ตอนที่ 181 เหตุใดจึงเป็นท่านลุง
อินหลิวเฟิงที่ส่งบิดากลับไปแล้วก็รู้สึกตงิดใจ “ท่านพ่อของข้าเหตุใดจึงทำตัวลึกลับนัก แววตาของเขาก็ดูประหลาดราวกับเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ”
“ที่ไหนกันขอรับ” เอ้อร์เหมาไม่คิดว่าท่านอ๋องของตนผิดปกติ “ท่านอ๋องมองนายท่านน้อยด้วยสายตาเช่นนั้นตลอดมา เหมือนกับแสดงความห่วงใยต่อเด็กที่พิการทางสมอง”
อินหลิวเฟิงสีหน้าพลันเปลี่ยน เขาไม่สามารถอภัยให้ลูกน้องคนนี้ได้อีกแล้ว เขาต้องชำระสำนักแล้ว!
ทว่าอินหลิวเฟิงยังไม่ทันลงมือ เยี่ยนอวี๋ก็ถามขึ้นว่า “โยวตูมีแผนเตรียมการจัดการตระกูลเฉามานานแล้วหรือ”
“ยังไม่ใช่หรอก” อินหลิวเฟิงตอบตามความเป็นจริง “ถึงแม้พวกเราโยวตูตรวจพบแล้วว่าตระกูลเฉาและคุนอู๋ร่วมมือกับคุนอู๋ลับๆ แต่เราไม่มีหลักฐาน อีกทั้งถึงมีหลักฐาน โยวตูก็ไม่สามารถลงโทษตระกูลเฉาซึ่งหน้าได้ แม้เป่ยเหาจะอยู่ใต้การปกครองของตระกูลอิน แต่ผู้ปกครองของแต่ละแว่นแคว้นก็ต้องขึ้นตรงต่อราชสำนัก สำนักคุนอู๋มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับราชสำนัก ดังนั้น…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ อินหลิวเฟิงก็ไม่ได้พูดต่อไป เขาเพียงแค่ส่งสายตาเป็นสัญญาณว่า ‘เจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ’ ให้เยี่ยนอวี๋
เยี่ยนอวี๋ก็เข้าใจดี แต่นางกลับยิงคำถามที่เฉียบคมกว่าเดิมว่า “ผู้ปกครองแต่ละแว่นแคว้นเผชิญปัญหาเดียวกันหมดเลยหรือไม่”
…อินหลิวเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างไร้หนทางว่า “กูไหน่ไน เจ้าฉลาดเกินไปแล้ว!”
“เฮอะ” เยี่ยนอวี๋พ่นหัวเราะเบาๆ
อินหลิวเฟิงถอนหายใจพลางโบกมือส่งสัญญาณให้คนที่มาทำความสะอาดออกไป ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าน่าจะรู้ว่าด้วยสติปัญญาที่โดดเด่นและกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เคยหักหน้าต้าซือมิ่งครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่กระทบต่อแผนการส่วนใหญ่ของเขา ตั้งแต่ที่พระองค์ท่านเข้ายึดอำนาจ ท่านก็อุทิศตนเพื่อรวมศูนย์อำนาจ ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้ต้าซือมิ่ง บัดนี้ได้ยกเลิกที่นาของผู้ปกครองรายน้อยหลายองค์แล้ว ถึงแม้จะเป็นตระกูลเก่าแก่สามตระกูลอย่างตระกูลฮู่ ตระกูลหนาน และตระกูลเจินสวินก็ตาม บัดนี้หลงเหลือเพียงชื่อเท่านั้น ส่วนโยวตูของข้า หากไม่ใช่เพราะเป็นม่านป้องกันภัยธรรมชาติจากแม่น้ำหมิงเย่ว์ ตอนนี้เกรงว่าคงรกร้างไปแล้ว”
“ดังนั้นหากอุทกภัยในโยวตูเป็นภัยต่อเมืองหลวง ราชสำนักก็มีข้ออ้างกล่าวโทษโยวตูอย่างสมเหตุสมผล จากนั้นก็รวมแผ่นดินทั้งหมดเป็นหนึ่ง” เยี่ยนอวี๋กล่าวสรุปอย่างเข้าใจ
“ใช่แล้ว” อินหลิวเฟิงมองเยี่ยนอวี๋อย่างจนใจและอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้ารู้แผนการของราชสำนักดีจริงๆ”
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้ตอบเขา แต่เม่ยเอ๋อร์พูดขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ของพวกเรารู้ทุกอย่าง!”
