“เหมือนกับว่าข้าจะได้ยินเสียงของคุณหนูใหญ่?”
เอ้อร์เหมาสูดหายใจเฮือกใหญ่ เขาคิดว่าตนเองคงหูแว่วไปเอง เพราะถึงแม้เสียงนั้นจะเหมือนเสียงของคุณหนูใหญ่เยี่ยนมากก็ตาม แต่ก็เลือนรางเหลือเกิน
ทว่าเยี่ยนจื่อเสาและคนอื่นๆ ที่ได้ยินเสียงของเยี่ยนอวี๋ที่ดังมาแต่ไกล สีหน้าพวกเขาพลันเปลี่ยน “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มีอันตราย!”
“ข้าไปเอง!” เม่ยเอ๋อร์ออกตัวจะไปทันที
อินสวินอี้รีบเข้ามาห้าม “อย่าเลย! แม่นางท่านนี้ คุณหนูใหญ่ของเจ้าให้เจ้าเฝ้าที่นี่”
เม่ยเอ๋อร์ที่ถูกห้ามปราม นางก็ทำได้เพียงถลึงตามองอินสวินอี้
อินสวินอี้ “…”
เพื่อสร้างโอกาสให้ต้าซือมิ่งและเยี่ยนอวี๋ เขาพยายามอย่างเต็มที่แล้ว! แต่ต้าซือมิ่งเป็นอะไรของเขา อยู่ด้วยกันสองคนนานเช่นนี้แล้วยังจัดการปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนไม่ได้หรือ มิหนำซ้ำยังทำให้ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนโมโหอีก
‘ไม่รู้จริงๆ ว่าต้าซือมิ่งท่านนี้ได้สาวงามเช่นปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนมาได้อย่างไร ไร้คารมโดยสิ้นเชิง’อินสวินอี้แอบแขวะเขาในใจ ‘คงใช้หน้าตาอย่างเดียวสินะ’
ในขณะที่อินสวินอี้แขวะเขาในใจ อินหลิวเฟิงกลับปรากฏตัวข้างกายท่านพ่อของเขาอย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว เขากระซิบถามว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้อะไรมาหรือเปล่า”
อินสวินอี้ระวังตัวขึ้นมาทันที เขามองบุตรชายด้วยสายตาเย็นชา “อย่าคิดมาหลอกถามข้า อยู่นิ่งๆ! ไปยืนตรงโน้น”
“อ้าว! ท่านพ่อรู้อะไรจริงๆ ด้วย ท่านรีบบอกข้าสิ เรื่องอะไรกันแน่ เหตุใดเสี่ยวเป่าเรียกต้าซือมิ่งว่า ‘พ่อ’ ต้าซือมิ่งคงไม่ใช่พ่อของเสี่ยวเป่าจริงๆ หรอกนะ!” อินหลิวเฟิงอยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านเต็มทน เขามองท่านพ่อของเขาตาปริบๆ
“แค่ก เจ้าพูดเสียงดังไปแล้ว” อินสวินอี้กระทุ้งบุตรชายทีหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขารู้ว่าคนทั้งค่ายมองมาหมดแล้ว รวมถึงสาวใช้ท่านนั้นของปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน และกู้หยวนซูที่ถูกสาวใช้กุมตัวอยู่
“อ้อๆๆ…” อินหลิวเฟิงมือแตะศีรษะ เขาไม่ได้บอกว่าอันที่จริงเขาจงใจทำ!
ถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อินหลิวเฟิงก็นึกถึงความจริงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาค่อยๆ ค้นพบว่าอันที่จริงเสี่ยวเป่าหน้าตาเหมือนต้าซือมิ่งมาก! ก่อนหน้านี้เขาคงตาบอดเองที่ไม่รู้ตัวเลย! ช่าง…
แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ เขาจะกล้าคิดไปถึงต้าซือมิ่งได้อย่างไร! พูดตามตรงแต่เดิมเขายังคิดว่าท่านพ่อของเสี่ยวเป่าคือกู้หยวนเหิง เจ้าสุนัขบัดซบนั่น
และเขารู้ว่าต้องลบความคิดในตอนนี้ทิ้งทันที มิเช่นนั้นต้องถูกต้าซือมิ่งฆ่าทิ้งไม่ช้าก็เร็วแน่
ทว่าจะว่าไปแล้ว… นี่ก็เท่ากับว่าเขาไม่มีความหวังแล้วสินะ!
