อินสวินอี้บันดาลโทสะขึ้นมาในบัดดล “เซ่าซือกู้อย่าพูดเหลวไหว!” แนวโน้มสถานการณ์ดีเช่นนี้ เจ้ามาบอกว่าล้มเหลวงั้นรึ มารดามันเถอะ…
อินสวินอี้เกือบจะชักดาบออกมาแล้ว!
อีกทั้งไม่ใช่เพียงเขาคนเดียวที่โมโห แม้แต่กองทหารผ่านศึกที่ฉุนเฉียวในกองกำลังโยวตูไม่น้อยก็โมโหเช่นกัน! ถึงอย่างไรนี่ก็คือโยวตูของพวกเขา คือโยวตูที่พวกเขายอมสละชีพเพื่อพิทักษ์รักษาไว้ กว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเช่นบัดนี้ได้ แต่กู้หยวนซูกลับโผล่มาแล้วบอกว่าล้มเหลว! น่าโมโหจริงๆ!
ทว่ากู้หยวนซูยังคงพูดต่อไปว่า “หากเป็นไปได้ ข้าก็ไม่อยากทำให้ทุกท่านสับสน แต่ความจริงเป็นเช่นนี้ ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและผู้อื่นล้มเหลวและเสียชีวิตแล้ว ส่วนต้าซือมิ่ง เขาเข้าไปโดยไม่ฟังคำห้ามปรามของข้า ถึงแม้ด้วยความสามารถของต้าซือมิ่ง เขาอาจจะถอนตัวออกมาได้ ทว่าบัดนี้เขาพาตนเองไปอยู่ใต้ภยันตราย คาถาแยกร่างไร้ผล เท่ากับทุกอย่างมิอาจประสบผลสำเร็จ”
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหว!” อินสวินอี้ไม่มีทางเชื่อว่าปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและคนทั้งขบวนจะเสียชีวิต แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่นังหนูคนนี้พูดย่อมมีความจริงบางส่วน อย่างน้อยปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและคนทั้งกลุ่มก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย และยังไม่รู้ว่าหายไปไหน มิเช่นนั้นต้าซือมิ่งคงไม่ตามลงไป
“ใช่แล้ว” เฉินฉุนเฟิงที่ได้ยินถึงตรงนี้ก็สำทับว่า “แม้พวกข้าไม่รู้ว่าข้างล่างเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่สถานการณ์บนแม่น้ำก็ดีมากนัก ทุกอย่างมั่นคงและสงบ มิอาจตัดสินว่า ‘ล้มเหลว’ ดังที่ท่านกล่าว”
“ใช่แล้ว” ชิงอ้ายเฟิงก็เห็นด้วย “ต้าซือมิ่งมีพลังเหนือชั้น ในเมื่อเขาออกโรงเองแล้ว ย่อมมีโอกาสพลิกผัน เซ่าซือกู้มิควรด่วนสรุป”
“พูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ไม่ใช่คนมุสา ที่นางพูดเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล สถานการณ์คงอันตราย” คนสำนักเหยาไถเซียนเซี่ยเย่าย่อมยืนฝ่ายกู้หยวนซู
“แต่ว่า…”
“ทุกท่านอย่าถกเถียงเลย ตามที่ศิษย์น้องเซี่ยกล่าว ที่ข้าพูดเช่นนี้ก็เพราะข้าเป็นเพียงผู้เดียวที่หนีรอดออกมาได้ ส่วนคนที่เหลือกลับมามิได้แล้ว แน่นอนว่าหากทุกท่านไม่เชื่อก็เฝ้าต่อไปได้ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า แต่เรื่องที่เกิดขึ้นข้าจะทูลรายงานองค์จักรพรรดิโดยเร็ว ทุกอย่างย่อมตัดสินโดยองค์จักรพรรดิ”
