เยี่ยนอวี๋ “…”
นางที่เก็บสายตาที่มองไปแล้ว ถึงแม้จะไม่อยากพูดอะไรอีกก็ตาม แต่นางจำต้องกำชับ “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหลังจากที่เจ้าเข้ามาแล้ว ใครจะดูแลเรื่องข้างนอก!”
ไม่ให้ความร่วมมือเลยจริงๆ! เขานี่มัน…
ไม่รอให้เยี่ยนอวี๋ได้พูดต่อไป ต้าซือมิ่งก็ได้แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า “แม่ของลูกข้าหายตัวไป แล้วข้ายังจะสนใจเรื่องภายนอกอีกทำไมกัน”
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่เจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดกระตุกเกร็งราวกับตกใจกลัวปานนั้น ทั้งยังกำเสื้อของนางไว้แน่น แล้วมุดเข้าไปในอ้อมกอดของนางเหมือนว่าเจอเรื่องร้ายในความฝันอย่างไรอย่างนั้น
“ดูสิ เจ้าทำเสี่ยวเป่าตกใจจนไม่อาจนอนหลับดีๆ แล้ว หากข้าไม่พาเขาเข้ามาคงได้ร้องไห้จนสลบไปเป็นแน่” ต้าซือมิ่งที่ถึงแม้จะหลับตาอยู่ แต่ประสาททั้งห้าอันเฉียบแหลมของเขายังคงสามารถสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของลูกน้อยได้
ประโยคที่เยี่ยนอวี๋กำลังจะพูดต่อถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง เปลี่ยนเป็น “หากเกิดเรื่องขึ้นมาล่ะ” ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่หากว่าลูกน้อยอยู่ข้างๆ นางคงไม่อาจเข้ามาได้แน่ๆ เพราะสถานการณ์ของสถานที่แห่งนี้ไม่แน่ชัดนัก
หลังจากนั้น…
“ดังนั้น ข้าจึงมาอย่างไรเล่า” หรงอี้ขานตอบเบาๆ เขายื่นมือไปจับมือแม่ของลูกน้อยเอาไว้อย่างแม่นยำ “พวกเราสองพ่อลูกล้วนอยู่ที่นี่ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องพาพวกข้าออกไปด้วย ไม่มีแต่”
เยี่ยนอวี๋ที่ ‘สะบัด’ มือออกอย่างรวดเร็วหมดคำพูด รู้สึกว่าเหตุใดคนผู้นี้พูดอะไรก็มีเหตุผลไปเสียหมด!
และอินหลิวเฟิงข้างๆ ที่ได้ยินถึงตรงนี้ เขารู้สึกว่าต้าซือมิ่งผู้นี้ไม่เพียงแต่มีหน้าตาและวรยุทธ์ที่เป็นอันดับหนึ่งในสี่สุภาพบุรุษเท่านั้น แต่ความฉลาดทางอารมณ์ของเขาก็ไม่มีผู้ใดสู้ได้เช่นกัน!
ดูความสามารถในการเกลี้ยกล่อมนี้สิ แม้แต่กูไหน่ไนยังมิอาจต้านทานได้
แต่ทว่า…
“ต้าซือมิ่ง ท่านมีวิธีออกไปใช่หรือไม่ ข้าดูท่านเหมือนกำจักรวาลนี้ไว้ในมือไม่เป็นกังวลเลยสักนิด” อินหลิวเฟิงคิด ต้าซือมิ่งผู้นี้ต้องมีวิธีแน่ๆ มิเช่นนั้นไม่สามารถสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้หรอก
แต่ต้าซือมิ่งที่ถูก ‘สงสัย’ กลับตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่มี”
อินหลิวเฟิง “…”
ต้าซือมิ่งต้องยังหึงอยู่แน่ๆ!
“เขามั่นใจว่าข้าจะหาวิธีออกไปได้ต่างหาก” เยี่ยนอวี๋ที่ลุกขึ้นได้ฝากลูกน้อยไว้ที่ต้าซือมิ่งบางคน
เพราะว่านางคิดวิธีไว้แล้ว
‘ตาบอดหรง’ รับทารกมาแต่โดยดี พร้อมทั้งกล่อมลูกน้อยที่นอนไม่หลับดีพลางเอ่ยเตือนว่า “ระวังด้วย”
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกตักเตือนเหลือบมองต้าซือมิ่งแวบหนึ่ง ไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่เขาตามเข้ามาในนี้ นางยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่!
