ตอนที่ 137 ความเจริญเฟื่องฟูของสำนักชางอู๋!
“คุณหนูใหญ่!” ผู้อาวุโสสำนักชางอู๋ขานเรียกนางจากใจจริงอย่างไม่รู้ตัว
“คุณหนูใหญ่” แม้แต่ประมุขหออัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ที่มีตำแหน่งไม่เหมือนผู้ใดก็ขานเรียกด้วยน้ำตาคลอเบ้า
สำนักชางอู๋… ไม่มีผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่อายุน้อยปรากฏมานานหลายปีแล้ว หลายปีมากแล้วจริงๆ!
ถึงแม้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะการโจมตีของสำนักคุนอู๋ ทว่าชางอู๋เองก็มิอาจกำเนิดอัจฉริยะเองได้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญ ผ่านไปหลายปีแล้ว… ผ่านไปหลายปี ในที่สุดก็มีทายาทสายเลือดสำนักชางอู๋ยืนอยู่บนยอดของโลกผู้ฝึกฌาน อีกทั้งนางยังมีอายุน้อยเช่นนี้
“คุณหนูใหญ่…”
เหล่าชั้นผู้น้อยใหญ่สำนักชางอู๋ในคราวนี้ต่างกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เพียงเพราะคำว่า “คุณหนูใหญ่” ที่ดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้อันที่จริงพวกเขาไม่ได้อยากจะร้องไห้ แต่ความร้อนระอุที่จู่ๆ จุกขึ้นมากลางอกก็ทำให้พวกเขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ!
เหล่าชั้นผู้น้อยใหญ่สำนักชางอู๋รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความปีติ ส่วนคนหนุ่มสาวของสำนักชางอู๋ก็รู้สึกเลือดในร่างกายสูบฉีดเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือผู้อาวุโส พวกเขาในยามนี้ต่างรู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอย่างเปี่ยมล้น!
นี่คือ… คุณหนูใหญ่สำนักชางอู๋ของพวกเขา!
นี่คือ… สำนักชางอู๋ของพวกเขา!
…
และพฤติการณ์เช่นนี้ก็ทำเอาเยี่ยนอวี๋รู้สึกเป็นกังวลนัก เพราะนางกลัวว่าท่านพ่อของนางจะร้องไห้อีก
ทว่าครั้งนี้เยี่ยนชิงไม่ได้ร้องไห้กลับเป็นเยี่ยนจื่อเสาที่ร้องไห้แทน แต่เขาก็ร้องไห้เงียบๆ เพียงแค่ซับน้ำตาเบาๆ มิได้ร้องไห้ฟูมฟาย
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์…” เสียงของเยี่ยนชิงที่ไม่ได้ร้องไห้แหบแห้งเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ซาบซึ้งมากเช่นกัน
เยี่ยนอวี๋ก็รู้สึกยิ่งกังวลใจ นางรีบตบไหล่ท่านพ่อเบาๆ ปลอบประโลมว่า “ใจเย็นๆ หนทางยังอีกยาวไกล กลับไปนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิด”
“จริงสิ!” เยี่ยนชิงถูกเบี่ยงเบนไปทันที “เจ้าเร่งเดินทางกลับมา ยังไม่ได้ดื่มน้ำสักคำเลย ไปๆๆ กลับไปกันเถิด”
เมื่อเยี่ยนอวี๋ได้ยินน้ำเสียงของบิดาเจ้าน้ำตาเป็นปกติแล้ว นางก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะพยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าก็จะตื่นแล้ว เขายังหิวอยู่เลย”
“ใช่ๆ พ่อลืมไปเอง” เยี่ยนชิงสั่งให้ประมุขหอสัตว์บรรพกาลและผู้เฒ่าดูแลหอเก็บกวาดที่เหลือให้เรียบร้อยอย่างหงุดหงิด ส่วนเขาก็พาบุตรสาวกลับไปพักผ่อน
“ท่านเจ้าสำนักวางใจเถิด” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลโบกมือ ไม่มีผีเสื้อราตรีแล้ว เรื่องที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
เมื่อเยี่ยนชิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกพิกล แต่เขากำลังรีบพาลูกสาวกลับไปจึงไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นก็ชวนท่านปู่ “ท่านปู่ กลับด้วยกันหรือไม่?”
