ต้าซือมิ่งราชสำนักไม่ได้ตาบอด และสายตาของเขายังดีเหมือนอินสวินอี้โยวตูอ๋องด้วย เขาเห็นชัดเจนแล้วว่าทารกน้อยที่ร้องไห้จนตาบวม เจ้าก้อนที่สกปรกมอมแมมทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเขา เจ้าก้อนมอมแมมที่ชอบเขาและมีความสามารถในการ ‘จับ’ เขามีหน้าตาเหมือนตัวเขาเองมาก เหมือนมาก… เหมือนมากจริงๆ… เหมือนจนทำให้ต้าซือมิ่งราชสำนักแสดงกิริยาไม่เหมาะสมเป็นครั้งแรกในชีวิต! เขาตัวนิ่งงันอยู่ที่เดิม ทว่าเขาก็กีดกันตนเองออกจากสายตาทุกคนแล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าอินสวินอี้จะคอยมองต้าซือมิ่งท่านนี้ตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่ทันเห็นสีหน้าประหลาดราวกับถูกฟ้าผ่าที่ปรากฏบนใบหน้าของต้าซือมิ่งท่านนี้ ทว่าอินสวินอี้ผู้มีสายตาเฉียบแหลม เขาพอเดาได้แล้วว่าเหตุใดต้าซือมิ่งท่านนี้จู่ๆ จึง ‘หายตัว’ ไป อีกทั้งเขายังทายความจริงอีกเรื่องหนึ่งได้ด้วย
‘ดูท่าต้าซือมิ่งจะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขา’ อินสวินอี้รู้สึกว่าตนรู้ความจริงได้มากขึ้นทุกวันแล้ว! หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาจถูกฆ่าปิดปากก็ได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด… อินสวินอี้ยังคงต้องสบถอย่างไม่สุภาพในใจ ‘บ้าเอ๊ย’ ต้าซือมิ่งไม่รู้ว่าตนเองมีลูกชายหรือนี่?! เป็นเพราะต้าซือมิ่งเลวทรามเกินไป เลวทรามจนไม่รู้ว่าทิ้งเชื้อไว้ให้ใครหรือ! หรือว่าท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเก่งเกินไป นางคลอดลูกของเขาออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว?!
…
ไม่ว่าเป็นความเป็นไปได้แบบใด อินสวินอี้ก็ทำได้เพียงร้อง ‘บ้าเอ๊ย’ ในใจ!
ลองคิดดูสิ หากเป็นแบบแรก แล้วใครจะไปคิดว่าต้าซือมิ่งผู้หลุดพ้นจากทางโลกและละเว้นจากกามารมณ์ราวกับไม่ทานอาหารมนุษย์และไร้ซึ่งความปรารถนาใดๆ เขากลับ…
บ้าจริง!
อินสวินอี้ไม่กล้าคิดต่อไป เขารู้สึกถ่อยเกินไปแล้ว ทัศนคติสามด้าน[1]พังทลายไปหมด ท้ายที่สุดอินสวินอี้จึงคิดว่าแบบที่สองน่าจะปกติมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเป็นผู้สืบทอดของปฐมราชินีหยวนชู เขาจึงยิ่งคิดว่ามีความเป็นไปได้ ถึงแม้ต้าซือมิ่งแข็งแกร่งจนวิปริต แต่ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนที่ได้รับการสืบทอดจากปฐมราชินีก็ไม่ใช่แจกันดอกไม้ที่สวยแต่รูปเท่านั้น ดังนั้นการเชื่อข่าวลืออย่างไม่ลืมหูลืมตาอาจจะทำให้คนตายได้ ปราชญ์มหาสำนักท่านนี้แม้แต่ต้าซือมิ่งก็ยังปราบให้อยู่หมัดได้ นางช่าง…
…
ในขณะที่อินสวินอี้ว้าวุ่นอยู่นั้น สิ่งมีชีวิตตัวน้อยก็ไม่อยากใช้ตาพิสูจน์อีกแล้ว เขาจับแม่คนงามไว้และชี้ไปข้างหน้าพลางส่งเสียง “อ้ะเนะเนะ”
“อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ!” เด็กน้อยบอกว่าเขารู้สึกว่าพ่อรูปงามของเขาอยู่ข้างหน้านี้เอง เขาอยากไปดู
