ต้าซือมิ่งที่กำลังประคองให้เจ้าตัวน้อยจับมือตนเองอยู่ได้ยินดังนั้น ขณะที่กำลังคิดจะตอบ เจ้าตัวเล็กกลับปล่อยมือป้อมออก จากนั้น…
“อ้ะ!”
เจ้าตัวน้อยค่อยๆ ซวนเซยืนขึ้นแล้ว! เขายืนขึ้นเองแล้ว! เขาดีใจจนส่งเสียงร้องอ่อนเยาว์ออกมาและปรบมือ แปะๆ ให้ตัวเอง
“คิก”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้พลางหันไปมองท่านพ่อและส่งยิ้มเจิดจ้าให้ ใบหน้าน้อยๆ เชิดขึ้นสูง สื่อนัยว่า ‘รีบชมเสี่ยวเป่าเร็วๆ สิ’
ต้าซือมิ่งบางคนอดยิ้มออกมาไม่ได้ “เสี่ยวเป่าเก่งมากจริงๆ ไม่เสียทีที่เป็นเด็กดีของพ่อ”
“ฮี่~”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ที่ยังคงยิ้มตาหยีหันไปมองทางท่านแม่ของเขา
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกท่าทางน่ารักของเจ้าตัวน้อยอ้วนกลมทำให้ใจละลายไปหมดแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมอุ้มเจ้าตัวน้อยเข้ามาหอม “เสี่ยวเป่าร้ายกาจจริงๆ ยืนได้มั่นคงขนาดนี้แล้ว”
“อ้า! อ้า…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าร้องบอกว่าเขาอยากจะยืนเอง จะยืนเอง
เยี่ยวอวี๋ฟังเข้าใจแต่กลับกอดเจ้าตัวน้อยแน่นขึ้นพลางเอ่ยเย้าว่า “เจ้าเรียก ‘แม่’ ก่อน แม่ถึงจะปล่อยเจ้า”
“…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่อ้าปากส่งเสียงได้แค่ อ้า ออกมาพลางกุมหัวโล้นน้อยๆ ของตน “อ้ะเนะเน้ะ…อ้ะ” ท่านแม่ให้เวลาเสี่ยวเป่ามากกว่านี้หน่อย เสี่ยวเป่ายังเรียกไม่ได้
“ไม่เรียกก็ไม่ปล่อย” เยี่ยนอวี๋กอดเจ้าตัวน้อยหนักอึ้งเอาไว้ ประเมินได้เลยว่าเจ้าตัวน้อยอ้วนขึ้นไม่น้อย นี่ล้วนเป็นความชอบบิดาของลูกผู้นั้น
แน่นอนว่าเจ้าตัวน้อยไม่ใช่แค่อ้วนขึ้นอย่างเดียวเท่านั้นยังเติบโตและนุ่มนิ่มน่ารักขึ้นกว่าเดิมมากอีกด้วย เพียงมองก็รู้ว่าได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ทั้งยังชอบหัวเราะและร่าเริงแจ่มใสขึ้นมาก
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับบิดาของเจ้าตัวน้อยทั้งสิ้น เขารักเจ้าตัวน้อยจากใจจริง แต่ที่เมื่อครู่นางยังถามคำถามเช่นนั้นออกมาก็เพราะตั้งแต่แรกนางก็ไม่เชื่อเรื่อง ‘ความจำเสื่อม’ อะไรนั่นอยู่แล้ว
หรือจะให้พูดชัดๆ ก็คือนางไม่เชื่อทุกคำพูดที่ต้าซือมิ่งผู้นี้เอ่ยออกมา เพียงแต่…
“ข้าเฝ้าสังเกตเจ้ามาเกือบสามเดือน พลังเทพถดถอยอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้เจ้าจะพยายามปิดบังข้าอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่อาจปกปิดข้าได้ เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เยี่ยนอวี๋ไม่เข้าใจ
ต้าซือมิ่งหรงที่ถูกถามเช่นนี้ถอนหายใจเบาๆ “เจ้าจะฉลาดเพียงนี้เพื่ออะไรกัน ไม่กลัวว่าข้าทำดีหวังผลหรือ”
“หรือว่าหากข้าไม่พูด เจ้าก็จะไม่ทำดีหวังผลแล้วอย่างนั้นรึ” เยี่ยนอวี๋ย้อนถาม
หรงอี้ยิ้มน้อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองหญิงสาวที่อุ้มเจ้าตัวน้อยไว้ “เจ้าเงยหน้าขึ้นสิ”
“เจ้าพูดมาสิ ข้าฟังอยู่” เยี่ยนอวี๋ลูบเจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดแต่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง
“กลัวอะไรกัน” หรงอี้หัวเราะเสียงแผ่ว
เยี่ยนอวี๋เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณทันที “ผู้ใดกลัวกัน!”