“…”
อินหลิวเฟิงพลันแสดงสีหน้าเศร้าเสียใจ เขารู้ว่าเขาคงไม่มีทางสมหวังแล้ว เขาแต่งงานกับกูไหน่ไนไม่ได้แล้ว เพราะว่าท่านพ่อโดยแท้ของเสี่ยวเป่าคนนี้รับมือยากเกินไป! หากเป็นผู้อื่น อินหลิวเฟิงยังมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดดีไปกว่าเขา! แต่หากเป็นต้าซือมิ่งแล้ว…
“เจ้าเด็กบ้า คิดอะไรของเจ้าอยู่”
“คุยกันแล้วมิใช่หรือว่าโตขึ้นห้ามเรียกข้าว่าเจ้าเด็กบ้าอีก!”
“ก็ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้ามีความคิดบ้าๆ อยู่ ก็เลยต้องเรียกเตือนสติ”
ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรชายดีไปกว่าบิดา เพียงแค่หางของอินหลิวเฟิงกระดิก อินสวินอี้ก็รู้ว่าลูกตนเองกำลังคิดอะไร เขาจึงต้องสาดน้ำเย็นปลุกเขาให้ตื่น “เจ้าอยู่เฉยๆ เถอะ ท่านนั้นน่ะอย่าไปหาเรื่องเลย”
“…ก็ต้องดูว่ากูไหน่ไนยินยอมหรือไม่” อินสวินอี้พึมพำพลางลูบหน้าอก เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าความขุ่นเคืองอันรุนแรงที่เกิดขึ้นในใจคืออะไรกันแน่
“เจ้าว่าไงนะ” อินสวินอี้แสดงสีหน้าเคร่งขรึม
อินหลิวเฟิงนวดกลางอกเบาๆ “รู้แล้วขอรับ!”
ทว่าเสียงของกู้หยวนซูก็ดังขึ้นว่า “ต้าซือมิ่งเป็นผู้มีพลังสวรรค์ประทาน ท่านไม่สมรสชั่วชีวิต สืบชะตาพิทักษ์แดนมนุษย์ ด้วยกายอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ปกป้องต้าซย่าให้เจริญรุ่งเรือง ไฉนจึงต้องมลทิน”
“ใช่แล้ว!” เมื่อเฉินฉุนเฟิงได้ยินเสียงพูดของอินหลิวเฟิง เขาก็พูดปกป้องว่า “ต้าซือมิ่งเป็นเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มิอาจล่วงเกินได้!”
อินสวินอี้ “…”
นั่นเป็นเพราะเจ้าตาบอด! ไม่เห็นว่าทารกน้อยนั่นหน้าตาเหมือนต้าซือมิ่งราวกับแกะ
ยังบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์? บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จะมีทายาทเช่นนี้ได้หรือ แม้กระทั่งพ่อก็เรียกแล้ว
จะว่าไปแล้ว ทารกน้อยนั่นเรียก ‘พ่อ’ ได้ตั้งแต่ยังอายุน้อยเช่นนี้ ก็ไม่น่าแปลกที่เป็นลูกของต้าซือมิ่ง
คิดถึงลูกชายโง่เขลาคนนี้ในตอนนั้น ต้องรอให้ถึงอายุหนึ่งขวบกว่าจะเรียกพ่อได้เชียวนะ…
“เฮ้อ” อินสวินอี้รู้สึกอึดอัด เขาจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะมองบุตรชายโดยแท้ของตนและไล่เขาไปด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ดึกเช่นนี้แล้ว ยังไม่ไสหัวไปอาบน้ำแล้วเข้านอนอีก พรุ่งนี้มีเรื่องให้วุ่นวายอีกมาก”
“คืนนี้ไม่ต้องวุ่นวายแล้วหรือ” อินหลิวเฟิงถามกลับ
“แค่ก!” อินสวินอี้มองฟ้า คิดในใจว่าเว้นเสียว่าต้าซือมิ่งท่านนั้นไม่สำเร็จ มิเช่นนี้คืนนี้คงมิต้องอยู่เฝ้าแล้ว สำนักจวินจื่อก็ต้องการเวลาอยู่พอดี
ทว่าสิ่งที่อินสวินอี้ไม่รู้คือ ปีศาจระกาเก้าเศียรในอนุสติของกู้หยวนซูกำลังฟื้นตัวอย่างเต็มที่!