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้าตามทันที
เยี่ยนอวี๋จิ้มหน้าผากเด็กน้อยเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าได้ยินท่านลุงรองของเจ้าบอกว่าจู่ๆ เจ้าก็หายตัวไปหรือ”
“อ้ะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบๆ แสดงสีหน้างุนงง
“แกล้งโง่น่ะไร้ประโยชน์นะ” เยี่ยนอวี๋คิดว่าต้องสั่งสอนเด็กน้อยเสียหน่อยแล้ว จะปล่อยให้เขาเดินผิดทางไม่ได้ “ครั้งที่แล้วเจ้าแอบหนีไป ท่านแม่ไม่ได้ว่าอะไรเจ้า เจ้าก็เลยคิดว่าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่การที่จู่ๆ เจ้าหายตัวไปทำเอาคนมากมายแค่ไหนตกใจ แล้วก็โชคดีที่สองครั้งนี้ไม่เป็นอะไร เจ้ากลับร้ายเป็นดีได้ แต่ครั้งต่อไปอาจจะไม่ได้โชคดีเช่นนี้ ถึงครานั้นเจ้าอาจจะไม่เจอแม่อีก และอาจจะถูกขังไว้ในรถอันมืดมิดด้วย”
…เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่แสร้งทำเป็นสับสนอยู่จริงๆ ก็ก้มศีรษะลงถูไถในอ้อมอกของท่านแม่ของเขาและทำท่าจะอธิบายอะไรบางอย่าง “อ้ะเนะเนะ อ้ะเนะเนะ…”
เยี่ยนอวี๋ย่อมฟังไม่รู้เรื่อง แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสั่งสอนเด็กน้อย “ขอโทษท่านลุงรอง พี่เม่ยเอ๋อร์ ท่านลุงอินและท่านลุงเอ้อร์เหมาตอนนี้เสีย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เอ้อร์เหมาก็ถามขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ เหตุใดเม่ยเอ๋อร์เป็นพี่ ข้าน้อยเป็นลุงเล่า”
อินหลิวเฟิงก็อยากถามคำถามนี้เช่นกัน… แต่ไม่มีผู้ใดตอบเอ้อร์เหมา เยี่ยนเสี่ยวเป่าเองก็ส่งเสียง ‘อ้ะเนะเนะ’ กล่าวขอโทษทุกคนแล้วใบหน้าน้อยๆ ของเขายังแสดงสีหน้ารู้สึกผิด ช่างร้ายกาจจริงๆ ปีศาจทารกน้อย!
ในขณะที่อินหลิวเฟิงคิดเช่นนั้นก็หัวเราะพลางพูดขึ้นว่า “อันที่จริงก็มิได้เลวร้ายมากนัก เพราะข้ามิได้เป็นห่วงมากเท่าไร ข้ารู้จักกลควบคุมของหอจวินเป่าดี แต่ศิษย์พี่จื่อเสาและเม่ยเอ๋อร์คงตกใจมากจริงๆ”
“อ้ะเนะเนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายิ่งรู้สึกผิด เขากุมมืออวบอ้วนของตนมองเยี่ยนจื่อเสาและเม่ยเอ๋อร์ด้วยความปรารถนาที่จะขอโทษและอธิบายว่า “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ…” เสี่ยวเป่าเองก็ไม่รู้ว่าตนเองจะหายตัวไป เสี่ยวเป่าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…
แต่แล้ว…
ตอนที่ 182 เป็นลูกของต้าซือมิ่งจริงๆ…
ไม่มีใครฟังภาษาเด็กรู้เรื่อง แต่เยี่ยนจื่อเสาย่อมไม่กล่าวโทษหลานชายน้อย ทว่าเขายังคงรู้สึกขวัญเสียนัก “ลุงไม่โทษเสี่ยวเป่า แต่ต่อไปเสี่ยวเป่าเจ้าอย่าหายตัวไปเงียบๆ เช่นนี้อีก อันตรายมากเลย”
เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับหลานชายน้อย เยี่ยนจื่อเสายังคงหวาดผวา แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปแล้วก็ตาม หากไม่ใช่เพราะหลานชายน้อยมีพรสวรรค์ ทารกธรรมดาทั่วไปคง…
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว จื่อเสาเจ้าอย่าตระหนกเลย” อินหลิวเฟิงที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายผิดปกติของเยี่ยนจื่อเสา เขาก็รีบปลอบชายผู้โหดเหี้ยมคนนี้ทันที “ครั้งนี้ตระกูลเฉาหนีไม่ได้แน่ ท่านพ่อเจ้าเล่ห์ของข้าต้องจัดการอย่างสาสม”