กู้หยวนซูเริ่มฉลาดแล้ว นางไม่โต้เถียงกับผู้อื่นอีก อีกทั้งหลังจากที่นางพูดจบ นางยังกำหมัดประสานมืออำลาทุกคนอย่างรวดเร็ว “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส คงกล่าวมากไปกว่านี้มิได้ ลาก่อน”
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเรา…” แต่เดิมเซี่ยเย่าจะพาคนสำนักเหยาไถเซียนกลับไปพร้อมกู้หยวนซู
กู้หยวนซูกลับห้ามไว้ “ศิษย์น้องเซี่ยอยู่ที่นี่พร้อมสหายทุกท่านต่อเถิด รอราชโองการขององค์จักรพรรดิ ข้าขอไปรักษาตัวก่อน”
“แต่ว่า…”
“มิต้องพูดอีก แค่ก…”
กู้หยวนซูที่บาดเจ็บสาหัสจริงๆ ก็โบกมือและเดินจากไป ทว่าก่อนนางจากไป นางยังทิ้งท้ายไว้ว่า “ใช่แล้ว หากโยวตูอ๋องไม่เชื่อสิ่งที่ข้าพูด ส่งคนลงไปใต้น้ำถามศิษย์สำนักจวินจื่อดูย่อมได้”
อินสวินอี้ “…”
เขาที่เงียบอยู่นั้นเริ่มรู้สึกไม่ดี
เฉินฉุนเฟิงกลับเสนอขึ้นมาว่า “โยวตูอ๋อง ส่งตัวแทนฝ่ายละหนึ่งคนลงไปตรวจสอบดีหรือไม่”
“ข้าคิดว่าได้” ชิงอ้ายเฟิงที่แต่เดิมไม่ค่อยเชื่อกู้หยวนซู แต่ประโยคทิ้งท้ายของนางก็ทำให้เขาครุ่นคิดอย่างหนัก
อินสวินอี้รู้ดีว่าบัดนี้เขาต้องส่งคนลงไปตรวจสอบ มิเช่นนั้นกองกำลังจะเสียขวัญ ดังนั้นเขาจึงมิได้ปฏิเสธ “เช่นนั้นส่งตัวแทนฝ่ายละสามคนลงไปตรวจสอบใต้น้ำ”
ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทว่าเหลียงเฉิงคุนสำนักคุนอู๋กลับคิดว่ายามนี้เป็นโอกาสอันดีที่สำนักคุนอู๋จะร่วมวงด้วย เขาจึงเดินหน้ามากล่าวว่า “ไม่ว่าเช่นใด! สำนักคุนอู๋ของข้าได้รับบัญชา ย่อมมีสิทธิ์สังเกตการณ์! เราจะส่งคนลงไปเช่นกัน”
“ท่านคงคิดว่าแมวไม่อยู่ หนูร่าเริงหรือ?” อินสวินอี้ปฏิเสธอย่างเคร่งขรึม “หากเจ้าคิดว่าต้าซือมิ่งไปแล้วต้องตาย ก็ย่อมทำตามใจเจ้าได้”
เหลียงเฉิงคุน “…”
เขาจึงไม่ชอบเจรจากับคนพูดจาขวานผ่าซากเช่นนี้! ดูพูดเข้าสิ
“แค่ก!” เฉิงคั่วที่เป็นมิตรกับสำนักคุนอู๋ก็ต้องพูดขึ้นว่า “ผู้ดูแลคุนโปรดวางใจ หลังจากที่พวกข้าตรวจสอบแน่ชัดแล้ว ย่อมแจ้งแก่ท่าน”
“…ก็ได้” ถึงอย่างไรเหลียงเฉิงคุนก็ไม่กล้าท้าทายต้าซือมิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้าซือมิ่งแสดงอิทธิฤทธิ์เมื่อครู่ยิ่งทำให้เขายำเกรงนัก
จากนั้นกลุ่มกองกำลังชั้นยอดของโยวตู ราชสำนัก ตำหนักซือมิ่ง สำนักชิงเหลียนและสำนักเหยาไถเซียนกลุ่มหนึ่งก็ลงไปใต้น้ำแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาเพิ่งเข้าไปไม่นาน อิงหลงโบราณที่ค่อยๆ ฟื้นตัวก็ส่งเสียงพึมพำเบาๆ ทำเอาพวกเขาตกใจจนรีบกระโดดกลับขึ้นมา!
“เกิดอะไรขึ้น” คนที่อยู่ริมแม่น้ำตกใจ
คนสำนักจวินจื่อที่อยู่ใต้น้ำก็ชักดาบรอแล้ว!