‘ข้าต้องการยาคืนชีพ’ ปีศาจระกาเก้าเศียรที่ฟื้นตัวถึงช่วงสำคัญ บัดนี้กำลังส่งกระแสจิตให้กู้หยวนซู ครั้นฝ่ายหลังกำลังจะทานยา นางกลับขยับตัวมิได้
‘เร็วเข้า!’ ปีศาจระกาเก้าเศียรเร่งเร้า มันจำเป็นต้องฟื้นตัวให้เร็วที่สุด เพื่อถือโอกาสทำลายผนึกที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำแม่น้ำเย่ว์หมิงก่อนที่ต้าซือมิ่งจะกลับมา มิเช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
กู้หยวนซูรับรู้ได้ถึงความเร่งรีบของท่านปราชญ์ นางรีบตะโกนขึ้นว่า “นัง… สาวใช้! รีบปล่อยข้า ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก ข้าต้องทานยา”
เสียงตะโกนดังลั่นทำให้ผู้คนในค่ายไม่น้อยตื่นตระหนก โดยเฉพาะคนของราชสำนัก แต่เดิมพวกเขาก็คอยเฝ้าสังเกตนางอยู่แล้ว ถึงอย่างไรฝ่ายหลังก็เป็นข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ในศึกครั้งนี้ แม้แต่เฉิงคั่วก็ต้องฟังนาง ทุกคนย่อมต้องใส่ใจในความปลอดภัยของนาง
ดังนั้นเมื่อพวกเขาพบว่าเม่ยเอ๋อร์ยังคงนิ่งไม่ขยับต่างก็เร่งเร้าขึ้นว่า “นี่! สาวใช้คนนั้นน่ะ เจ้ารีบปล่อยเซ่าซือมิ่งกู้สิ หากนางเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหว”
เม่ยเอ๋อร์ยังคงนิ่ง
“แม่นาง พูดตามตรง เซ่าซือมิ่งกู้เป็นข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ หากแม่นางเจ้าทำให้นางเป็นอะไรขึ้นมา เกรงว่าคุณหนูใหญ่ของเจ้าจะถูกฟ้องร้องได้” เฉิงคั่วพยายามพูดด้วยเหตุผล
เม่ยเอ๋อร์ยังคงนิ่งไม่ไหวติง
ทว่า…
“เจ้า…”
“ฮึก ฮึก…”
จู่ๆ กู้หยวนซูก็ชักจนราวกับจะสลบไป สีหน้าของนางซีดเผือด ลำตัวสั่นระริก “จะ… เจ้าไม่รีบปะ… ปล่อยข้า… ฮึก…”
“ให้ตายเถอะ!” คนของสำนักเหยาไถเซียนนั่งไม่ติดแล้ว
แต่แล้วเม่ยเอ๋อร์กลับยกมือจับข้อมือของกู้หยวนซูไว้ก่อนะจะยิ้มเย็นชาพูดว่า “หึ เล่นละครก็เล่นให้มันสมจริงหน่อย เจ้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย มาแกล้งทำเป็นป่วยกับข้ารึ”
“…เจ้า!” กู้หยวนซูเบิกตาโพลงพลางหายใจหอบ นางไม่ได้แกล้งจริงๆ! อารามรีบร้อนปีศาจระกาเก้าเศียรจึงกำลังดูดพลังวิญญาณของนางไป
ทว่าความเสียหายในระดับจิตวิญญาณนี้ แม้แต่นักฝึกฌานชั้นยอดก็มิอาจมองเห็นได้ ดังนั้นสำหรับผู้คนที่อยู่รายรอบแล้ว กู้หยวนซูก็ดูเหมือนกับว่ากำลังแกล้งป่วยอยู่จริงๆ
ส่วนเอ้อร์เหมาก็จุ๊ปาก เขารู้สึกว่า “แกล้งทำซะเหมือนเชียว พลังลมปราณอ่อนลงได้เช่นนี้”
เยี่ยนจื่อเสาที่เหมือนจะพบความผิดปกติ เขาก็ใช้สายตาถามเม่ยเอ๋อร์ “ไม่เป็นอะไรมากหรือ จะไม่ตายใช่หรือไม่”
เม่ยเอ๋อร์พยักหน้าไม่พูดอะไร เยี่ยนจื่อเสาจึงวางใจลง
จากนั้นไม่ว่ากู้หยวนซูจะชักดิ้นชักงออย่างไร เม่ยเอ๋อร์ก็ไม่ยอมปล่อยนาง ทำเอาคนของเหยาไถเซียนตระหนกจนลุกขึ้นยืน แต่กองกำลังโยวตูก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ พวกเขาต่างออกจากค่าย ปรากฏตัวต่อหน้าแล้ว!