“เช่นนั้นพวกเจ้าโยวตูจะทำให้จักรพรรดิองค์ปัจจุบันกริ้วหรือไม่” แม้เยี่ยนจื่อเสาจะโกรธเกลียดเฉาผิงผิงและกลุ่มคนของเฉาอิงเหรินที่ช่วยคนชั่วช้าทำความชั่วก็ตาม แต่เขาก็รู้ความลำบากของโยวตูดี
“มิเป็นไร” เยี่ยนอวี๋พูดขึ้น “ข้าจะเขียนฎีกาให้”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณกูไหน่ไน” อินหลิวเฟิงยิ้มพูดว่า “ศิษย์พี่จื่อเสามิต้องกังวล ไม่ช้าก็เร็วราชสำนักก็ต้องจัดการโยวตู อยู่ที่เรื่องของเวลา ตอนนี้เราจู่โจมก่อนอาจจะดีกว่าเล็กน้อย”
เยี่ยนจื่อเสาไม่เหมือนกับเยี่ยนอวี๋ เขาอายุไม่น้อยแล้ว อีกอย่างเมื่อก่อนเขายังเอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับการฝึกฌาน มิได้สนใจเรื่องการวางกลอุบายเหล่านี้ ดังนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งเหล่านี้นัก เขาเพียงพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อ “ขอให้เป็นเช่นนั้น”
เยี่ยนจื่อเสาไม่ได้รู้เรื่องของราชสำนักดีนัก ถึงแม้ว่าราชสำนักจะแต่งตั้งน้องสาวของนางเป็นปราชญ์มหาสำนักแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถลบล้างสิ่งที่ราชสำนักปล่อยปละให้สำนักคุนอู๋กระทำต่อสำนักชางอู๋ได้
ทว่า…
“เราส่งเสียงดังโหวกเหวกที่นี่ แขกเหล่านั้นไม่รู้เรื่องเลยหรือ” เยี่ยนจื่อเสาเพิ่งค้นพบว่าถึงแม้พวกเขาทำเสียงดังเพียงใด แต่กลับไม่มี ‘คนนอก’ มามุงดูเลย
“แน่นอน!” อินหลิวเฟิงตบไหล่เยี่ยนจื่อเสาเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “บอกเจ้าแล้วไง พลังค่ายกลของหอจวินเป่าแข็งแกร่งมาก พวกเราสู้รบที่นี่กันมาแทบทั้งวัน ข้างหน้าก็ยังไม่รับรู้อะไรเลย”
เยี่ยนจื่อเสาตกใจ “ดังนั้นตาแก่ตระกูลเฉาเมื่อครู่นี้ก็ถูกค่ายกลของหอจวินเป่าจัดการหรือ”
“…นั่นมิใช่หรอก” อินหลิวเฟิงรู้ตัวดี “บอกแล้วมิใช่หรือว่านั่นอาจะเป็นฝีมือของต้าซือมิ่ง”
“เป็นเขาจริงๆ หรือ” เยี่ยนจื่อเสาชะงัก ก่อนจะมองไปที่น้องเล็กของตนอย่างอดไม่ได้ “ท่านนี้เป็นสหายมาดีมิใช่ศัตรูหรือ”
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวเป่าได้ยินดังนั้น เขาก็รีบพยักหน้า “อ้ะเนะเนะ!” คนนั้นคือพ่อรูปงาม!
เยี่ยนอวี๋กลับไม่คิดเช่นนั้น “เขารังแกเจ้ามิใช่หรือ”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าส่ายศีรษะ แต่เขาก็คิดได้ว่า หากเขาบอกว่าท่านพ่อรูปงามของเขาไม่ได้รังแกเขา เช่นนั้นท่านแม่จะไม่ไปจับท่านพ่อรูปงามแล้ว? เมื่อคิดได้เช่นนี้…
เยี่ยนอวี๋พูดขึ้นว่า “ขี้ลืมตั้งแต่เด็กเลยนะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่า “?”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง ข้าคิดว่าความจำของพ่อคุณทูนหัวดีออก!” อินหลิวเฟิงไม่คิดว่าความจำของเด็กน้อยไม่ดีแต่อย่างใด โดยเฉพาะในเรื่องความแค้น!
“เช่นนั้นแล้วเขาเป็นศัตรูหรือเพื่อนกันแน่” เยี่ยนจื่อเสาไม่เข้าใจ “หรือว่าครั้งนี้เป็นเพราะเขาเคยรังแกเสี่ยวเป่าจึงรู้สึกผิด ก็เลยช่วยพวกเราไว้”
“เป็นไปได้” อินหลิวเฟิงเห็นด้วย
แต่เยี่ยนอวี๋ไม่คิดเช่นนั้นเลย ทว่านางก็มิได้พูดอะไร “ไม่ต้องสนใจเขา พวกเรากลับกันก่อนเถอะ เสี่ยวเป่าคงหิวแล้ว”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้าทันที และยังรู้สึกอยากร้องไห้ด้วย เมื่อครู่นี้ก็เป็นเพราะเขาหิวมาก จึงทานเนื้อที่ยังคงร้อนชิ้นนั้นลงไป จากนั้นก็ถูกเนื้อชิ้นนั้นกัด เจ็บมากเลย!