ที่แห่งนี้อันตรายมากนัก ก่อนที่นางจะเข้ามานางเองก็กลัวมากเช่นกัน นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาคนนี้จะไม่รู้เรื่องเลย แต่สุดท้ายเขาก็พาลูกน้อยเข้ามาด้วยแล้ว ทั้งยังน่าจะเข้ามาหลังจากที่นางถูกดูดเข้าไปแล้วทันที มิเช่นนั้นจะหาตัวนางพบได้ไวเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
ดังนั้น หากไม่ใช่เขาอยากจะประกาศว่าตนมีความสามารถสามารถเข้าออกได้ ไม่ก็…
เยี่ยนอวี๋ที่มองต้าซือมิ่งบางคนอย่างล้ำลึกถึงจะเอ่ยปากกล่าว “เจ้าดูแลเสี่ยวเป่าให้ดี”
“อืม” ต้าซือมิ่งที่หน้าตาดุจเทพเจ้าก็เชื่อฟังจริงๆ
แต่เยี่ยนอวี๋กลับไม่ลืมพลังอันดุร้ายที่เขาอัญเชิญมาก่อนหน้านั้นที่แม่น้ำเยว์หมิง ทำให้ลูกน้องของนางตกใจกลัวเหมือนหลานชายคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
นี่ก็คือหมาป่าในร่างแกะตัวหนึ่ง! และยังเป็นพ่อของลูกน้อยอีกด้วย…
หลังจากที่ ‘หมาป่า’ บางตัวถูกเพ่งมองไปครู่หนึ่งก็ยังเอ่ยหยอกล้อปฐมราชินี “ดูดีหรือไม่”
เยี่ยนอวี๋ “…”
หากนี่เป็นลูกน้อยของนาง นางจะตอบ…อืม! ดูดี หากเป็นลูกน้อยของนางย่อมต้องดูดีอยู่แล้วแน่นอน
เยี่ยนอวี๋ที่เก็บสายตาที่มองกลับมาหันไปทางอินหลิวเฟิง “ช่วยข้าที”
“อ้อๆ! มาแล้ว!” อินหลิวเฟิงถึงได้กล้าเข้าไปใกล้เล็กน้อย เพื่อไม่ให้ต้าซือมิ่งบางคนคอยยิงธนูใส่อย่างลับๆ นั่นมันช่างเย็นชาจริงๆ!
เยี่ยนอวี๋หยิบพู่กันงดงามหลากสีและ ‘น้ำหมึก’ ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา เริ่มวาดค่ายกลลงบนถ้ำใยไหมที่นางกำลังเพ่งมองอยู่
แต่ทว่าการสร้างรูปแบบค่ายกลนี้กินแรงของเยี่ยนอวี๋มากอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นพลังจิตวิญญาณของนางจึงอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วจนอินหลิวเฟิงเป็นกังวล
ต้าซือมิ่งบางคนที่อุ้มลูกน้อยอยู่ลุกขึ้น “ข้าวาดเอง เจ้าสอนข้า”
“เจ้าเป็นเพียงคนตาบอด อย่ายุ่งเสียดีกว่า” เยี่ยนอวี๋แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาตอบกลับเขา มือวาดต่อไปไม่หยุด
แต่ต้าซือมิ่งได้มาถึงข้างกายนางแล้ว “รู้ว่าข้าตาบอด ก็ต้องรู้ว่าหากเจ้าล้มลง พวกเราทั้งครอบครัวก็ต้องติดอยู่ที่นี่ทุกคน”
“เจ้า…”
เยี่ยนอวี๋อยากจะตอบโต้ แต่นางก็หายใจเข้าลึกๆ ไม่อยากโต้เถียงกับคนฝีปากเช่นนี้จึงได้ละมือออก แล้วยื่นปากกาให้กับต้าซือมิ่ง “ข้าบอก เจ้าเขียน”
“ข้าตาบอด เจ้าเขียนพร้อมข้า”
“ข้า…”
เยี่ยนอวี๋ที่เงียบไปครู่หนึ่งจับข้อมือของต้าซือมิ่งไว้จริงๆ ถึงแม้จะมีผ้ากั้นอยู่หนึ่งชั้น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ต้าซือมิ่งยิ้มขึ้นได้!
