กู้หยวนซูเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
อินหลิวเฟิงก็คัดค้านทันที “กูไหน่ไน หากเจ้าจะพาใครไป คนนั้นก็ควรเป็นข้า เหตุใดจึงพานางไปเล่า!?”
“เจ้า เอ้อร์เหมา จวินฮวน นายท่านจวิน ศิษย์พี่รองและเม่ยเอ๋อร์ ทุกคนไปพร้อมข้า” เยี่ยนอวี๋คิดไว้อยู่แล้วว่าจะพาวิหคทมิฬน้อยตัวนี้ไปด้วย
เมื่ออินหลิวเฟิงครุ่นคิดแล้ว พบว่าเพียงแค่พลังของท่านลุงและยังมีพวกเขาช่วยกันสอดส่องย่อมต้องสามารถคุมกู้หยวนซูไว้ได้ เขาจึงมิได้ปฏิเสธ “เช่นนั้นลงไปตอนนี้เลยหรือไม่”
“อืม พกยันต์ติดตัวไว้ให้ดี มันสามารถปกป้องพวกเจ้าจากการถูกวิญญาณชั่วร้ายสิงร่างได้” เมื่อเยี่ยนอวี๋กำชับเสร็จ นางก็เดินไปทางตาค่ายกล รอบตัวแผ่ซ่านคลื่นที่มิอาจคาดเดาได้
“จริงๆ ด้วย!” ปีศาจระกาเก้าเศียรตื่นเต้น
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนอวี๋ก็นั่งขัดสมาธิลงข้างหน้าตาค่ายกลแล้ว กลิ่นอายของผนึกหยวนชูทั้งมวลถูกดึงออกมาด้วยพลังจิตใจ แสงลึกลับสีม่วงค่อยๆ สว่างขึ้น
ผ่านไปเพียงไม่นาน ผนึกแดนมืดของวิญญาณอสูรที่ถูก ‘ปลุก’ ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นลวดลายคล้ายภาพเฟิงสุ่ย จวินฮวนที่กำลังตั้งใจดูนั้นรู้สึกได้เปิดโลกทัศน์ให้ตนเองมาก “ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเล!”
“ตราผนึกอันเป็นเอกลักษณ์ของตำหนักไท่ชาง ว่ากันว่าภาพมหาทวีปของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ลวดลายแต่ละเส้นหมายถึงสายวารีและเทือกขุนเขาที่ไม่ธรรมดา มันซ่อนความลึกลับของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไว้ และมีพลังทำลายล้างเผ่ามารอย่างมหาศาลและมั่นคง”
เมื่อจวินอั้นหยวนพูดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาเพิ่งได้สัมผัสการดำรงอยู่ของตำนานระดับนี้อย่างแท้จริงในวันนี้เอง
“คงเก่งกาจมากเลย เหตุใดข้าน้อยจึงไม่รู้จัก…”
“บอกให้เจ้าอ่านหนังสือให้มาก พูดให้น้อยไง! เจ้าไม่ยอมเชื่อ!” ในที่สุดอินหลิวเฟิงก็ได้เรียกคืนความยำเกรงของเจ้านายกลับมา “นี่เป็นบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดในหนังสือโบราณขุนเขาและท้องทะเล”
“ขอรับ” เอ้อร์เหมาดูเหมือจะเข้าใจ แต่เขาก็มิได้สนใจอะไร
กู้หยวนซูกลับมองเยี่ยนอวี๋อย่างหวาดกลัว “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนช่างชาญฉลาด ทำให้ต้าซือมิ่งถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับเช่นนี้ได้”
“พูดราวกับว่าเจ้าเคยเห็นต้าซือมิ่งถ่ายทอดวิชาอย่างไรอย่างนั้น” อินหลิวเฟิงกลอกตา เขารู้ดีที่สุดว่ากูไหน่ไนเป็นผู้สืบทอดปฐมราชินีหยวนชู มิจำเป็นต้องให้ต้าซือมิ่งถ่ายทอดวิชาให้
ทว่ากู้หยวนซูที่มั่นใจว่าเป็นเช่นนั้นก็กล่าวอย่างดูแคลนว่า “นายท่านน้อยอินแค่ถูกความงามบังตา”
