ตอนที่ 195 นางคือนางในฝันของเรา!
กู้หยวนซูชะงักเล็กน้อย นางเข้าใจได้หากจะ ‘เชิญ’ โยวตูอ๋องมา เพราะนางรู้ดีว่าโยวตูอ๋องเป็นกษัตริย์แห่งแว่นแคว้นองค์สุดท้ายที่ถือครองอำนาจแห่งต้าซย่า ท้ายที่สุดต้องถูกกำจัดอยู่ดี ทว่าคุณหนูใหญ่เยี่ยนท่านนั้น…
“เราได้ยินว่า นางอยู่โยวตู อย่าปล่อยให้นางอยู่ต่อ พามาพบเราพร้อมกัน” จักรพรรดิหยวนคังในบัดนี้ชักจะเริ่มอยากรู้แล้วว่าสตรีที่ถูกเฉาหมิงเฉินยืนยันว่างดงามกว่ากู้หยวนซูนั้น จะงดงามเพียงใด
ทว่ากู้หยวนซูย่อมคาดเดาความคิดของจักรพรรดิหยวนคังมิได้ นางในคราวนี้ก็มิได้คิดมาก ตอบเพียงว่า “เพคะ หม่อมฉันไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“อืม” จักรพรรดิหยวนคังพยักหน้าเล็กน้อย “พาเฉินคั่วไปด้วย หากโยวตูไม่ให้ความร่วมมือ เราอนุญาตให้เจ้าใช้กำลัง”
“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ” กู้หยวนซูคารวะก่อนจะถอยออกไปอย่างอ่อนช้อยงดงาม สำหรับจักรพรรดิหยวนคังแล้ว ท่าทีนางราวกับดอกโบตั๋นที่พลิ้วไหวตามสายลม ช่างงามยิ่งนัก ทำให้จักรพรรดิหยวนคังแสดงความอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด “ซูเอ๋อร์ ดูแลตนเองให้ดี เราให้ผู้พิทักษ์นายหนึ่งไปปกป้องเจ้า”
…กู้หยวนซูชะงัก ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างดีใจ ท่าทีนางยังคงอ่อนช้อยไร้ที่ติ “หม่อมฉันขอบพระทัยองค์จักรพรรดิที่ทรงดูแล”
“เจ้ารู้ว่าเราดูแลก็ดีแล้ว ไปเถิด” พระพักตร์ที่เคร่งขรึมของจักรพรรดิหยวนคังยากนักที่จะเผยรอยยิ้ม เมื่อเขายิ้มแล้วก็ให้ความรู้สึกราวกับหิมะน้ำแข็งกำลังละลาย
จักรพรรดิหยวนคังได้รับพันธุกรรมชั้นดีของตระกูลซย่าโหว เขาไม่เพียงมีท่าทีสง่างาม ใบหน้าของเขายังคมเข้ม อายุก็ยังหนุ่มยังแน่น เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มสง่างามมากความสามารถ
ทว่าในสายตาของกู้หยวนซูแล้วเขาย่อมสู้ต้าซือมิ่งราชสำนักผู้มีบุคลิกดี ท่าทีสง่าราวเทพสวรรค์มิได้! แน่นอนว่าในสายตาของคนทั่วไปหลังจากได้เห็นต้าซือมิ่งแล้ว จักรพรรดิหยวนคังก็… เทียบต้าซือมิ่งไม่ติดเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือความสามารถ
…
หลังจากที่กู้หยวนซูออกไปแล้ว จักรพรรดิหยวนคังที่ละสายตาออกจากหญิงงามแล้ว ดวงตาของเขาก็สุกสว่างราวกับคนที่ไม่ลุ่มหลงในความงาม “เรียกเฉาหมิงเฉินกลับมา เรามีเรื่องจะถามเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีในตำหนักก็รีบออกจากตำหนักและเชิญเฉาหมิงเฉินที่ยังไม่จากไปกลับมา ฝ่ายหลังยังทูลธุระในมือไม่หมด เขาจึงเพียงแค่ออกมารอหน้าตำหนักเท่านั้น
เมื่อเฉาหมิงเฉินกลับเข้าไปในตำหนัก จักรพรรดิหยวนคังก็กล่าวว่า “เราเห็นสีหน้าเมื่อครู่ของเจ้า คุณหนูใหญ่เยี่ยนท่านนั้นงดงามกว่าซูเอ๋อร์มากใช่หรือไม่”