เยี่ยนอวี๋ไม่เห็น ยังคงจับมือคนผู้นี้วาดค่ายกลที่เหลือต่อไป ระหว่างนี้ก็ได้สอนต้าซือมิ่งว่าควรรวบรวมจิตวิญญาณไว้ที่ใด
ต้าซือมิ่งบางคนที่ไม่ได้ก่อความวุ่นวายเลย วาดค่ายกลได้ตรงตามที่เยี่ยนอวี๋ต้องการแล้ว ดังนั้นก่อนที่นางจะปล่อยมือก็ไม่ลืมที่จะดึงคนออกจากค่ายกลด้วย
เพียงแต่ว่า…
“กูไหน่ไน! ไม่ดีแล้ว!”
อินหลิวเฟิงที่ดูเหมือนพบอะไรบางอย่างตื่นตระหนกขึ้น “จุดศูนย์กลางค่ายกลมีอะไรบางอย่าง!”
จุดศูนย์กลางค่ายกลที่เป็นจุดกำเนิดเสียง ‘กรอบแกรบ’ เป็นดั่งที่อินหลิวเฟิงกล่าว มันกำลังก่อตัวเป็นตุ่มหนอง! ดูท่าแล้วคิดจะทำลายค่ายกล
“ตรงนี้ก็มี!” อินหลิวเฟิงที่สังเกตเห็นอีกครั้งสามารถเห็นได้ชัดว่าทั้งค่ายกลมีการเคลื่อนไหว ตุ่มหนองกำลังผุดขึ้นมาทีละตุ่มๆ แม้กระทั่งบริเวณใต้เท้าของเขาก็มีเช่นกัน
“ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” ต้าซือมิ่งหรงที่ดูเหมือนรู้ว่าต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมีท่าทางสงบ เพียงแค่รวบลูกน้อยเอาไว้ หัวคิ้วงดงามเช่นเคย “ไปเถิด ข้ากับลูกจะคอยเจ้า”
เยี่ยนอวี๋มองต้าซือมิ่งอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง จากนั้นถึงได้หันไปมองค่ายกลที่บิดเบือนจนไม่สามารถเห็นสภาพเดิมได้ ในดวงตาเผยแสงมืดมิดออกมาเล็กน้อย
ฟิ้ววว!
อินหลิวเฟิงที่รีบไปยังข้างกายของเยี่ยนอวี๋ทั้งสองคน ไม่ได้รู้สึกกลัวเพียงนั้นแล้ว เพราะในที่สุดเขาก็เห็นแล้วว่าปรมาจารย์ทั้งสองต่างก็คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว!
ซึ่งเป็นความจริง เพราะเยี่ยนอวี๋รู้ดีว่าใน ‘หมึก’ ของนางมีพลังชั่วร้ายอันบ้าคลั่งที่ดั้งเดิมที่สุดผสมอยู่ และนั่นก็คือกลิ่นอายจากเลือดของนางเอง
พลังเช่นนี้มีแรงดึงดูดอย่างมากสำหรับมารทุกตน! นี่เป็นเพียงสิ่งที่นางรู้คนเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้ดูเหมือนไม่ได้มีเพียงนางคนเดียวที่รู้แล้ว ต้าซือมิ่งบางคนเองก็รู้เช่นกัน
…
เยี่ยนอวี๋ที่พลังลดลงเล็กน้อยรู้สึกเวียนศีรษะกะทันหัน เวียนศีรษะจริงๆ! แต่นี่ไม่ใช่อุปสรรคในการทำงานของนาง นางที่สื่อสารกับหินปราบมารได้แล้วก็ได้ทำการรวบรวมพลังของหินปราบมารอย่างต่อเนื่อง
แม้นว่าหินปราบมารจะถูกกัดกร่อนก็ตาม แต่มันยังคงมีประโยชน์อยู่
เพราะว่า…
การกัดกร่อนเป็นความสัมพันธ์กัน
“ย้อนกลับ!”
เยี่ยนอวี๋ที่แสดงพลังวิเศษแห่งการสร้างออกมา เดิมทีนางก็มีพลังพลิกฟื้นความชั่วร้ายอยู่แล้ว! หินปราบมารที่นางหลอมขึ้นด้วยตนเองยิ่งถูกกำหนดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ดังนั้น…
วิ้ง
ขณะที่เยี่ยนอวี๋กระตุ้นค่ายกลนั้น!