เยี่ยนอวี๋สังเกตเห็น ‘ความผิดปกติ’ ของเด็กน้อยตั้งแต่แรกแล้ว อีกทั้งนางก็รับรู้ได้ว่าข้างหลังของนางมีกลิ่นอายจางๆ ซ่อนอยู่ แต่เยี่ยนอวี๋ไม่ได้ลงมือทำอะไร เพราะว่านางเดาได้ว่าคนที่มาคือต้าซือมิ่งท่านนั้น แต่เดิมนางอยากจะหายตัวไปที่นั่นพร้อมกับเด็กน้อยโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว แต่น่าเสียดายที่เด็กน้อยอดทนไว้ไม่ได้ แต่ก็มิอาจกล่าวโทษเด็กน้อยได้ เด็กน้อยยังเล็กเช่นนี้ก็สัมผัสถึงอันตรายได้ ถือว่าเก่งมากแล้ว
ทว่าถึงแม้จะ ‘เปิดโปง’ แล้ว เยี่ยนอวี๋ยังคงไม่ยอมแพ้ หลังจากที่นางลูบหลังของเด็กน้อยเบาๆ แล้ว นางก็หายตัวไปจากที่เดิมทันที! เมื่อนางปรากฏตัวอีกครั้ง ตำแหน่งที่นางยืนอยู่ก็คือตำแหน่งที่ต้าซือมิ่งราชสำนักยืนอยู่เมื่อชั่วขณะก่อนหน้า
“อ้ะ! อ้ะเนะเนะ!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ความเศร้าเสียใจหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะว่าเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายชัดเจนของท่านพ่อรูปงามของเขา ทำให้เขามีความสุขมากนัก
“หนีไปอีกแล้ว…” เยี่ยนอวี๋หมดคำพูด นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้าซือมิ่งคนนี้จึงทำตัวหลบๆ ซ่อนๆเหมือนกระต่ายทุกครั้งเช่นนี้! คุย(สู้)กันอย่างเปิดเผยหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร หนีไปทุกครั้งเลย! ฮึ… เยี่ยนอวี๋เชื่อเขาแล้วจริงๆ
ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับไม่รู้ว่าแต่เดิมต้าซือมิ่งไม่ได้คิดจะหนี เขายังคิดไว้แล้วว่าจะปล่อยให้นางและเด็กน้อย ‘จับ’ เขาได้ และคืนกระบี่ไท่ชางให้นาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงปลีกวิเวกอย่าง ‘ตั้งใจ’ และใช้กระบี่ไท่ชางเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว
แต่ว่า… การปรากฏตัวอย่าง ‘สะอาดสะอ้าน’ ของเยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ทำลายทัศนคติสามด้านของต้าซือมิ่งโดยสิ้นเชิง เพราะอินสวินอี้ทายถูก เขาไม่รู้จริงๆ ว่าเขามีลูกชาย! มิเช่นนั้นเขาคงไม่แสดงสีหน้า ‘ราวกับถูกฟ้าผ่า’ หรอก
เรื่องเช่นนี้ ตื่นเต้นกว่าการได้เป็นพ่อเสียอีก… อย่างน้อยสำหรับต้าซือมิ่งแล้วก็ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนเขาเผลอซ่อนตัวอย่างยั้งไม่อยู่… เขาต้องสงบสติอารมณ์ก่อน!
…
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ?” เยี่ยนจื่อเสาที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหายตัวมาข้างกายเยี่ยนอวี๋ตามสัญชาติญาณ “เกิดเรื่องอีกหรือ”
เยี่ยนอวี๋ส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไร ไม่เกี่ยวกับตระกูลเฉาหรอก”
แม้เมื่อครู่นี้นางจะปลอบเด็กน้อยอย่างใจจดใจจ่อก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จากการวิเคราะห์สถานการณ์หลังจากที่นางปลอบเด็กน้อยเสร็จแล้ว
“อืม! เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าคิดว่าตระกูลเฉามีอสูรร้ายที่ไหนมาอีกแล้วเสียอีก” อินหลิวเฟิงถามอย่างผ่อนคลายเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้ามาที่นี่…?”