“โยวตูอ๋อง! ท่านไม่ห้ามปรามนางหน่อยหรือ ต้องการเปิดศึกจริงๆ หรือ” เฉิงคั่วไม่อยากเปิดศึกตอนนี้จริงๆ ในเมื่อต้าซือมิ่งยังไม่กลับมา และหากสู้กันจริงๆ ก็คงช่วยเซ่าซือมิ่งกู้ไม่ได้แล้ว
“ท่านแม่ทัพเฉินมิต้องกังวล ข้าจะไปเชิญนักบวชมาดูอาการเซ่าซือมิ่งกู้เดี๋ยวนี้” อินสวินอี้ให้นักบวชอาวุโสโยวตูตรวจชีพจรให้อย่างมีน้ำใจ
เฉิงคั่วรับน้ำใจไว้ เขารีบสงบอารมณ์ของคนเหยาไถเซียนที่กำลังกระสับกระส่ายลงทันที คนเหยาไถเซียนเหล่านี้ก็รู้ดีว่า ในเมื่อ ‘ตัวประกัน’ อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม หากสู้รบกันจริงๆ มีแต่จะเสียเปรียบ
กู้หยวนซูในบัดนี้สลบไปแล้ว ดูเหมือนว่าสภาพจะเลวร้ายมาก ทว่านักบวชอาวุโสโยวตูท่านนั้นก็ป้อนยาเม็ดหนึ่งให้นางทานแล้ว
“หึ!” เม่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยพอใจนัก แต่นางก็ไม่ได้ขัดขวาง นางรู้ว่ายาที่นักบวชอาวุโสท่านนี้ป้อนให้เป็นเพียงยาบำรุงวิญญาณทั่วไป ไม่ได้ทำให้กู้หยวนซูหายดีแต่อย่างใด
ใช่แล้ว เม่ยเอ๋อร์ย่อมดูออกว่าวิญญาณของกู้หยวนซูถูกทำร้ายอย่างสาหัส แล้วจะทำอย่างไรได้เล่า ถึงอย่างไรเม่ยเอ๋อร์ก็คิดว่านางข่มใจไม่ลงมือก็ถือว่าอดทนมากแล้ว เพียงแต่ว่า…
“เหตุใดคุณหนูใหญ่ยังไม่กลับมานะ” เม่ยเอ๋อร์ร้อนรน นางเริ่มฉุนเฉียว
ส่วนเยี่ยนอวี๋ นางก็กำลังพบปัญหาบางอย่างเข้า นางหลงทางอยู่ในค่ายกลที่ต้าซือมิ่งกางไว้ในกระท่อม นางยังหาทางออกไม่เจอ!
“ให้ตายเถอะ!” เยี่ยนอวี๋พยายามสงบสติอารมณ์ เพื่อทำลายค่ายกลอย่างใจเย็น
ในขณะเดียวกัน…
ต้าซือมิ่งเองก็เหมือนกับว่าจะพบอุปสรรคเข้าแล้ว!?
เลือดสองหยดที่เขากำลังปฏิบัติการอยู่นั้น ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร พวกมันก็เหมือนกับว่าจะเข้ากันไม่ได้?
สิ่งนี้ทำให้ต้าซือมิ่งที่พยายามมาเป็นเวลาพักใหญ่แล้วแสดงสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นไปได้อย่างไร”