ขณะที่พลังอันบ้าคลั่งที่อยู่ในค่ายกลถูกกระตุ้นจนถึงที่สุดแล้วนั้น!
ขณะที่ปีศาจได้รวมตัวกันถึงจุดสูงสุดแล้วนั้น!
หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของหินปราบมารก็ถูกเยี่ยนอวี๋กระตุ้นด้วยเช่นกัน สิ่งของบางอย่างที่ถูกกัดกร่อนไปตั้งนานแล้ว เป็นเพราะพลังของนักตีเหล็ก ทำให้ชำระการกัดกร่อนไปทั้งหมดกลายเป็นเปล่งประกายด้วยแสงภายในชั่วพริบตา
ชิ้งงง!
มีแสงหลากสีรวบรวมอยู่ที่ใจกลางหินปราบมารอย่างรวดเร็ว หินปราบมารสีดำกัดกร่อนตุ่มหนองนับไม่ถ้วนทีละนิ้วๆ! หมอกสีดำได้ถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า!”
เอ้อร์เหมาที่เพิ่งตื่นตะลึงกับฉากนี้ “นี่คือ…”
“คุณหนูใหญ่!”
เม่ยเอ๋อร์ตาเป็นประกาย หยิบดาบใหญ่ขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะร่วมมือกับคุณหนูใหญ่ของนาง
ปัง!
ในในขณะนั้นเอง หินปราบมารก็ระเบิดของเหลวสีเหลืองเหม็นเน่าออกมา ดูแล้วแทบจะกลืนกินเม่ยเอ๋อร์ไปทั้งตัว แต่เม่ยเอ๋อร์ก็ได้ระเบิดพลังสนามรบอสุรีออกมาอย่างรวดเร็วและตัดมันออกราวกับเต้าหู้
ในขณะเดียวกัน…
ฟิ้ววว!
ในค่ายกลที่เยี่ยนอวี๋สร้างขึ้น ลำแสงสีม่วงเข้มได้ทำลายตุ่มหนองที่ขึ้นมาจากพื้นดินในชั่วพริบตา และรวมเข้ากับพลังปราบปีศาจจากฟากฟ้า
ชิ้งงง!
ฟิ้วๆ…
ในตอนนั้น อินหลิวเฟิงก็รู้สึกว่าบริเวณใต้เท้ามีการเคลื่อนไหว ทั้ง ‘พื้นดิน’ มีการเคลื่อนไหวในทันที ตุ่มหนองผุดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็สลายไปทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว!
“ไม่ดีแล้ว! กูไหน่ไน พวกมันคิดจะหนี!?” อินหลิวเฟิงที่เห็นแต่ไม่อาจช่วยเหลือได้จึงหันไปทางต้าซือมิ่งบางคน แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าที่จะขยับเลย เพียงแค่อุ้มเจ้าตัวน้อยไว้และยืนอยู่บนพื้นดินที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
อินหลิวเฟิง “…”
นายท่านคนนี้นี่! จริงๆ เลย เขาจึงรีบลงไปเตรียมพร้อมที่จะดึงนายท่านตาบอดคนนี้ขึ้นสู่อากาศ
แต่ทว่าเขาเพิ่งเตรียมตัวจะก้าวเท้าออกไปนั้นก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีกต่อไป!
เพราะ…
“ย้อนกลับ!”
เยี่ยนอวี๋ที่ปล่อยพลังไปอีกครั้ง นางลอยตัวยืนอยู่บริเวณใจกลางระหว่างพลังของค่ายกลและหินปราบมาร ราวกับเทพที่นำบทลงโทษจากสวรรค์ลงมาจุติ! พลังปราบปีศาจที่พวยพุ่งไปยังอากาศอย่างอิสระได้พุ่งโจมตีตุ่มหนองที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็วจน ‘สั่นสะเทือน’ ไปทั่วผืนดิน
นี่ยังไม่เท่าไร!
“…”
‘ท้องฟ้า’ ที่ไม่รู้ว่า ‘สว่าง’ ขึ้นตั้งแต่เมื่อใดเริ่มมีแสงอาทิตย์สาดส่อง ‘ผืนดินใหญ่’ ราวกับแสงอาทิตย์ไปทำลาย ‘เมฆครึ้ม’ ลงอย่างไรอย่างนั้น และแสงนั้นกำลังสอดส่องไปที่เหล่าตุ่มหนอง!
คราวนี้…
กี๊ซ!