การอาละวาดของอิงหลงโบราณเมื่อครู่นี้ยังคงติดตรึงในใจพวกเขา พวกเขายังคงหวาดกลัวนัก! กลัวว่ามันจะคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนั้น พวกเขา…
“นาย… หญิง…” อิงหลงโบราณที่พึมพำแล้วฟื้นขึ้นก็รู้สึกสับสนไปหมด ราวกับถูกวัชพืชทับถม มิอาจขยับตัวได้ ทำให้มันเคลื่อนไหวปีกเล็กน้อยด้วยสัญชาติญาณ คนสำนักจวินจื่อผวา ทุกคนต่างรวบรวมพลังขั้นสูงสุด แต่ก็มิได้ทำให้อิงหลงโบราณตอบสนอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง อิงหลงโบราณก็เริ่มตั้งสติได้จึงพบว่าตาค่ายกลถูกปิดไว้ มันกลับคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น นี่มัน…
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เสียงทุ้มต่ำและหนักแน่นของอิงหลงดังขึ้นในอนุสติของสำนักจวินจื่อทันที ทำเอาพวกเขาสะดุ้งตกใจจนขวัญกระเจิง
ทว่าสมาชิกกำลังชั้นยอดสำนักจวินจื่อที่ถูกคัดตัวมาเหล่านี้ก็มีสติปัญญาดีไม่น้อย พวกเขาตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว คนที่เป็นหัวหน้ายังรีบถามขึ้นว่า “ท่าน… คือบรรพบุรุษอิงหลงหรือ ท่าน… หายดีแล้ว?”
“อืม” อิงหลงโบราณพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันต้องการรู้รายละเอียด โชคดีที่ผู้แข็งแกร่งสำนักจวินจื่อท่านี้ก็มิได้พูดมากความ มันรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟังทันที
อิงหลงโบราณเงียบขรึม ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันกำลังคิดอะไร ทว่าทุกคนก็เห็นตรงกันว่า มันกำลังจ้องตาค่ายกลนั้นจนเวลาล่วงเลยไปนาน…
วิ้ง!
ตาค่ายกลที่ปิดไว้อย่างแน่นหนาจู่ๆ ก็สั่นไหวเบาๆ!
นี่มัน…
คนสำนักจวินจื่อระวังตัวทันที!
อิงหลงโบราณถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะว่ามันได้กลิ่นอายของนายหญิงจากแรงสั่นไหวนี้แล้ว มันจึงตัดสินได้ว่านายหญิงของมันไม่เป็นอะไร
“นายหญิง…”
อิงหลงโบราณที่รู้สึกละอายใจขานเรียกเบาๆ
ส่วนเยี่ยนอวี๋ที่อยู่ในโลกที่ถูกกัดกร่อนกลางตาค่ายกลนั้นก็เพิ่งสื่อสารกับหินปราบมาร นางจึงสามารถมองทะลุผ่าน ‘ชั้นหมอก’ ที่ก่อตัวขึ้นโดยปีศาจฝีหนอง เห็นถ้ำใยไหมดังที่ต้าซือมิ่งบอก
“คุณหนูใหญ่!” เม่ยเอ๋อร์ที่แหวกใยเหนียวสีเหลืองออก นางก็ขานเรียกอย่างสัมผัสได้
เยี่ยนอวี๋ใช้สมาธิจดจ่อ ส่งกระแสจิต “ข้าเอง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าน้อยสบายดี” สถานการณ์เม่ยเอ๋อร์ไม่แย่ ใยเหนียวเหลืองนั่นทำอะไรนางไม่ได้ ถึงแม้นางเข้าไปในถ้ำใยไหมแล้ว ใยเหนียวเหล่านั้นก็มิสามารถเข้าใกล้นางได้
ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่ใช่เพราะช่วยเอ้อร์เหมาและเยี่ยนจื่อเสา นางคงไม่ตกลงมาที่นี่ ที่นางเข้ามาก็เพื่อเจาะค่ายศัตรู จะได้สังหารศัตรูง่ายยิ่งขึ้น