“…” เฉาหมิงเฉินชะงัก เขาไม่คิดว่าเมื่อครู่นี้ฝ่าบาทยังมีพระทัยมาสนใจเขา เขาคิดว่าความสนใจทั้งหมดของฝ่าบาทจะถูกเซ่าซือมิ่งกู้ดึงดูดไปหมดแล้วเสียอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉาหมิงเฉินจึงรีบผงกศีรษะกล่าวว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ! งดงามกว่ามาก! กระหม่อมถึงกับมิสามารถบรรยายความงามของคุณหนูใหญ่เยี่ยนได้ เพราะกระหม่อมคิดว่า ประโยคที่ว่ามัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา เพียงพอต่อการบรรยายความงามของเซ่าซือมิ่งกู้เท่านั้น มิสามารถบรรยายความงามของคุณหนูใหญ่เยี่ยนได้เลย”
“เช่นนั้นรึ” นัยน์ตาจักพรรดิหยวนคังลุกวาวเล็กน้อย “เจ้าวาดสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมวาดได้ แต่ว่ากระหม่อมคิดว่าถึงแม้ฝีมือการวาดของกระหม่อมจะสูงส่งเพียงใดก็มิสามารถถ่ายทอดความงามของคุณหนูใหญ่เยี่ยนออกมาได้ทั้งหมด อย่างมากที่สุดก็แค่ครึ่งหนึ่งของความงามของนาง หรือบางทีอาจจะเพียงแค่สองหรือสามส่วนเท่านั้น”
เมื่อพูดถึงเยี่ยนอวี๋ เฉาหมิงเฉินก็มิอาจสงบอารมณ์ลงได้ ถึงแม้เขาจะถูกปฏิบัติไม่ดีเมื่อครั้นอยู่สำนักชางอู๋ แต่เขาก็มิอาจโกรธเกลียดยอดหญิงงามเช่นนั้นลงได้
งดงาม! ช่างงดงามจริงๆ!
เฉาหมิงเฉินจินตนาการถึงความงามของเยี่ยนอวี๋พลางกางกระดาษวาดรูปออกอย่างร้อนรนโดยไม่สนใจมารยาทในตำหนักเป็นครั้งแรก เขาลงไปนอนวาดบนพื้นทันที
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิหยวนคังได้เห็นเฉาหมิงเฉินมีท่าทางเสียการควบคุมเช่นนี้ ทว่าเขาที่อยากเห็นความงามของเยี่ยนอวี๋เป็นอย่างมากนั้นก็มิได้ตำหนิแต่อย่างใด
เฉาหมิงเฉินทุ่มสมาธิทั้งหมดไปที่การวาดเยี่ยนอวี๋ออกมาจนแทบจะลืมเวลานั้น บัดนี้ก็ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว ในระหว่างนั้นจักรพรรดิหยวนคังยังเสวยกระยาหารไปแล้วด้วย
จักรพรรดิหยวนคังที่เตรียมตัวไปงีบ เมื่อพระองค์ก้าวเท้าลงจากบัลลังก์ก็เดินไปข้างกายเฉาหมิงเฉิน ทว่าฝ่ายหลังไม่รับรู้อะไรเลย เขายังคงหมกมุ่นอยู่กับความงามวิไลของเยี่ยนอวี๋อย่างไม่อาจถอนตัวได้
จักรพรรดิหยวนคังที่แต่เดิมมีสีหน้าปกตินั้น เมื่อเขาเห็นรูปวาดที่เฉาหมิงเฉินจวนจะวาดเสร็จแล้วก็ตกตะลึงไปในทันที! นัยน์ตาของเขายังเปล่งประกายแสงเจิดจรัส “คือนาง!”
จักรพรรดิหยวนคังสีพระพักตร์เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เขาผลักเฉาหมิงเฉินที่กำลังหมกมุ่นกับการวาดออก และถือรูปวาดที่ยังไม่เรียบร้อยขึ้นมากางต่อตาตนเองอย่างระมัดระวัง “คือนางจริงๆ ด้วย!”
ตอนที่ 196 เทพธิดาเยี่ยน ผู้หญิงของข้า!
“ฝ่าบาท?”
เฉาหมิงเฉิงที่ถูกสะกิดให้ตื่นถึงได้รู้ว่าตนเสียกิริยามากเพียงใด ทว่าเขาในตอนนี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือการเสียกิริยาของหยวนคังฮ่องเต้!
“นาง! นางจริงๆ…” หยวนคังฮ่องเต้เอ่ยพึมพำเสียงเบาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าพระองค์หายใจถี่กระชั้นขึ้น นัยน์ตาค่อยๆ ลุกเป็นไฟ “นี่คือเทพธิดาที่ข้าฝันเห็น!”