“เซ่าซือมิ่งท่านนี้ เกรงว่าเจ้าคงเสียสติแล้ว คุณหนูใหญ่รูปโฉมงาม เจ้าก็หาว่านางใช้วิธีมิงามเพื่อให้ได้มาซึ่งความสามารถ พอผู้อื่นไม่เห็นด้วยกับเจ้า เจ้าก็หาว่าเป็นคนถูกความงามบังตา เหตุใดเจ้าจึงเพ้อเจ้อเก่งเช่นนี้ อยากไปสวรรค์หรืออย่างไร!” เอ้อร์เหมาทนไม่ไหว
“เจ้า…” กู้หยวนซูปริปาก
เม่ยเอ๋อร์กลับพูดขึ้นว่า “เอ้อร์เหมา ข้าเพิ่มน่องไก่ให้”
“ขอบคุณพี่เม่ยเอ๋อร์ขอรับ” เอ้อร์เหมาดีใจใหญ่ คิดว่าตนเองกำลังทำคะแนนให้นายท่านน้อย
กู้หยวนซูพ่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ “งูหนูรังเดียวกัน”
“จิ๊ด!” ลูกหนูน้อยไม่พอใจ มันไม่เคยอยู่รังเดียวกับงู! มันจึงพุ่งเข้าไปที่กู้หยวนซูทันที ทำเอาฝ่ายหลังร้องกรี๊ดเพราะไม่ทันตั้งตัว เสียงกรีดร้องราวกับเสียงไก่ขัน…
“เอ่อ” อินหลิวเฟิงรู้สึกแสบแก้วหู
กู้หยวนซูเองก็ตกใจ เพราะนางไม่รู้ว่าเสียงร้องที่เปล่งออกมาเป็นเสียงของปีศาจระกาเก้าเศียร มันตกใจอีกแล้ว!
“ที่แท้พลังสังหารบนร่างของสตรีนางนี้มาจากอสูรตัวน้อยตัวนี้เองรึ!?” ปีศาจระกาเก้าเศียรประหลาดใจนัก ถึงแม้ลูกหนูน้อยตัวนั้นจะแค่พุ่งเข้าใส่ แต่มันกลับสัมผัสถึงกลิ่นอายพิสดารที่ไม่คุ้นเคยและน่ากลัวมาก
ส่วนลูกหนูน้อยตัวนั้น เมื่อมันกระโดดกลับไปที่เม่ยเอ๋อร์ มันก็จ้องกู้หยวนซูด้วยดวงตาสีแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่ามันเองก็สัมผัสถึงกลิ่นอายของปีศาจระกาตัวนั้นแล้ว
มันเป็นสัญชาติญาณของเหล่าอสูร…
วิ้ง!
ภาพผนึกภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลที่จู่ๆ ก็สั่นไหว มันแผ่ซ่านกลิ่นอายเก่าแก่และไพศาล ช่องว่างขนาดเท่าคนก็ทำให้ตำแหน่งตาค่ายกลแยกออกเพราะคลื่นสะเทือนนี้
“…”
กลิ่นอายอันคลุมเครือและลึกลับค่อยๆ ไหลออกมาจากตาค่ายกล มันเป็นกลุ่มหมอกสีดำอันชั่วร้ายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวาจนขนลุกขนชัน
“เปิดแล้ว!” อินหลิวเฟิงและคนอื่นๆ รีบตั้งสติ คอยมองรอยแยกนั้นอย่างระแวดระวัง พวกเขารู้สึกว่ารอยแยกนั้นเป็นประตูสู่โลกอีกใบ โลกที่มืดมนและลึกลับ ทำให้คนมองรู้สึกทึ่ง
จวินอั้นหยวนปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่รุนแรงกว่าเดิมออกมาด้วยสัญชาติญาณ “ระวัง!”
ในขณะเดียวกัน บนแม่น้ำเย่ว์หมิง ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลก็คลี่ออกและปกคลุมเมืองโยวตูไว้ราวปาฏิหาริย์ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านไปทั่ว แสงสวรรค์ส่องเจิดจ้า
“นั่นมันอะไรน่ะ” เด็กน้อยไม่อ่านหนังสือเช่นเอ้อร์เหมามีไม่น้อยทำได้เพียงเบิกตามองภาพม้วนบนฟ้า ต่างคิดว่าเป็นภาพลวงตา
มีเพียงกลุ่ม ‘คงแก่เรียน’ ที่รู้ว่า ‘ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลนั้นเป็นภาพสัญลักษณ์ผนึกของตำหนักไท่ชาง!’