และสภาพปกติดีของเม่ยเอ๋อร์ก็ทำให้เยี่ยนอวี๋มีแผนการ “เจ้าไปช่วยคนก่อน รอฟังคำสั่งข้า”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่!” เม่ยเอ๋อร์ผ่าฝีหนองออกเพื่อช่วยเอ้อร์เหมาออกมาอย่างดีอกดีใจ ฝ่ายหลังถูกกัดกร่อนจนสลบไปแล้ว แต่เม่ยเอ๋อร์มียา เยี่ยนอวี๋จึงไม่กังวล และนางก็เห็นว่าเยี่ยนจื่อเสาไม่เป็นอะไรมาก นางจึงสื่อสารกับหินปราบมารต่อ ฝ่ายหลังสับสนมาก เห็นได้ชัดว่ามันถูกกัดกร่อนไปมาก
เยี่ยนอวี๋หวังว่าจะทำให้หินปราบมารกลับมาบริสุทธิ์ได้อีกครั้ง เพื่อใช้มันเป็นประโยชน์ในการทำความรู้จักสถานที่แห่งนี้ แล้วจึงขจัดการสึกกร่อนเหล่านี้และหนีออกจากที่นี่ แต่แล้ว…
เยี่ยนอวี๋ยังคงได้ยินเสียงเสียงพึมพำราวกับกำลังฝันภายในหินปราบมาร และยังเป็นการพึมพำที่ไร้สติ ไม่ชัดเจนด้วย หากไม่ใช่เพราะมันยังมีสัญชาติญาณ ‘เชื่อฟัง’ ปฐมราชินีหยวนชูหลงเหลืออยู่บ้าง เยี่ยนอวี๋คงไม่สามารถเข้าไปในอนุสติของมันและเห็นถ้ำใยไหมนี้ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเยี่ยนอวี๋เรียกร่างแยกของตนคืนบางส่วน ยังเหลือบางส่วนไว้สื่อสารกับเม่ยเอ๋อร์ นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก ทำให้ต้าซือมิ่งถามขึ้น “ไม่มีความคืบหน้าหรือ”
“อืม” เยี่ยนอวี๋ไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ เพราะนางกำลังใช้ความคิด
อินหลิวเฟิงกลับเซ้าซี้ “เช่นนั้นเอ้อร์เหมาจะทำอย่างไร”
“ไม่เป็นไรแล้ว เม่ยเอ๋อร์ช่วยเขาไว้แล้ว”
“แล้ว…”
“หุบปาก” เยี่ยนอวี๋หงุดหงิด
อินหลิวเฟิงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ต้าซือมิ่งกลับหายวับไปข้างกายเยี่ยนอวี๋พร้อมเด็กน้อย ก่อนจะยื่นเด็กน้อยออกไป
เยี่ยนอวี๋ชะงักเล็กน้อย แต่นางก็อุ้มเด็กน้อยที่หลับสนิทเข้ามาในอ้อมอก แล้วจึงลืมตามองไปที่ต้าซือมิ่งที่ยังคงหลับตาอยู่ อดถามไม่ได้ว่า “เจ้าลืมตาให้ข้าดูหน่อยสิ”
ต้าซือมิ่งลืมตาขึ้นอย่างว่าง่าย
เยี่ยนอวี๋จึงสบเข้ากับดวงตาสีม่วงเข้มที่เต็มไปด้วยฝ้า ไม่มีการตอบสนองเช่นคนตาบอดอย่างไรอย่างนั้น
“เกิดอะไรขึ้น” เยี่ยนอวี๋รีบยื่นมือไปขยายดวงตาของต้าซือมิ่ง นางตั้งใจมองตาดำของเขา พบว่าตาดำของเขาไร้ชีวิตชีวา ไม่มีการตอบสนอง แต่นางก็ดูไม่ออกว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
ต้าซือมิ่งยกมือขึ้นไล่ไปตามมือบอบบางและไร้กระดูกของเยี่ยนอวี๋ก่อนจะจับตาตนเอง กล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรมาก แค่สูญเสียพลังมากไปเล็กน้อย พักผ่อนสักครู่ก็หาย”
เยี่ยนอวี๋ดึงมือกลับทันที พูดขึ้นว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้เจ้ามาไงเล่า เจ้ายืนรอดีๆ ข้างนอกกับเสี่ยวเป่าไม่ได้หรือ”
ต้าซือมิ่งที่ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มและพูดเบาๆ อย่างอ่อนโยน “เจ้าเป็นห่วงข้า”