“หึ” สบตาเข้ากับหรงอี้ที่โน้มกายเข้ามาน้อยๆ พลางเดินเข้ามาใกล้ปฐมราชินีเยี่ยน “ไม่กลัวเจ้าก็อย่าถอย”
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางที่เดิมทีคิดจะถอยหลังตัวแข็งทื่อทันที
และต้าซือมิ่งหรงที่กลั่นแกล้งหญิงที่ตนหมายปองนั้น ริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาสีม่วงราวกับแก้วหลิวหลีปรากฏระลอกคลื่นบางเบา น้ำเสียงไพเราะราวกับเสียงพิณยังเจือไปด้วยความขบขัน “ชัดเจนมากว่าข้าต้องการเจ้า”
“…”
เยี่ยนอวี๋ที่ตัวแข็งทื่อถอยกรูด “เจ้า…”
แต่ต้าซือมิ่งหรงที่ยังคงก้าวเข้าใกล้นางพลันจริงจังขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าดูออกว่าพลังเทพของข้ากำลังถดถอย อย่างนั้นเจ้าก็ควรจะรู้ว่าข้าไม่อาจจะเคลื่อนย้ายพลังอื่นมารักษาตนเองได้ในเวลานี้ พลังดั้งเดิมนั้นเป็นข้อยกเว้นและเจ้าก็คงจะมั่นใจแล้วว่าข้าไม่ใช่จิตวิญญาณของสามภพ”
“ใช่” เยี่ยนอวี๋ห่อเจ้าตัวน้อยนุ่มนิ่มเป็นก้อนกลม ฝ่ายหลังมองท่านพ่อของตนด้วยความสงสัยแล้วหันไปมองท่านแม่อีกครั้ง หลังจากนั้นก็นอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่พลางฟังทั้งสองพูดคุยกันอย่างเชื่อฟัง
ท่าทางรู้ความนั้นทำให้ต้าซือมิ่งเอนกายเข้าไปหาตามสัญชาตญาณและจูบหัวโล้นน้อยๆ ของเจ้าตัวน้อยอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เหมือนทั้งร่างของเขาโถมเข้าสู่อ้อมกอดของเยี่ยนอวี๋
เยี่ยนอวี๋ที่เดิมตัวแข็งอยู่ก็อยากจะหลบออกตามสัญชาตญาณแต่ว่าเจ้าตัวน้อยกลับโอบคอเรียวของท่านพ่อของเขาเอาไว้ “…พ่อ! พ่อ พ่อ ฮี่…อ้ะเนะเน้ะ”
“เด็กดี” หรงอี้ที่จมเข้าไปในอ้อมกอดของเยี่ยนอวี๋ตามแรงดึงอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาสัมผัสโดนช่วงท้องของเยี่ยนอวี๋อย่างเป็นธรรมชาติแต่กลับไม่มีท่าทีล่วงเกินแม้แต่น้อย
เยี่ยนอวี๋ “…”
นี่มันหลายครั้งแล้วนะ!
ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดหาเหตุผลมาก่อนแต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆ เพราะบางครั้งที่นางรับเจ้าตัวน้อยมาจากอกของคนผู้นี้ก็ไม่ทันระวังโดนตัวของเขาเหมือนกัน
ฉะนั้นนางคงไม่อาจอัดเขาเพราะเหตุนี้ได้กระมัง แต่ความรู้สึกเช่นนี้…
ไม่รอให้เยี่ยนอวี๋ได้ขบคิดไปมากกว่านี้ ต้าซือมิ่งบางคนก็พูดต่อว่า “เพราฉะนั้นในสวรรค์และจักรวาลจึงไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องการ เพราะได้มาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใด ดังนั้นต้องการเจ้าจึงเป็นสิ่งจริงแท้”
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางอ้าปากกำลังรวบรวมคำบอกปัด
เม่ยเอ๋อร์กลับทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว “ขวัญสุนัขของเจ้าช่างมากนัก คุณหนูใหญ่ของข้าเป็นคนที่เจ้าสามารถวาดหวังถึงได้อย่างนั้นรึ เจ้าโจรชั่ว ข้าว่าแล้วว่าจิตใจเจ้ามันเจ้าเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก หวังสูงจริงๆ เสียด้วย”
“ใช่แล้ว เม่ยเอ๋อร์ฉลาดล้ำลึกจริงๆ” หรงอี้แสดงความชื่นชม
เม่ยเอ๋อร์ขบฟัน “ถุย ใจคิดไม่ซื่อของเจ้ามันเห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว!”
