาสแย่งกลับมา แต่ค้อนอัศนีของข้าไม่มีทางกลับมาได้แล้ว”
“สำนักย่อมชดเชยให้เจ้า” หยางเทียนชื่อให้สัญญาทันที “เหล่าวั่ว โชคดีที่ครานี้เจ้าตัดสินใจเด็ดขาดทันกาล มิเช่นนั้นผลที่ตามมาคงแย่จนมิอาจคาดคิดได้”
“ท่านประมุขสูงสุดพูดเกินไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” วั่วปู้เหลยต้องการบอกว่า พวกเขาสูญเสียหนักหนาเช่นนี้แล้วยังมิสามารถเอาชนะสำนักชางอู๋ได้ ควรถอนกำลังหรือไม่
เรื่องถึงบัดนี้แล้ว หยางเทียนชื่อก็ไม่กล้าทำให้เรื่องบานปลายไปอีก เขาเอ่ย “ยามนี้ทำได้เพียงรอกองทัพของราชสำนักแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราถอนทัพก่อนดีหรือไม่” วั่วปู้เหลยกำลังครุ่นคิด หากกองทัพราชสำนักเห็นสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ของพวกเรา เกรงว่าพวกเขาอาจจะไม่กล้าสู้
“เอาเช่นนี้ พวกเจ้าถอนทัพไปก่อน ส่วนข้าจะไปหากองกำลังราชสำนัก ให้พวกเขาส่งทหารแปดหมื่นหรือแสนนายมาเพิ่ม ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะเอาชนะเมืองชางอู๋ไม่ได้!” หยางเทียนชื่อมิอาจกล้ำกลืนความโมโหนี้ลงไปได้จริงๆ
“หรือให้สำนักจวินจื่อส่งกองหนุนมาด้วย” ปู่เย่าเหลียนที่ตั้งสติขึ้นได้ก็เสนอขึ้น “ตอนนี้สำนักชางอู๋ถือได้ว่าเป็นสำนักกบฏ พวกเขาไม่อยู่ในโอวาทและตั้งใจก่อกบฏอย่างชัดเจน”
“มีเหตุผล!” วั่วปู้เหลยเห็นด้วยกับเขา “พวกเราเพียงแค่กล่าวถึงหงส์เพลิงที่ปรมาจารย์วิญญาณสำนักชางอู๋อัญเชิญมา เหล่าสำนักย่อมต้องส่งกองกำลังมาช่วย!”
“เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ รอกองทัพราชสำนักก่อน หากไม่เคลื่อนไหว ค่อยปรึกษาวางแผนกันใหม่” หยางเทียนชื่อไม่อยากให้เรื่องของหงส์เพลิงแพร่งพรายออกไปเร็วเช่นนี้
ถึงแม้หยางเทียนชื่อยังคงมั่นใจว่า ไม่ว่าปรมาจารย์วิญญาณสำนักชางอู๋หรือหงส์เพลิงที่ถูกอัญเชิญมา สุดท้ายแล้วต้องตกเป็นของสำนักคุนอู๋เท่านั้น! เขาไม่อยากให้มีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป เมื่อคนที่รู้มีมากขึ้น ความไม่แน่นอนก็ย่อมมีมากขึ้น
“ขอรับ ท่านประมุขสูงสุด” วั่วปู้เหลยและปู่เย่าเหลียนก็มิได้คัดค้าน พวกเขาเพียงแค่รู้สึกเป็นกังวล เพราะว่าพวกเขาคิดเหมือนกันว่าสำนักชางอู๋ในบัดนี้ช่างแข็งแกร่งจนน่าพิศวงนัก
“เช่นนั้นแยกย้ายกันไปจัดการ ระวังตัวกันด้วย” หยางเทียนชื่อพูดจบก็มองไปทางทิศเหนือ เขารู้ว่ากองทัพราชสำนักกำลังเคลื่อนทัพมาทางใต้แล้ว
ในขณะเดียวกัน…
ตอนที่ 136 คุณหนูใหญ่อันดับหนึ่ง!
เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋และอินหลิวเฟิงเงยหน้ามองเยี่ยนอวี๋ที่เก็บถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงไว้แล้วด้วยความเทิดทูน
“นี่มัน นี่มัน…” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลพูดตะกุกตะกัก ผ่านไปนานก็มิอาจเรียบเรียงคำพูดที่แสดงความตะลึงของเขาออกมาได้
“แม่เจ้า!” อินหลิวเฟิงเป็นคนแรกที่แสดงความตะลึงออกมาด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาและ ‘ไร้วัฒนธรรม’ ที่สุด แต่กลับแทนความรู้สึกในใจทุกคนได้อย่างดี นอกจากคำพูดนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไรอีก เรื่องนี้มันช่าง… แม่เจ้า!
ส่วนเยี่ยนชิงที่เพิ่งตั้งสติได้ เขาก็ถามอย่างนอบน้อมว่า “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ นะ…นี่คือถ้วยจ่านเพลิงสีม่วง ศาสตราเวทในตำนานหรือ”
“อืม” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า ก่อนจะยื่นถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงที่ย่อขนาดเท่าครึ่งฝ่ามือให้เยี่ยนชิง “ข้าไม่ได้ใช้ ให้ท่านพ่อเก็บไว้ใช้เถิด”
“ว่าไงนะ” เยี่ยนชิงเบิกตาโพลง แต่ก็มิได้ปล่อยหลานชายน้อยที่อยู่ในอ้อมอกหลุดมือเพราะความตกใจ
ในความเป็นจริงแล้ว ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา แม้เยี่ยนชิงจะ ‘ตกใจ’ มานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเขาก็อุ้มตัวน้อยไว้แน่น เยี่ยนชิงในตอนนี้จึงยื่นมือออกไปอย่างเงอะงะ ในขณะที่เขาอยากจะลูบถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงก็ยื่นเยี่ยนเสี่ยวเป่าออกไปด้วย เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยังอุ้มหลานชายน้อยที่นอนหลับปุ๋ยอยู่!
จากนั้น เยี่ยนชิงก็อุ้มเยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับมาไว้ในอ้อมอก ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มิต้องให้หรอก พ่อเองก็ไม่ได้ใช้ เจ้าเก็บไว้ป้องกันตัวเถอะ ขอแค่ให้พ่อได้สัมผัสมันเล็กน้อยก็พอ”
“ใช่! ใช่แล้ว มิทราบว่าข้าขอจับด้วยได้หรือไม่” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลก็รีบสำทับ อย่าหาว่าเขาบ้านนอกเลย ในชีวิตนี้เขายังไม่เคยแตะศาสตราเวทในตำนานเลยสักครั้ง!
จะว่าไปแล้ว สำนักชางอู๋ของพวกเขาเป็นเพียงสำนักเดียวที่ไม่มีศาสตราเวทในตำนาน?
เอ่อ… ประมุขหอสัตว์บรรพกาลพลันรู้สึกหดหู่เพราะความอับอายของสำนัก และความหดหู่ของเขาก็แพร่ไปที่เหล่านักฝึกฌานชางอู๋ที่รายล้อมอย่างรวดเร็ว
เยี่ยนชิงลอบถอนหายใจ ก่อนจะมองไปที่บุตรสาวและกล่าวว่า “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ให้ประมุขจ่านจับหน่อยเถิด” เป็นสหายร่วมสุขร่วมทุกข์ทั้งนั้น
ทว่าเยี่ยนอวี๋ก็ยัดถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงเข้าไปในแขนเสื้อของเยี่ยนชิงแล้ว และพูดขึ้นว่า “ข้าประทับพลังจิตใจของท่านพ่อไว้บนถ้วยจ่านแล้ว บัดนี้มันถือท่านเป็นนายเท่านั้น ท่านอยากให้ผู้อื่นจับต้องอย่างไรก็ตามใจท่านเถิด”
“…” เยี่ยนชิงพูดไม่ออก เอาแต่เบิกตามองบุตรสาวสุดที่รัก
อินหลิวเฟิงพูดแทนความในใจของเยี่ยนชิงอย่างตะกุกตะกักอีกครั้ง “เดี๋ยวนะ ข้าว่ากูไหน่ไน นี่เจ้า… เจ้ายังเลือกเจ้านายให้ถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงแทนผู้อื่นเช่นนี้ได้ด้วยหรือ”
เอ้อร์เหมาที่อยู่ด้านข้างก็พูดแทรกขึ้นว่า “นายท่าน ดูท่านพูดเข้าสิ เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงทำมิได้เล่า คุณหนูใหญ่สามารถทำได้ทุกสิ่ง”