“เล่ากันว่า นี่เป็นมหาทวีปที่เก่าแก่ที่สุดในช่วงต้นของการสร้างโลก ในคราหลังจากปฐมราชินีหยวนชู กำราบเหล่าขุนเขาและท้องทะเลแล้ว นางก็เริ่มปราบมาร ตั้งกฎเกณฑ์สรวงสวรรค์ สร้างสามภพและสวรรค์เก้าชั้นฟ้าบนมหาทวีปแห่งนี้”
“ใช่แล้ว! ว่ากันว่าเผ่าที่อยู่ในมหาทวีปขุนเขาและท้องทะเลแต่เดิมเป็นอสูรแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้เหล่าอสูรทั้งหลายจึงกลายเป็นลูกน้องผู้สัตย์ซื่อของปฐมราชินีหยวนชู ก่อนจะกำเนิดเชื้อสายทวยเทพตำหนักไท่ชาง หรือก็คือสายเลือดเก่าแก่และแข็งแกร่งที่สุดของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า”
‘ผู้แก่เรียน’ มากมายต่างโอ้อวดความรู้ของตน พวกเขาแทบจะท่องจำประวัติของเยี่ยนอวี๋ได้หมดแล้ว ถึงอย่างไรตำนานที่เล่าขานในโลกมนุษย์ก็มิใช่เรื่องเหลวไหลซะทีเดียว
เยี่ยนเสี่ยวเป่าคอยฟังตลอด แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ เขาชี้ไปที่ภาพบนท้องฟ้า “อ้ะเนะ? อ้ะเนะเนะ…” นั่นไม่ใช่ท่านแม่รูปงามหรือ เหตุใดเป็นแบบนี้ล่ะ…
“เจ้าเห็นแล้วหรือ” หรงอี้ที่ตั้งใจมองภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลอยู่นั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะละสายตาจากท้องฟ้าและมองมาที่เด็กน้อย เห็นเขากำลังพยักหน้าอยู่พอดี
“อ้ะเนะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าบอกว่า เสี่ยวเป่าเห็นท่านแม่แล้ว!
ต้าซือมิ่งก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “เสี่ยวเป่านอกจากจะสัมผัสท่านพ่อได้แล้ว ยังสัมผัสท่านแม่ได้ด้วยหรือ ถึงแม้ว่าเราอยู่ห่างจากเจ้ามากก็ตาม?”
“อ้ะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่เข้าใจ “อ้ะเนะเนะ?” เขาชี้ไปที่ท้องฟ้าเพื่อบอกว่า ไม่ไกลนี่นา!
ต้าซือมิ่งจึงเข้าใจแล้วว่าในความคิดของเด็กน้อย สิ่งที่เขาสัมผัสได้ล้วนอยู่ไม่ไกล ดังนั้นทุกครั้งที่เจ้าก้อนน้อยสัมผัสถึงเขาจึงกลิ้งมาหาเขาอย่างรีบร้อนทันที
จนถึงทุกวันนี้ เขาก็ยังจำภาพที่เจ้าก้อนน้อยกลิ้งมาหาเขาราวกับหนอนได้อย่างชัดเจน เนื้อตัวมอมแมมแต่ก็น่ารักน่าชัง
ทว่าต้าซือมิ่งจำเป็นต้องกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่ท่านแม่ของเจ้า นั่นเป็นเพียงกลิ่นอายของท่านแม่ ต่อไปหากเสี่ยวเป่าได้กลิ่นอายเช่นนี้ ห้ามพุ่งเข้าไปหาเพียงลำพังอย่างโง่เขลาอีกแล้วนะ ต้องพาท่านพ่อไปด้วย เข้าใจหรือไม่”
“เนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าหดคอลงเพื่อบอกว่า ‘เข้าใจแล้วขอรับ’ ท่านแม่เคยว่าเสี่ยวเป่าแล้ว เสี่ยวเป่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก เสี่ยวเป่าจะเป็นเด็กดีขอรับ
“เด็กดี” ต้าซือมิ่งที่ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคิดอย่างไร แต่ก็ดูออกว่าเด็กน้อยว่านอนสอนง่าย เขาจึงลูบศีรษะโล้นน้อยๆ จนไปถึงคอของเด็กน้อยอย่างพึงพอใจ ราวกับกำลังเล่นกับแมว…
เยี่ยนเสี่ยวเป่าถูไถท่านพ่อของเขาเล็กน้อย ก่อนจะมองภาพขุนเขาและท้องทะเลบนท้องฟ้าต่อไป
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้แข็งแกร่งรวมถึงอินหลิวเฟิงก็พบว่า ตำแหน่งที่พวกเขายืนตรงกับแม่น้ำเก่าแก่และขุนเขาขนาดใหญ่ในภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเล
“นี่มัน…”
เฉินฉุนเฟิงตกตะลึง “หรือว่าปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนรู้จักภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเล?”