“เจ้ากลับก่อน” เยี่ยนหงชวนเหลือบมอง ยังมีเหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋ที่รวมตัวรอเจ้าสำนักกลับตำหนักใหญ่ ทว่าในสายตาของเจ้าสำนักคนนี้มีเพียงบุตรสาวคนเดียว เขาจึงต้องเป็นคนไปช่วยจัดการเรื่องนี้
เยี่ยนชิงเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมี ‘ธุระ’ ที่ต้องจัดการในตำหนักใหญ่ แต่เขาก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เช่นนั้นลำบากท่านปู่แล้ว”
“ไสหัวไปซะ” เยี่ยนหงชวนปราดมองหลานอาวุโสอย่างไม่สบอารมณ์นัก จากนั้นจึงมองไปที่เหลนสาว พูดว่า “พักผ่อนดีๆ มิต้องกังวลเรื่องอื่น”
ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับพูดขึ้นว่า “ข้าต้องการกำจัดกองทัพคุนอู๋ให้สิ้นซาก”
“!” เยี่ยนหงชวนเบิกตาโพลง
หากประมุขหอสัตว์บรรพกาลและคนอื่นๆ ยังอยู่ พวกเขาคงตื่นตกใจจนหยุดหายใจแล้ว!
แต่เยี่ยนหงชวนจำเป็นต้องพูดขึ้นว่า “ถึงแม้พวกเขาถูกโจมตีกลับจนตอนนี้เหลือกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย ผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตสามท่านก็ยังอยู่ ส่วนพวกเรา นอกจากเจ้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมออกศึกด้วย”
“เม่ยเอ๋อร์สามารถจัดการได้สองคน ท่านสามารถจัดการได้หนึ่งคน ส่วนอีกหนึ่งหมื่นนายที่เหลือ สำนักชางอู๋น่าจะระดมนักฝึกฌานอย่างน้อยหนึ่งหมื่นนายออกมาได้?” เยี่ยนอวี๋ถามกลับ
เยี่ยนหงชวนตอบ “ข้าชราภาพเช่นนี้แล้ว หลังจากที่ออกจากสำนักชางอู๋ก็มิอาจสู้ผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตใดๆ ได้”
“หากท่านใช้พลังของตนเองเรียกต้นอู๋ถงออกมาได้เล่า” เยี่ยนอวี๋ถามกลับอีกครั้ง
“เรื่องนี้…” เยี่ยนหงชวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจว่า “ข้าเอาชนะปู่เย่าเหลียนได้ แต่…”
“ไม่มีแต่ ท่านเรียกต้นอู๋ถงออกมาได้” เยี่ยนอวี๋สบตาเยี่ยนหงชวน พูดอย่างหนักแน่นว่า “ข้ามั่นใจ”
หัวใจของเยี่ยนหงชวนเต้นเร็วราวกับตีกลองรัว มีหลายครั้งที่หายใจไม่เป็นจังหวะ เขาปลีกวิเวกมาสิบห้าปีแล้ว ทำได้เพียงหยิบยืมพลังของปรมาจารย์วิญญาณสำนักเรียกต้นอู๋ถงออกมา พูดได้ว่าเป็นได้เพียงผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตครึ่งหนึ่งและผู้อัญเชิญวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ทว่าในยามนี้…
“ต้นอู๋ถงงอกเงยแล้ว วิญญาณหงส์เพลิงก็สถิตอยู่ นี่มิใช่โอกาสอันดีหรือ” เยี่ยนอวี๋ไม่เชื่อว่านางจะไม่สามารถทำให้เยี่ยนหงชวนฝ่าขีดจำกัดไปได้ภายใต้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวยเช่นนี้
คำพูดของนางก็ปลุกเร้าเยี่ยนหงชวนอย่างยิ่ง “เช่นนั้นข้าจะไปลองเดี๋ยวนี้!”