“ใช่แล้ว” เม่ยเอ๋อร์ที่กลับมาจากบริเวณวิญญาณสำนักแล้ว นางก็เห็นด้วยกับคำพูดของเอ้อร์เหมาอย่างยิ่ง และหันไปพยักหน้าชื่นชมเขา
เยี่ยนหงชวนที่กลับมาแล้วก็มองเหลนสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเรียก “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์…”
บัดนี้ ไม่ว่าคำพูดอะไรก็มิสามารถสื่อความคิดของเหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋ที่มีต่อเยี่ยนอวี๋ได้ รวมถึงเยี่ยนหงชวนเองด้วย
หากจะบอกว่าผู้คนมากมายยังไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าการสถิตของหงส์เพลิงเป็นฝีมือของเยี่ยนอวี๋ พวกเขายังคงแคลงใจ ทว่าพวกเขาเห็นนาง ‘เก็บ’ ศาสตราเวทถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงเต็มสองตา ในเมื่อได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองแล้วว่าถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงถูกเยี่ยนอวี๋ ‘ชิง’ มาอย่างไร และผู้พิทักษ์ธาตุไฟของคุนอู๋ผู้เป็นเจ้านายคนเดิมของถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงก็ใช่ว่าจะยอมเสียศาสตราเวทไปง่ายๆ แต่เสียดายที่เขาล้มเหลว เขาพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงต่อหน้าต่อตาพวกตน!
“คุณหนูใหญ่…”
เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋ก็พึมพำชื่อออกมาจากใจอย่างไม่รู้ตัว
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว คุณหนูใหญ่เยี่ยนของสำนักชางอู๋เป็นตัวตลกของสำนักชางอู๋มาโดยตลอด เหล่าชั้นผู้น้อยใหญ่สำนักชางอู๋ไม่อยากพูดถึง ‘คำอ่อนไหว’ นี้เสียด้วยซ้ำ และระดับความ ‘อ่อนไหว’ นี้ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น หลังจากที่คุณหนูใหญ่เยี่ยนเกิดเรื่องอื้อฉาวกับกู้จ่างสื่อ
แม้เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋มิได้ถือสากับแม่สาวน้อยคนหนึ่ง ถึงแม้จะยอมไว้หน้าเยี่ยนชิง แต่อันที่จริงแล้วในใจลึกๆ ก็มิอยากได้ยินผู้คนภายนอกพูดถึงความสัมพันธ์ของคุณหนูใหญ่เยี่ยนที่เกี่ยวโยงกับสำนักชางอู๋
ทว่าในยามนี้เล่า? ในยามนี้… เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋พลันรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง พวกเขารู้สึกดีใจที่มี ‘คุณหนูใหญ่’ อยู่ เพราะอันที่จริงแล้ว คุณหนูใหญ่เยี่ยนสำนักชางอู๋ของพวกเขามิใช่แจกันดอกไม้[1]อะไรนั่น มิใช่หญิงเสเพล มิใช่เศษสวะ อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนจ่างสื่อก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ลือกันก็ได้
เพราะว่า… นางอาจเป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน เป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนานอายุสิบแปด เป็นนักหลอมยาชั้นสูงอายุสิบแปด เป็นหมอไม่ธรรมดาอายุสิบแปด
…
“คุณหนูใหญ่”
นี่คือคุณหนูใหญ่เยี่ยนสำนักชางอู๋ของพวกเขา ดีที่พวกเขาไม่ได้ตัดสินให้นางเป็น ‘ผู้ทรยศสำนัก’
บัดนี้ เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋มากมายต่างอดคิดไม่ได้ว่า ตั้งแต่วันแรกที่คุณหนูใหญ่กลับมาสำนักชางอู๋ นางเกือบจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ทรยศแล้ว
เรื่องนี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดเลยว่า หากยอดอัจฉริยะเช่นนางถูกกล่าวหาเป็นผู้ทรยศแล้ว สิ่งที่รอคอยสำนักชางอู๋คืออะไร
“คุณหนูใหญ่!”
“คุณหนูใหญ่…”
—————————
[1] แจกันดอกไม้ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงผู้หญิงที่สวยแต่ไร้ความสามารถ หรือสวยแต่รูปจูบไม่หอม