“อย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉาหมิงเฉิงตกตะลึง
ในฐานะที่เป็นขันทีคัดเลือกหญิงงาม เฉาหมิงเฉิงทราบดีว่าที่หยวนคังฮ่องเต้ได้ขยายการคัดเลือกหญิงงามให้กว้างขึ้นก็เพราะพระองค์เคยฝันถึงเทพธิดาผู้งดงาม งามแท้ งามจรัส งามอย่างหาที่เปรียบมิได้ท่านหนึ่ง
ทว่าตามที่หยวนตังฮ่องเต้พรรณนามานั้น เทพธิดาท่านนั้นถูกปกคลุมด้วยแสงสีสันสวยงาม เขาเพียงแค่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนางอย่างเลือนรางเท่านั้น มิสามารถพรรณนาถึงโฉมหน้าของนางได้อย่างชัดเจน
บัดนี้…
“เป็นคุณหนูใหญ่เยี่ยนเองหรอกหรือ” เฉาหมิงเฉิงเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ ทว่าก็รู้สึกสมเหตุสมผล สมเหตุสมผลน่ะ! นอกจากหญิงงามเช่นนี้แล้ว ใครหน้าไหนจะคู่ควรกับคำว่างามแท้ได้อีก
มีคุณหนูใหญ่เยี่ยนผู้เป็นดั่งหยกไข่มุกอยู่ตรงหน้า หญิงงามที่เหลือก็เป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง! ไม่คู่ควรเลยจริงๆ มิน่าฝ่าบาทถึงได้มิอาจลืมได้ลง
“ข้าจะเชิญนางเข้าวัง!” หยวนคังฮ่องเต้มีความรู้สึกว่าสูญเสียบางอย่างไปย่อมได้บางอย่างกลับคืน ราวกับเป็นที่รักของสวรรค์ “ทหาร ไปที่ตำหนักซือมิ่งแล้วบัญชาให้เซ่าซือมิ่งกู้นำตัวนางออกเดินทางทันที! ให้นางเรียกใช้ค่ายกลเคลื่อนเวหาโดยตรง
“พ่ะ…พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ขันทีเหอซงรู้ดีว่าในใจของหยวนคังฮ่องเต้ เทพธิดาท่านนี้สำคัญมากเพียงใด! เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าในใต้หล้านี้จะมีความงามอันน่าทึ่งเพียงนี้! น่าทึ่งจริงๆ
ทว่าเฉาหมิงเฉิงที่สงบลงแล้ว อดกล่าวตักเตือนมิได้ “ฝ่าบาท สิ่งเดียวที่คุณหนูใหญ่เยี่ยนมีคุณสมบัติไม่พร้อมคือนางมีบุตรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้” หยวนคังฮ่องเต้ที่ขมวดพระขนงม้วนภาพวาดเก็บด้วยความไม่พอใจและหวงแหน พร้อมกับกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นบุตรชายของชีหลางแห่งตระกูลกู้นั่นก็ส่งตัวเด็กไปให้เขาซะ ทว่าเรื่องนี้ต้องจบเพียงเท่านี้ ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องเหลวไหลนี้อีก”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้” เฉาหมิงเฉิงเข้าใจในความหมายของหยวนคังฮ่องเต้ จึงได้ลงไปจัดการด้วยตนเอง
หลังจากนั้น หยวนคังฮ่องเต้ที่กลับมาถึงห้องก็เปิดดูภาพวาดของเยี่ยนอวี๋อีกครั้ง และจ้องมองเป็นเวลานาน “คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะจุติมาบนโลกมนุษย์”
…
ณ ตำหนักซือมิ่ง
กู้หยวนซูที่ได้รับพระบัญชาตะลึงอีกครั้ง “ท่านหัวหน้าขันทีเหอทราบหรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้เร่งรีบถึงเพียงนี้”
เหอซงผู้ที่รู้อยู่แก่ใจทุกอย่างไม่สามารถบอกได้อย่างแน่นอน เขาบอกได้เพียงว่า “ท่านเองก็รู้ว่าฝ่าบาทรอวันนี้มานานเพียงใด กษัตริย์เมืองโยวตูก็เจ้าเล่ห์นัก ฝ่าบาทเองคงกลัวว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปในสักวันกระมัง แน่นอน! ความคิดอันศักดิ์สิทธิ์ของฝ่าบาทนั้นคาดเดายาก ข้าน้อยก็เพียงแค่คาดเดาไปมั่วซั่วเท่านั้น”
กู้หยวนซูที่เห็นว่าไม่ได้คำตอบอะไรจึงทำได้เพียงกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านหัวหน้าเหอที่ตักเตือน และต้องลำบากท่านไปทูลต่อฝ่าบาททีว่าหยวนซูจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแน่นอน”
“เซ่าซือมิ่งเกรงใจแล้ว เช่นนั้นข้าน้อยจะกลับไปทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้ ขอให้เซ่าซือมิ่งเดินทางปลอดภัย” หลังจากที่เหอซงกล่าวอำลาเสร็จก็รีบกลับไปยังราชสำนักเพื่อทูลฝ่าบาท
กู้หยวนซูมองดูผู้พิทักษ์แห่งราชสำนักสองคนที่ไม่ยิ้มแย้มก็รู้เลยว่าที่หยวนคังฮ่องเต้ส่งคนมานั้นแสดงว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก นางจึงได้สั่งให้หนึ่งในสองผู้พิทักษ์ไปเชิญเฉิงคั่วมา
ในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารม้าแล้วนั้น เขาสามารถไปเลือกทหารที่ค่ายซีซานโดยตรง ตามพระบัญชาของหยวนคังฮ่องเต้ แม้กองทัพที่ตามไปด้วยในครั้งนี้จะมีเพียงสามพันนายก็ตาม แต่กลับเป็นทหารชั้นยอดในบรรดาชั้นยอด!