“อืม” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า ก่อนจะสั่งเม่ยเอ๋อร์ว่า “ให้ชุ่ยชุ่ยทำอาหารให้เสี่ยวเป่า แล้วก็ให้เขากินข้าวต้มงูที่เจ้าทำให้อีกสักถ้วย เขาตื่นเมื่อใดก็จะให้กินทันที”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของนาง เม่ยเอ๋อร์ยังไม่ทันได้ขานตอบ เสียงอันน่ารังเกียจก็ดังขึ้น “พี่ใหญ่? น้องจื่ออวี๋ เหตุใดพวกท่านถึงอยู่ด้วยกันเล่า”
ตอนที่ 138 นางในบัดนี้ เจ้ามิอาจเอื้อมถึง
กู้หยวนเหิงไม่คิดเลยว่า พี่ใหญ่ของเยี่ยนจื่ออวี๋จะอยู่ด้วยเมื่อเขาเจอนางอีกครั้ง อีกทั้งพวกเขายังปรากฏตัวพร้อมกันด้วย
“ชีหลาง?” กู้หยวนหมิงก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะว่ากู้หยวนเหิงเดินออกมาจากสำนักชางอู๋ เท่าที่เขาทราบน้องเจ็ดคนนี้ของเขามิควรอยู่ที่นี่ กู้หยวนหมิงจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าเป็นขุนนางราชสำนัก เหตุใดยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้” เขารู้ว่าน้องเจ็ดคนนี้ของเขารู้จุดยืนของราชสำนักที่มีต่อสำนักชางอู๋ดี เช่นนั้นสำนักเหยาไถเซียนคงมีสาส์นส่งมา
“ข้าเป็นตัวแทนของราชสำนักและสำนักเหยาไถเซียนมาเกลี้ยกล่อมเจ้าสำนักเยี่ยน เพราะราชสำนักมีจุดประสงค์เพียงนำตัวเจ้าสำนักเยี่ยนไป มิได้จงใจหาเรื่องสำนักชางอู๋ และไม่มีความจำเป็นต้องเปิดศึกเสียด้วยซ้ำ แต่บัดนี้…”
กู้หยวนเหิงพูดน้ำไหลไฟดับ สุดท้ายยังสรุปให้ว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องทำให้บานปลายเช่นนี้ ขอเพียงน้องจื่ออวี๋แต่งงานกับข้า เมื่อสำนักเหยาไถเซียนมีความสัมพันธ์เครือญาติกับสำนักชางอู๋ สำนักคุนอู๋ก็คงจะไว้หน้า ทว่า…”
“หยุด!” เยี่ยนชิงทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ! หากไม่ใช่เพราะกู้หยวนหมิงอยู่ เขาคงจับไม้กวาดทุบตีอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว!
แม้แต่กู้หยวนหมิงเองก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาพูดขึ้นว่า “น้องเจ็ดมิต้องพูดแล้ว เรื่องแต่งงาน ขอไม่กล่าวถึงเรื่องเวลา เพราะแค่เรื่องจริยวัตร เจ้าก็ทำอย่างสุกเอาเผากินแล้ว ไม่เคารพแม่นางเยี่ยนเลย”
“แต่ว่า…” กู้หยวนหมิงไม่คิดเช่นนั้น ครั้นอยากจะพูดว่าทุกอย่างต้องยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์
ทว่าเยี่ยนอวี๋ก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีแต่ว่า ข้อแรก ท่านพ่อของข้าไม่มีทางไปกับเจ้าและไม่มีทางเข้าวัง เขาจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เขาจะอยู่เมืองชางอู๋ ข้อสอง ข้าเยี่ยนอวี๋หรือเยี่ยนจื่ออวี๋ไม่มีทางแต่งงานกับเจ้าและตลอดไป”