อินสวินอี้กลับไม่สงสัย เขาเพียงแค่มองอย่างตะลึงงัน “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนท่านนี้ศึกษามรดกของปฐมราชินีหยวนชูได้ถ่องแท้เช่นนี้แล้วรึ!?”
วิ้ง…
ไม่ว่าเหล่าผู้คนข้างล่างจะคิดอย่างไร ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลที่คลี่และกางอยู่บนท้องฟ้าก็เปล่งแสงสีม่วงหม่นจางๆ ออกมา ปกคลุมทุกคนที่อยู่ข้างล่างไว้
“ระวังตัวด้วย!” อินสวินอี้ร้องเตือน “ถึงแม้ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนมิได้อธิบายรายละเอียด เพียงแค่สั่งให้ข้าคอยพลิกแพลงตามสถานการณ์ สภาพการณ์บัดนี้เกรงว่าเป็นสัญญาณที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว”
“โยวตูอ๋องพูดถูก” เฉินฉุนเฟิงเห็นด้วย “ตำหนักซือมิ่งพร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง เตรียมตั้งรับทุกเมื่อ”
“ค่ายทหารซีซานพร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง! พร้อมรบทุกเมื่อ!” เฉิงคั่วก็เคลื่อนย้ายทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายของค่ายใหญ่ซีซานมา สามพันนายในนี้เป็นกองกำลังที่เขาพามาแต่แรก ส่วนอีกเจ็ดพันนายที่เหลือเป็นกำลังเสริมที่ตามหลังมา
ทหารชั้นยอดค่ายใหญ่หนานซานแห่งโยวตู จวินม่อเฉินแห่งสำนักจวินจื่อ ชิงอ้ายเฟิงแห่งสำนักชิงเหลียน และเซี่ยเย่าแห่งสำนักเหยาไถเซียนต่างสั่งกองกำลังสำนักของตน มีเพียงคนสำนักคุนอู๋ที่ได้แต่มองดูจากที่ไกลๆ
“ผู้ดูแลคุน เราทำได้เพียงมองเช่นนี้หรือ” คนสำนักคุนอู๋ยิ่งดูยิ่งรู้สึกไม่พอใจ เรื่องอื่นไม่กล่าว การได้ร่วมศึกภายใต้ปาฏิหาริย์ขุนเขาและท้องทะเลย่อมเป็นความสำเร็จอันวิเศษ และยังเป็นโอกาสที่หาได้ยากในใต้หล้า
น่าเสียดาย…
“นอกจากยืนมองแล้ว พวกเจ้ากล้าลุกฮือประท้วงต้าซือมิ่งรึ” เหลียงเฉิงคุนก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่เขาจะทำอย่างไรได้เล่า เขาไม่คิดว่าต้าซือมิ่งท่านนั้นจะเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างเดียว
ทันใดนั้นเองความคิดของเขาก็ถูกพิสูจน์ทันที
ขณะที่ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลถูกคลี่ออกจนเกือบสุดจนแทบจะปกคลุมทั่วอาณาจักรโยวตู ต้าซือมิ่งท่านนั้นก็เคลื่อนไหวแล้ว! เขาอุ้มเด็กน้อยเหินไปข้างใต้ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเล เหนือแม่น้ำเย่ว์หมิง อยู่ในตำแหน่งของตาค่ายกลตำแหน่งหนึ่งที่มองไม่เห็น
ไม่เพียงเท่านี้…
“ขึ้น”