เมื่อเห็นเด็กน้อยพยักหน้า พวกเขาก็กลับไปที่ห้องพักขนาดกลาง ที่นั่นยังมีข้าวต้มปลาที่ยังคงอุ่นอยู่ ถึงแม้จะทำแตกไปถ้วยหนึ่ง แต่ที่เหลืออยู่ก็เพียงพอให้เด็กน้อยทานอิ่มท้องแล้ว
…
ในขณะเดียวกัน ในห้องพักขนาดใหญ่ อินสวินอี้ซับเหงื่อจนเปียกไปหลายผืนแล้ว เพราะว่าต้าซือมิ่งราชสำนักที่นั่งอยู่บนที่นั่งประธานนั้นปล่อยพลังงานบางอย่างออกมาอย่างน่าอึดอัด! และคงอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้มาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย…
ต้าซือมิ่งที่ไม่รู้ตัว เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว ราวกับรูปปั้นงดงามที่ไร้ลมหายใจ…
อินสวินอี้สังเกตสีหน้าของต้าซือมิ่งท่านนี้ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบก้มศีรษะครุ่นคิดว่าเขาควรพูดต่อไปเพื่อแก้สถานการณ์อย่างไร เห็นได้ชัดว่าต้าซือมิ่งเห็นหน้าตาของเด็กน้อยคนนั้นชัดเจนแล้ว และคงพอจะคาดเดาได้แล้ว แต่ต้าซือมิ่งท่านนี้ไม่รู้ว่าเป็น ‘เชื้อ’ ของตนเองจริงๆ ด้วย!
คำพูดเช่นนี้…
ครั้นอินสวินอี้อยากจะให้คำแนะนำแก่ต้าซือมิ่งราชสำนักในฐานะที่เป็นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน แต่ในขณะที่เขากำลังจะปริปากพูดนั้น ต้าซือมิ่งราชสำนักกลับหยิบกระจกบานหนึ่งขึ้นมาส่อง
เอ่อ… อินสวินอี้ปาดเหงื่อ ทันใดนั้นก็ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรดีอีกแล้ว
และต้าซือมิ่งราชสำนักที่กำลังส่องกระจกอยู่นั้น เขาก็พินิจพิเคราะห์หน้าตาของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้ารู้แต่แรกอยู่แล้วหรือว่าเขาหน้าตาเหมือนข้า”
อินสวินอี้รู้ดีว่านี่เป็นคำถามที่ตอบยากนัก เขารีบส่ายศีรษะและพูดอย่างรอบคอบว่า “ไม่ๆๆ ต้าซือมิ่งท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าหน้าตาคล้ายคลึงกัน แต่ก็มิได้มั่นใจ เพราะเด็กคนนั้นยังอ้วนท้วน หน้าตาก็… ก็ดูไม่ค่อยออกนัก…”
“โกหก” ต้าซือมิ่งมองอินสวินอี้ ฝ่ายหลังขาสั่นทันที!
แต่เพื่อรักษาชีวิตตนเองไว้ อินสวินอี้ยังคงพูดอย่างกล้าหาญว่า “เรียนต้าซือมิ่ง ข้าไม่มั่นใจจริงๆ ถึงอย่างไร… ถึงอย่างไรท่านก็เป็นถึงต้าซือมิ่งอันดับหนึ่งมิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงในต้าซย่า! ข้าจะบังอาจ… คิดเช่นนั้นได้อย่างไร”
“โกหก” ต้าซือมิ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น “สายตาแรกของเจ้าก็เชื่อมั่นว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว”
อินสวินอี้ “…”
ต้าซือมิ่งท่านนี้มิได้หลอกง่ายเหมือนองค์จักรพรรดิปัจจุบัน! ตอนนี้ทำอย่างไรดีเล่า แกล้งสลบยังทันหรือไม่นะ
แต่แล้วต้าซือมิ่งกลับพูดขึ้นว่า “ดังนั้นเขาคงเหมือนข้าจริงๆ เช่นนั้นสำหรับเจ้าแล้ว คิดว่าการเกิดมามีหน้าตาเหมือนกันโดยบังเอิญ มีความเป็นไปได้เท่าไร”
“…ศูนย์”