กู้หยวนเหิงหน้าซีดเผือด “น้องจื่ออวี๋ เจ้า…”
“พอแล้ว หุบปากน่ารังเกียจของเจ้าเสียที ‘น้องจื่ออวี๋’ ไม่ใช่ชื่อที่เจ้าสมควรเรียก อย่าให้ข้าได้ยินเจ้าเรียกเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นคนใบ้ไปตลอดชีวิต!” เยี่ยนอวี๋เตือนด้วยสายตาเยือกเย็น
หากจะให้ตอบว่าตั้งแต่ที่นางเกิดใหม่มา ใครเป็นคนที่ทำให้นางรังเกียจที่สุด ย่อมคือกู้หยวนเหิงเพียงคนเดียว เรื่องทำร้ายเยี่ยนจื่ออวี๋ กู้หยวนเหิงต้องรับผิดชอบ! เยี่ยนชิงถังและนางคนนั้นเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น แต่คนบงการ…
เหตุผลที่ตอนนี้เยี่ยนอวี๋ยังไม่จัดการกู้หยวนเหิง เป็นเพราะนางไม่อยากให้เขาตายจากไปอย่างง่ายดายเกินไป อีกทั้งนางยังต้องใช้ประโยชน์จากเศษสวะคนนี้สืบหาข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ดังนั้น เมื่อเยี่ยนอวี๋พูดจบ นางก็จูงมือบิดาเจ้าน้ำตาของนางออกไป นางกลัวว่าหากยังไม่ไปจากที่นั่น นางจะฆ่ากู้หยวนเหิงเศษสวะคนนี้ด้วยฝ่ามือเดียว
“ฮึ!” เยี่ยนชิงก็เออออด้วย เขาพ่นลมหายใจเย็นชาไปทางกู้หยวนหมิง จากนั้นจึงอุ้มเยี่ยนเสี่ยวเป่าจากไปตามบุตรสาวของตน เขารู้สึกสะใจนัก แต่ก็ปวดใจเช่นกัน
เยี่ยนจื่อเสาก็จงเกลียดจงชังกู้หยวนเหิง เขาพูดขึ้นว่า “เจ้าจำคำพูดของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไว้ เจ้าไม่คู่ควรกับนาง! เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะแต่งกับใครก็ได้ที่ไม่ใช่เจ้า!”
“ใช่แล้ว” เยี่ยนหงชวน ผู้ปกครองอาวุโสก็เอ่ยขึ้น
“ข้า…” กู้หยวนเหิงกลับรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
“พ่อหนุ่ม ข้าขอพูดเพียงว่า ในเมื่อครานั้นเจ้าไม่สนใจนาง นางในวันนี้ เจ้าย่อมมิอาจเอื้อมถึง” เยี่ยนหงชวนพูดอย่างมีความนัยก่อนจะพาเหลนชายของตนจากไป
“ข้า…” กู้หยวนเหิงยังคงทำท่าจะโต้เถียง แต่บัดนี้เหลือเพียงกู้หยวนหมิง อินหลิวเฟิงและลูกน้องของเขา และเชลยศึกตระกูลชือที่ถูกเอ้อร์เหมาจับตัวไว้อยู่ที่นั่น
อินหลิวเฟิงรู้ตัวจึงพูดขึ้นว่า “ชุนซิ่นจวิน ข้าขอตัวไปก่อน”
“ได้ ไว้เจอกัน” กู้หยวนหมิงประสานมืออำลา
อินหลิวเฟิงจึงพาเอ้อร์เหมาและเชลยศึกตระกูลชือสองคน ‘กลับไป’ หอเจ้าสำนักอย่างรู้ทางและมีสำนึกความเป็นสุนัขรับใช้ที่ดีมาก
“พี่ใหญ่…” หลังจากที่อินหลิวเฟิงจากไป กู้หยวนเหิงก็ทำท่าจะพูดอะไร
ทว่ากู้หยวนหมิงยกมือขึ้นห้าม “เจ้ามิต้องพูดมาก เรื่องที่เจ้าอยู่ชางอู๋ ข้าไม่รู้และไม่อยากยุ่งด้วย แต่ท่านผู้อาวุโสเยี่ยนพูดถูก แม่นางเยี่ยนในตอนนี้ เกรงว่าเจ้ามิอาจเอื้อมถึง”
“ทำไมกัน?!” กู้หยวนหมิงกลับโมโห “หรือว่าพี่ใหญ่อยากแย่งนางจากน้องชายคนนี้?”