“คุณหนูใหญ่ของเจ้าไม่ใช่ไก่เสียหน่อย” หรงอี้ลูบเจ้าตัวน้อยแล้วหันกลับมามองที่มารดาของเด็กน้อย “เจ้าลองวิเคราะห์ดูให้ดีว่าที่ข้าพูดนั้นจริงหรือเท็จ”
“จริงเท็จแล้วอย่างไร ข้าไม่ประสงค์จะแต่งงาน” เยี่ยนอวี๋ไม่อยากถูกตอแยอีกต่อไป “เจ้าดีต่อเสี่ยวเป่าเรื่องนั้นข้ายอมรับ เจ้าอยากจะประกาศว่าเสี่ยวเป่าคือลูกชายของเจ้าข้าเองก็ไม่คัดค้าน แต่เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงอีก”
ต้าซือมิ่งหรงที่โดนปฏิเสธกลับไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใดเขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ยังคงยืนเป็นเสารูปมนุษย์ให้กับเจ้าตัวน้อยได้พึ่งพิงต่อไป
เยี่ยนอวี๋ที่ไม่ได้รับการตอบรับขมวดคิ้วน้อยๆ “เหตุใดเจ้าไม่พูดอะไร”
“กำลังใจสลายอยู่” ต้าซือมิ่งหรงที่กอดเจ้าตัวน้อยอยู่แสดงท่าที
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางว่าแล้วว่าต้องเล่นลูกไม้
จากนั้นต้าซือมิ่งบางคนก็แค่นเสียงคำหนึ่ง กลิ่นอายราวกับอ่อนแอลงเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าระดับพลังจะอ่อนแอลงเพียงเล็กน้อยถึงขั้นที่เม่ยเอ๋อร์ไม่สังเกต แต่เยี่ยนอวี๋กลับรู้สึกได้ นางอ้าปากเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ยื่นมือมา”
“จะทำอะไร”
“เสแสร้ง!” เยี่ยนอวี๋คว้ามืออีกข้างของต้าซือมิ่งบางคนเอาไว้แล้วจับชีพจรให้
เยี่ยนจื่อเสาที่เพิ่งออกจากการกักตนจึงได้เห็นภาพปรองดองของครอบครัวทั้งสามคน ผู้เป็นพ่อปกป้องบุตรชาย ส่วนหญิงสาวกำลังห่วงใยผู้เป็นสามี…
เยี่ยนจื่อเสาไม่อยากเกิดความคิดเชื่อมโยงเช่นนี้ แต่ว่าภาพแห่งความสุขของทั้งสามคนตรงหน้านั้นทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ อีกทั้งเขาต้องยอมรับจริงๆ ว่าในโลกใบนี้คงไม่อาจหาผู้ชายที่เหมาะสมกับน้องสาวของเขาเช่นนี้ได้อีกเป็นคนที่สอง
ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม นิสัยใจคอ หรือว่าพลังล้วนไม่มีอีกแล้ว…
“แค่ก!”
ต้าซือมิ่งบางคนกระแอมไอเบาๆ พร้อมเก็บมือกลับ เอ่ยอย่างไม่จริงจังว่า “ข้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่ระยะเวลาในการฟื้นตัวอาจจะนานไปบ้าง เจ้าจับชีพจรให้ข้าไม่สู้จับชีพจรให้พี่ภรรยาก่อนเถอะ”
“เจ้า…” เยี่ยนอวี๋ที่กำลังจะเอ่ยถึงอาการของเขาหันมองไปเห็นว่าพี่รองของนางฟื้นแล้วพอดี แต่เมื่อครู่นางกลับไม่สังเกตเลย?
