บริเวณนี้ถูกต้าซือมิ่งราชสำนักปิดกั้นมาโดยตลอด แม้หยางเทียนชื่อจะตะโกนเสียงดังเพียงใด เสียงจะดังทะลุค่ายกลปิดกั้นของต้าซือมิ่งได้หรือ คำตอบย่อมเป็น มิได้ กองกำลังใต้บังคับบัญชาชางอู๋จึงไม่ได้ยินสิ่งใดจริงๆ อีกทั้งพวกเขาที่กำลังฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดนั้นก็ไม่เห็นหยางเทียนชื่อและกองทัพแนวหน้าราชสำนักเลยจริงๆ!
ดังนั้น…
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน…”
กองกำลังหนึ่งหมื่นกว่านายที่เหลือของคุนอู๋ พวกเขาแทบจะถูกกองกำลังใต้บังคับบัญชาชางอู๋สังหารจนเรียบเป็นหน้ากลอง หยางชีฮั่นก็ถูกเยี่ยนชิงผู้นำทัพตัดศีรษะ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเสียด้วยซ้ำ…
และเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง หยางเทียนชื่อก็ทำได้เพียงมองดูอย่างเดือดดาล! เพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นถูกปิดกั้นไว้หมดแล้ว!
หยางเทียนชื่อยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย “ศาสตราเวทอวกาศ! เป็นกลิ่นอายปิดกั้นของศาตราเวทอวกาศชิงเหลียนในตำนาน! แต่ว่า…”
“เป็นไปได้อย่างไร” หยางเทียนชื่อร้องเสียงหลง “ต้าซือมิ่ง ใช่ท่านหรือไม่ หากท่านต้องการลงโทษคุนอู๋ของข้า เหตุใดต้องทำเช่นนี้ เหตุใดต้องทำเช่นนี้…”
“หมายความว่าอะไร” เฉินคั่วที่ตามอยู่ข้างๆ หยางเทียนชื่อก็แสดงความไม่เข้าใจ “นี่มันเกี่ยวอะไรกับต้าซือมิ่ง”
หยางเทียนชื่อทุกข์ระทม ครั้นเขากำลังจะอธิบาย กลับพบว่า… เหนือค่ายคุนอู๋ที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน หญิงงามนางหนึ่งกำลังถือศาสตราเวทลักษณะคล้ายดอกปทุมโบราณในชุดหลากสี นางกำลังอุ้มเด็กน้อยที่อยู่ในผ้าห่อตัวและกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเย็นชา
หึ่ง! ครั้นเมื่อสตรีนางนี้เก็บศาสตราเวทลักษณะคล้ายดอกปทุม ค่ายกลปิดกั้นอวกาศก็หายไปพร้อมกัน
ทว่านอกจากเยี่ยนอวี๋แล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีการปิดกั้นอวกาศอันลึกลับอีกชั้นหนึ่งที่หายไปพร้อมกับการสลายค่ายกลสกัดกั้นอวกาศของนาง ดังนั้นอันที่จริงเยี่ยนอวี๋ได้ยินเสียงตะโกนของหยางเทียนชื่อ แต่นางย่อมไม่บอกผู้ใด
หยางชีฮั่นและเยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยนอวี๋ พวกเขาก็แสยะยิ้มก่อนจะพูดด้วยความคับแค้นใจว่า “ตาแก่คุนอู๋! เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าสำนักชางอู๋ของข้าจะกลับแพ้เป็นชนะเองได้จึงใส่ร้ายต้าซือมิ่งว่าเป็นคนมาช่วยสำนักข้าสินะ”
“ช่างน่าขันยิ่งนัก” หยางชีซานก็มองหยางเทียนชื่ออย่างจนคำพูด และมองเฉินคั่วและกองกำลังแนวหน้าราชสำนักอย่างระแวดระวัง
เฉินคั่วเองก็มิได้ฟังความหยางเทียนชื่อข้างเดียว ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากเชื่อ แต่เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าราชสำนักไม่ต้องการสู้กับต้าซือมิ่ง! อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ เฉินคั่วจึงตำหนิขึ้นว่า “เช่นนั้นสำนักชางอู๋ของพวกเจ้าเป็นอะไรกัน ท่านประมุขสูงสุดสำนักชางอู๋ประกาศแล้วว่ามีพระราชโองการ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่หยุด”
“ใช่แล้ว! หรือเพราะว่ามีต้าซือมิ่งคอยหนุนหลังพวกเจ้า พวกเจ้าจึงบังอาจเช่นนี้” หยางเทียนชื่อไม่อยากทำตามความประสงค์ของเฉินคั่ว เพราะว่าเขาเชื่อมั่นว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของสำนักชางอู๋คือต้าซือมิ่ง มิเช่นนั้นศาสตราเวทสำนักชิงเหลียนที่ถูกขโมยไปเหตุใดจึงมาปรากฏที่นี่ได้
“หนึ่ง พวกเราไม่ได้ยิน สอง สำนักคุนอู๋ไล่ฆ่าเราจนถึงลูกกระเดือกอยู่แล้ว เหตุใดเราจึงโจมตีกลับไม่ได้เล่า! หรือว่าต้องให้พวกข้าล้างคอให้สะอาดและปล่อยให้พวกเจ้าเข่นฆ่า ขอโทษที! สำนักชางอู๋มิอาจทำได้!” เยี่ยนชิงโต้กลับอย่างหนักแน่น ทำเอาหยางเทียนชื่อสะอึกจนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี แต่แล้วเฉินคั่วก็ตำหนิ “ดูท่าเจ้าคือเจ้าสำนักชางอู๋สินะ! ท่านประมุขสูงสุดคุนอู๋ใช้พลังเสียงขั้นถอดจิตแจ้งแล้ว เจ้ายังไม่ได้ยิน? พวกเจ้าเห็นแม่ทัพเป็นคนโง่หรืออย่างไร ตอนนี้ข้าไม่อยากพล่ามไร้สาระกับพวกเจ้าแล้ว มีอะไรก็กลับไปเมืองหลวงแล้วค่อยรายงานฝ่ายราชทัณฑ์เองเสียเถิด ส่วนตอนนี้จงยอมให้จับแต่โดยดี!”