เมื่อสิ้นเสียงพูด… กู้หยวนหมิงก็ฉุนเฉียวทันที ก่อนจะต่อยกู้หยวนเหิงไปหนึ่งหมัด! หมัดที่ต่อยไปบนหน้าของกู้หยวนเหิงดัง ผัวะ ทำเอากู้หยวนเหิงฟันร่วงไปซี่หนึ่ง และปากของเขาก็กลบไปด้วยเลือดทันที
“พูดพล่อยๆ อะไรของเจ้า!” กู้หยวนหมิงพยายามข่มอารมณ์โมโหไว้ ก่อนจะจับคอเสื้อน้องชายขึ้นมา ตะคอกใส่ว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงนางที่ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าเลย ถึงแม้จะใช่ แล้วเจ้าสมควรพูดเช่นนี้กับพี่หรือ”
“ข้า…” กู้หยวนหมิงรู้ว่าเป็นเพราะความวู่วามของตนเองจึงพูดพล่อยๆ ออกไปเช่นนั้น
กู้หยวนหมิงกลับไม่อยากฟังคำอธิบาย เขาปล่อยมือและผลักน้องชายผู้ไม่มีสัมมาคารวะคนนี้ออกไป “หากเจ้าชอบแม่นางเยี่ยนจริงๆ ในฐานะที่ข้าเป็นพี่ ข้าขอแนะนำให้เจ้าถอดใจเสียเถอะ คุณสมบัติและความรู้เช่นเจ้า แปดร้อยปีก็มิอาจเทียบเคียงนางได้ และมิต้องพูดกับข้าอีกว่าพวกเจ้าสองคนรักกันเพียงใดหรือนางรักเจ้ามากเพียงใด พวกเราไม่ใช่คนตาบอด ในเมื่อเจ้าทำให้นางไร้ความรู้สึกต่อเจ้าแล้วก็อย่าคาดหวังให้นางเปลี่ยนใจกลับมารักเจ้าอีกเลย เกรงว่าบัดนี้นางคงไม่อยากเห็นเจ้าอีก”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ว่า หยวนเหิง เจ้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เรื่องบางเรื่องที่พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ตลอดทางตั้งแต่ต้าฮวงจนถึงที่นี่ ข้ารู้ความสามารถของนางดี อย่าว่าแต่เจ้า แม้แต่ข้าเองก็ไม่คู่ควรกับนาง” กู้หยวนหมิงพูดกระทบกระเทือนจิตใจน้องชายคนนี้อย่างไร้ความปรานี
กู้หยวนหมิงที่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ขาวซีดทันที นัยน์ตาปรากฏประกายเหลือเชื่อ “พี่ใหญ่ท่านพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“หมายความตามที่เจ้าได้ยิน เจ้าคิดว่าถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงของสำนักคุนอู๋เก็บง่ายนักหรือ” กู้หยวนหมิงไม่อยากให้น้องชายคนนี้ล่วงเกินใครอีกจึงจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนกว่านี้ว่า “นางเป็นผู้สืบทอดของปฐมราชินีแห่งศักราชหยวนชู เจ้าอย่าได้ไปรังควานนางอีก!”
“อะไรนะ?!” กู้หยวนเหิงตกใจ ถึงแม้เขาจะดูออกว่าเยี่ยนจื่ออวี๋ในปัจจุบันไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดว่าตนเองมีตรงไหนที่ไม่คู่ควรกับนาง ทว่า… ปฐมราชินีแห่งศักราชหยวนชูหรือ
“กลับไปเถอะ ไปคิดให้ดี” กู้หยวนหมิงพูดจบก็กุมขมับ เพราะคิดได้ว่าตนยังไม่รู้ว่าที่พำนักอยู่ที่ไหน เพราะเยี่ยนอวี๋ที่โมโหจนเดินจากไปมิได้จัดแจงไว้
อันที่จริงเขาไปหอจ่างสื่อได้ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากเจอหน้าน้องชายไม่รู้จักโตคนนี้ เขาจึงไปหาอินหลิวเฟิงที่สำนักชางอู๋ เหลือเพียงกู้หยวนเหิงยืนนิ่งอย่างคนโง่เขลาอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
โอ้ ไม่สิ อันที่จริงยังมีอีกคนหนึ่งอยู่บนฟ้า นั่นก็คือต้าซือมิ่งราชสำนัก เขากำลังจ้องมองกู้หยวนเหิง!
ต้าซือมิ่งราชสำนักที่บังเอิญ ‘ได้ยิน’ เรื่องซุบซิบไม่น้อย เขาจึงเรียกสัมผัสกลับมาจากชานเมืองทางทิศเหนือ และสำรวจกู้หยวนเหิงอย่างสนอกสนใจ
จากนั้นเขาก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘มารดาของเจ้าก้อนมอมแมมตาต่ำจริงๆ’
เพียงแต่ว่า…