เยี่ยนอวี๋ไม่คิดปิดบัง “เมื่อครู่นี้ต้าซือมิ่งคนนั้นอยู่ที่นี่”
“อืม” อินหลิวเฟิงไม่รู้สึกตกใจนัก เพราะว่าเขาเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต้าซือมิ่งท่านนั้นอยู่ในห้องพักขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเห็นบิดาของเขาออกมาจากห้องพักขนาดใหญ่ก็ยิ่งมั่นใจ
ทว่าเม่ยเอ๋อร์ในยามนี้กลับรายงานขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ เหมือนกับว่าต้าซือมิ่งท่านนั้นช่วยพวกเราไว้เจ้าค่ะ”
เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้ว “อย่างไร”
“คนนั้น” เม่ยเอ๋อร์ชี้ไปที่ผู้แข็งแกร่งตระกูลเฉาที่ถูกนางลากมาตั้งแต่แรก นางเล่าว่า “ฌานตบะของท่านนี้ไม่ได้สูงนัก แต่ช่ำชองวิชาอวกาศ ข้าน้อยเกือบจะคลาดกับเขาแล้ว แต่ชายผู้นี้กลับถูกพายุห้วงอวกาศซัดจนหลุดออกจากความว่างเปล่าและตกลงมาข้างหน้าข้าน้อย”
อินหลิวเฟิงกระจ่างในทันที “ก็ว่า! ข้าก็ว่าเฉาอิงเหรินเป็นถึงผู้สืบทอดคนสำคัญของตระกูลเฉาแห่งเป่ยเหา เหตุใดจึงไม่มีองครักษ์ดีๆ เลยสักคน ที่แท้ก็ตายอยู่ที่นี่นี่เอง”
“อืม” เม่ยเอ๋อร์พยักหน้า
เอ้อร์เหมาพูดอย่างสลดใจว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าเฉาอิงเหรินคิดอะไรอยู่กันแน่ น้องสาวของเขาทำตัวกร่างเช่นนั้น เขายังส่งผู้แข็งแกร่งมาช่วย ข้ารับรองได้ว่าหากไม่ใช่เพราะเพื่อช่วยน้องสาวโง่เขลานั่น เฉาอิงเหรินต้องหนีไปได้แน่นอน”
“นั่นก็ไม่มีทางหรอก” อินหลิวเฟิงมองทะลุทุกอย่าง “ต้าซือมิ่งถึงกับลงมือด้วยตนเอง พันขุนเขาไร้นกบิน ทางทั้งหมื่นไร้รอยเท้าคน ใครก็มิอาจหนีไปได้”
“แน่นอน” อินสวินอี้เดินมาข้างหน้าพวกเขาและกล่าวขอโทษเยี่ยนอวี๋ “ขออภัยท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ทำให้ท่านและเสี่ยวเป่าตกใจแล้ว เป็นเพราะข้าดูแลไม่ดี”
“เกินไปแล้ว” เยี่ยนอวี๋ส่ายศีรษะเล็กน้อย
อินสวินอี้กลับแปรเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เขาพูดอย่างจริงจังว่า “ขออภัย ท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ข้ามีเรื่องด่วน หากท่านต้องการสิ่งใด บอกหลิวเฟิงได้ เขามีอำนาจจัดการทุกสิ่ง ขออภัยจริงๆ! ข้า…”
“ไม่เป็นไร” เยี่ยนอวี๋ดูออกว่าโยวตูอ๋องมีธุระด่วนจริงๆ จึงขัดเขาว่า “โยวตูอ๋องตามสบายเถิด”
“ขอบคุณท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนที่เข้าใจ ข้าขออำลา” อินสวินอี้กล่าวอย่างรู้สึกผิด แต่เดิมเขาอยากจะคุยกับปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนมหัศจรรย์ท่านนี้เสียเล็กน้อย แต่ว่า… ต้าซือมิ่งกำลังเรียกตัวเขา!
เอ่อ… หากเป็นเป็นได้ อินสวินอี้ไม่อยากไปเลย เขารู้สึกไม่ค่อยดีนัก คงไม่ใช่…
————————————————–
[1] ทัศนคติสามด้าน หรือ ปรัชญาซานกวน คือมุมมองการใช้ชีวิต 3 ด้าน ได้แก่ ทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อโลก (โลกทัศน์) และทัศนคติต่อคุณค่า (ค่านิยม)