คำพูดนี้ทำเอาเยี่ยนอวี๋ไม่พอใจ “ไม่ได้ยินก็คือไม่ได้ยิน อีกอย่างเหตุใดสำนักข้าต้องเชื่อว่าเจ้าเป็นตัวแทนของราชสำนัก ท่านพ่อข้าไม่ไป”
“เจ้าคือใคร” เฉินคั่วกลับถามขึ้นอย่างไม่โมโห เพราะว่าเยี่ยนอวี๋งดงามมากจริงๆ เสียงที่พูดก็ไพเราะนัก คนทั่วไปโกรธนางไม่ลงจริงๆ ช่างงดงามราวกับนางฟ้าจริงๆ!
“คุณหนูใหญ่สำนักข้า! ทำไมรึ” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลที่ระวังตัวขึ้นมาก็ยืนขวางสายตาเฉินคั่วไว้แล้ว “คุณหนูใหญ่ของเราพูดถูก! พวกเราไม่ได้ยินพระราชโองการอะไรนั่น และเราก็จะไม่ไปกับเจ้า! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าอยู่รังเดียวกับตาแก่คุนอู๋หรือไม่”
“ใช่แล้ว!”
“พูดถูก!”
ประมุขหออัญเชิญศักดิ์สิทธิ์และประมุขหอราชทัณฑ์ก็พูดสำทับประมุขหอสัตว์บรรพกาล ถึงแม้พวกเขารู้ว่าราชสำนักมีพระราชโองการเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ฟัง
เรื่องถึงบัดนี้ ผู้ใดจะไม่รู้ว่าเหตุที่สำนักคุนอู๋อาจหาญทำตามอำเภอใจเช่นนี้ เป็นเพราะมีราชสำนักคอยหนุนหลัง! ถึงแม้เป็นเช่นนี้ สำนักชางอู๋พวกเขาในบัดนี้ก็ไม่ยอมตามใจให้ผู้อื่นเข่นฆ่า
หลังจากที่เกิดเรื่องราวมากมาย เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋ก็จดจำบทเรียนในอดีตและตื่นตัวระวังตนในอนาคต เหตุผลที่สำนักคุนอู๋กล้ารังแกสำนักชางอู๋เช่นนี้และเหตุผลที่ราชสำนักยินยอมพร้อมใจเช่นนี้ ก็เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าชางอู๋อ่อนแอไร้ทางสู้มิใช่หรือ!
บัดนี้ คุณหนูใหญ่ทำให้สำนักชางอู๋แข็งแกร่งขึ้นมากมายเพียงนี้ พวกเขาก็ควรลองแข็งข้อสักครั้ง บางทีอาจจะกลายเป็นนกที่โบยบินในท้องนภาอันกว้างใหญ่อย่างอิสระ แต่หากสู้ไม่ไหว ก็แค่ตายเท่านั้นเอง!
หยางชีซานผู้อาวุโสสูงสุด เขาก็พูดแทนเจตจำนงสูงสุดของสำนักว่า “ท่านแม่ทัพท่านนี้ เจ้าสำนักของข้าและคนของสำนักข้าจะไม่ไปที่ใดกับท่านทั้งนั้น เพราะพวกเราไม่ไว้ใจสำนักคุนอู๋!”
“เช่นนั้นหมายความว่าสำนักชางอู๋ของพวกเจ้าต้องการกบฏ?” เฉินคั่วไม่ใช่คนใจร้อน เขาพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “จงคิดให้รอบคอบ! การขัดต่อพระราชโองการย่อมหมายถึงกบฏ! พวกเจ้าก็แค่สำนักชางอู๋ ริอาจฝ่าฝืนบัญชาของราชสำนักเชียวหรือ!”
เมื่อสิ้นเสียงพูด…