ค่ายกลเคลื่อนเวหาที่ถูกสร้างโดยความร่วมมือของนักสร้างค่ายกลและผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์แห่งราชสำนักสามารถส่งทหารชั้นยอดทั้งสามพันนายไปยังเขตเมืองโยวตูได้ในคราวเดียว ทว่าตำแหน่งไม่แน่ชัด ซึ่งช่วยให้เมืองหลวงสามารถควบคุม (โจมตีกะทันหัน) เมืองโยวตูได้
ทว่าแม้นกลยุทธ์ของเมืองหลวงจะยอดเยี่ยมนัก แต่ทว่าวิธีการสืบสวนของเมืองโยวตูเองก็ไม่ด้อยไปกว่าเช่นกัน คาดว่าในขณะเดียวกันที่ค่ายกลของเมืองหลวงเคลื่อนไหว อินสวินอี้ก็ได้รับรายงานเร่งด่วนแล้ว “ท่านอ๋อง! ผู้อาวุโสในเผ่าสัมผัสได้ว่ามีการเคลื่อนไหวค่ายกลอันแข็งแกร่งจากเมืองหลวงขอรับ”
“เร็วเพียงนี้เชียวหรือ!” อินสวินอี้สีหน้าจริงจัง “ดูท่าแล้วคงจะรอไม่ไหวแล้วสิท่า”
เยี่ยนจื่อเสาที่ได้ยินอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะถาม “บางทีอาจแค่มาถามเรื่องอุทกภัยในเมืองโยวตูเท่านั้น?”
“หากเป็นเพียงแค่ผู้ส่งสาร เหตุใดจึงต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนเวหาอันแข็งแกร่งด้วย เพียงแค่ค่ายกลเคลื่อนเวหาเล็กๆ ก็เป็นพอ” เม่ยเอ๋อร์ทำลายความคิดของเยี่ยนจื่อเสาพร้อมเสนอแนะ “ดูแล้วอีกฝ่ายคงไม่ได้มาดีแน่ ท่านอ๋องแห่งเมืองโยวตูจะหลบหน่อยหรือไม่”
“หลบอย่างนั้นรึ” อินสวินอี้ยิ้มเย็น “ไม่มีประโยชน์หรอก”
“รอคุณหนูใหญ่ครู่หนึ่ง บางทีคุณหนูใหญ่อาจจะยอมช่วยท่านก็ได้” เม่ยเอ๋อร์เชื่อใจในตัวคุณหนูใหญ่ของนางเสมอและติดตามรับใช้อย่างไม่เคยกังขาใดๆ
อินสวินอี้กลับส่ายศีรษะกล่าวว่า “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนช่วยเมืองโยวตูข้ามามากแล้ว เรื่องนี้จะให้ปราชญ์มหาสำนักเข้ามาเกี่ยวพันได้อย่างไร ข้าขอบใจในประสงค์ดีของแม่นางด้วย ข้าเองก็ไม่ใช่พวกที่จะยอมถูกจับง่ายๆ พื้นที่ตรงนี้คงต้องขอให้พวกเจ้าทั้งสองช่วยดูแล้ว ข้าจะไปสั่งสอนเจ้าพวกนั้นเอง”
“ท่านอ๋องระวังตัวด้วย” เยี่ยนจื่อเสาพูดได้เพียงเท่านี้
อินสวินอี้โบกมือแล้วหายไป คนของเขาตรวจพบตำแหน่งคร่าวๆ ของราชสำนักผู้มาเยือนแล้ว เขาจะไปต้อนรับด้วยตัวเอง! แบบนี้ถึงจะควรค่าแก่การเอาใจใส่ของราชสำนัก
ทว่าเท้าหน้าของเขาเพิ่งจะก้าวออกไป…
ลำแสงสีม่วงระยิบระยับหลายชั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสูงจากใต้แม่น้ำเย่ว์หมิง พวกมันส่องประกายบนท้องฟ้าประดุจดวงดาวในยามเที่ยงวัน! สดใสราวกับไข่มุก
“ต้าซือมิ่ง?”