“อ้ะเนะเน้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เห็นท่านลุงรองรูปงามเดินเข้ามาก็ดีอกดีใจ “อ้ะเนะเน้ะ…” ท่านลุงรองงดงามแล้ว ท่านลุงรองไม่ใส่สีดำๆ แล้ว
เยี่ยนอวี๋เห็นพี่รองที่ฟื้นคืนรูปโฉมกลับมาหล่อเหลาสง่างามและกลับมาสวมชุดแพรไหมหรูหราเหมือนเดิมแล้วกำลังเดินมาทางนางทีละก้าว ราวกับหนุ่มน้อยแสนกระฉับกระเฉงที่เพิ่งกลับมาจากการขี่ม้าอย่างนั้น
คุณชายรองเสาของตระกูลอวี๋
คุณชายรองเสาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์มากพรสวรรค์
ศิษย์พี่เสาที่เป็นหัวใจหลักของสำนักชางอู๋
เขากลับมาแล้ว
หลังจากประสบอุปสรรคยากลำบาก ในที่สุดเขาก็ได้กลับสู่โฉมหน้าที่แท้จริง กลับมาอย่างผ่าเผยไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
“พี่รอง”
เยี่ยนอวี๋ยืนขึ้น ตาร้อนผ่าวเล็กน้อย “ยินดีกับพี่รองด้วยเจ้าค่ะ”
พี่รองที่ถูกทรยศจนกลายเป็นมนุษย์วานรหวาไหวมาสองชาติ ในที่สุดก็ได้ถอดรูปลักษณ์อัปลักษณ์ออกได้กลับกลายมาเป็นตัวเขาที่แท้จริงอีกครั้งและทั้งหมดนี้…
เยี่ยนอวี๋มองไปทางต้าซือมิ่งบางคนตามสัญชาตญาณ ฝ่ายหลังเองก็มีใบหน้าอบอุ่นกำลังเอ่ยยินดีเช่นกัน “ยินดีกับพี่ภรรยาด้วย”
“…” เยี่ยนจื่อเสาที่เดิมอยากประสานหมัดเอ่ยขอบคุณถูกคำว่า ‘พี่ภรรยา‘ สองคำนี้ทำให้ตัวแข็งทื่อไป มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เจ้ากลับเรียกได้คล่องปากเสียจริง”
“อ้ะเน้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ถูกท่านพ่ออุ้มเอาไว้ยื่นมือเล็กอ้วนป้อมไปทางท่านลุงรอง “อ้ะเนะเน้ะ…” ราวกับกำลังเอ่ยแสดงความยินดีกับท่านลุงรองเช่นกัน
เยี่ยนจื่อเสามองท่าทางน่ารักของหลานชายแล้วมองต้าซือมิ่งที่มีใบหน้าเป็น ‘พิมพ์เดียว’ กับหลานชายแรงต่อต้านในใจก็ลดลงถึงสองส่วน แต่เขาก็ยังต้องขีดเส้นแสดงท่าทีบ้าง “ตอนนี้เรียกเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
“อนาคตเรียกก็คือเรียกเช่นกัน ไม่เป็นไรหรอก” ต้าซือมิ่งตอบกลับอย่างได้ใจ
เยี่ยนจื่อเสาที่เพิ่งรับหลายชายตัวอ้วนมาอุ้มเกือบทำหลานตกพื้นจนเยี่ยนอวี๋ต้องรีบเข้ามาประคองไว้แน่น “พี่รองระวังหน่อย ช่วงนี้เสี่ยวเป่าอ้วนขึ้นไม่น้อยเลย”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่พอใจที่ถูกว่าว่าอ้วน “อ้ะ! อ้ะเนะเน้ะ…” เสี่ยวเป่าไม่อ้วน เสี่ยวเป่าน่ารัก น่ารักต่างหาก น่ารัก…
เยี่ยนอวี๋ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวน้อยประท้วงด้วยเรื่องอะไรจึงบีบขาเล็กป้อมของเจ้าตัวน้อย ยอมเปลี่ยนคำพูดตามที่เจ้าตัวน้อยต้องการ “แม่พูดผิดเอง เสี่ยวเป่าน่ารัก น่ารักที่สุดเลย”
“ฮี่” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพออกพอใจ
เยี่ยนจื่อเสากลับเอ่ยประโยคที่น่าตกใจออกมาว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็ต้องไปบอกท่านพ่อ เรื่องแต่งงานก็ต้องรบกวนท่านพ่อเป็นธุระให้ ไม่เช่นนั้นท่านพ่อต้องร้องไห้แน่ พวกเจ้ากะว่าจะกลับสำนักชางอู๋ไปแจ้งท่านเมื่อไหร่หรือ”