ต้าซือมิ่งหรงที่ยืนมองภรรยาอยู่ แววตาของเขาแฝงไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ แสดงให้เห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเท่านั้นถึงจะมีความเย่อหยิ่ง ดุร้าย บ้าคลั่ง แย่งชิงราวกับสัตว์ป่า
อะไรคืออบอุ่นราวกับหยก ไอเซียนล่องลอย สูงส่งเหนือคนล้วนเสแสร้งทั้งสิ้น! นี่มันหมาป่าห่มหนังแกะตัวหนึ่งชัดๆ…
“…”
แต่เยี่ยนอวี๋ที่ถูกหมาป่าจับจ้องเองก็ไม่ใช่ลูกแกะน้อยไร้เดียงสา นางถึงขั้นหรี่ตาลงมองต้าซือมิ่งที่เผลอปล่อยไอดุร้ายออกมาผู้นี้อย่างหยั่งเชิง
ปฐมราชินีเยี่ยนที่เป็นเช่นนี้นั้น…
ต้าซือมิ่งที่ปล่อยให้นางมองเช่นนั้นอดลอบถอนใจไม่ได้ หากรู้แต่แรกว่านางชอบผู้ชายป่าเถื่อน เขาคงจะแสดงท่าทีแบบนี้ไปนานแล้ว
แต่ต้าซือมิ่งที่ค่อยๆ เดินมาจนถึงจุดนี้ก็เข้าใจดีว่าหากก่อนหน้านี้เขา ‘อบอุ่นเรียบร้อย‘ วันนี้เขาก็คงจะโดนอัดอย่างน้อยวันละสามรอบแล้ว
โครก…
เจ้าก้อนน้อยที่เห็นท่านพ่อท่านแม่มองกันไปมาจนเขาใกล้จะถูกลืมไปแล้วนั้น ท้องน้อยๆ ของเขาเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าจึงส่งเสียงประท้วงออกมาอย่างหิวโหย
เยี่ยนอวี๋และต้าซือมิ่งที่ล้วนมีความคิดแตกต่างกันไปล้วนถูกดึงความสนใจไปยังจุดเดียวกัน “เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ายื่นมือป้อมไปทางพ่อของเขา “…พ่อ! พะ พ่อ!”
พ่อนมต้าซือมิ่งเดินเข้าไปรับเจ้าก้อนน้อยอย่างเป็นธรรมชาติ เอาโจ๊กที่อุ่นไว้ออกมาป้อนเจ้าก้อนน้อยอย่างคุ้นเคย
“…ดีมากทีเดียว” เยี่ยนจื่อเสาที่มุงดูอยู่ด้านข้างเห็นตรงส่วนนี้ก็จำต้องยอมรับเลยว่า “มีมาดของผู้เป็นบิดาอยู่บ้าง แต่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เจ้าไม่ต้องกดดันไปที่พี่รองเห็นด้วยให้พวกเจ้าแต่งงานกันนั้นเป็นเพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องดีต่อเจ้าและเสี่ยวเป่า แต่หากเจ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเอง”
“ข้าจะลองคิดดู” เยี่ยนอวี๋ตอบรับอย่างสงบ แววตามองจ้องไปยังพ่อลูกที่อยู่ไม่ไกล นางต้องยอมรับเลยว่าการที่มีพ่อแม่อยู่ด้วยนั้นมีประโยชน์ต่อการเติบโตของเจ้าก้อนน้อยเป็นอย่างยิ่ง
แต่นางก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าบิดาแท้ๆ ของเจ้าก้อนน้อยผู้นี้จะทำดีต่อลูกของนางเช่นนี้ไปตลอดหรือไม่ ยังมีอีกถ้าหากแต่งงานกันไปแล้วนางก็ต้องยอมรับชายผู้นี้จริงๆ อย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดถึงจุดสุดท้ายนี้ เยี่ยนอวี๋ก็ขนหัวลุกไปหมด รู้สึก…
เยี่ยนอวี๋เองก็บอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกเช่นไรแต่สามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งว่าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางพูดนั้นถูกต้อง คนผู้นี้แปลกประหลาดมากและความแปลกนี้ของเขาก็ดึงดูดนางได้จริงๆ
“ซี้ด” เยี่ยนอวี๋ที่พลันค้นพบความจริงข้อนี้กุมศีรษะ ผู้ใต้บังคับบัญชาของนางนั้นพูดถูกจริงๆ ตอนนั้นนางยังไม่รู้สึกอะไรแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นจริงแล้วไม่ใช่หรือ
และในขณะที่เยี่ยนอวี๋รู้สึกปวดหัวน้อยๆ นั้น อิงหลงอาวุโสก็กระพือปีกเบาๆ ดึงดูดสายตาของทุกคนไปทางนั้น แม้แต่เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กำลังทานอาหารเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น “อ้ะเน้ะ! บินใหญ่ๆ จะบินแล้ว!”
“ใช่” ต้าซือมิ่งที่ป้อนข้าวให้เด็กน้อยรู้ดีว่าบรรพบุรุษอิงหลงอาวุโสนี้ถือว่าได้ฟื้นฟูรากฐานแล้ว ตั้งแต่หลอมรวมจิตวิญญาณเทพ ร่างเทพไปจนถึงสามารถประสานและควบคุม มันใช้เวลาไปสามเดือน ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป
วิ้ง!
อิงหลงอาวุโสที่รอบกายแผ่กลิ่นอายเยี่ยมยอดออกมาจางๆ มันเองก็ถือว่าได้ฟื้นฟูรากฐานกลับมาแล้ว ‘เส้นด้าย’ ที่เยี่ยนอวี๋ ‘เย็บ’ ไว้บนร่างของมันนั้นบัดนี้ได้สลายหายไปจนหมด นั่นหมายความว่ามันไม่ต้องการ ‘เส้นด้าย’ เหล่านั้นในการเชื่อมยึดร่างมังกรและปีกมังกรอีกต่อไป
มันในตอนนี้สามารถกระพือปีกได้อย่างอิสระ สามารถเคลื่อนย้ายร่างเทพและพลังจิตวิญญาณเทพได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ติดขัดอีกต่อไป มันฟื้นตัวแล้ว ฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้วจริงๆ
แปะๆ เยี่ยนเสี่ยวเป่ายกมือป้อมขึ้น เขากินข้าวไปด้วยปรบมืออย่างดีอกดีใจไปด้วยราวกับสามารถรับรู้ได้ถึงการฟื้นตัวของอิงหลงอาวุโสอย่างนั้น
และปฏิกิริยาแรกเมื่ออิงหลงอาวุโสลืมตาขึ้นนั้นก็คือหมอบราบคารวะไปทางเยี่ยนอวี๋ “นายท่าน” หมื่นพันถ้อยคำมีเพียงคำว่า ‘นายท่าน’ คำเดียวที่สามารถบรรยายความรู้สึกพลุ่งพล่านที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของมันออกมาได้
“ลุกขึ้นเถอะ” เยี่ยนอวี๋เองก็รู้สึกปลดปลง “ต่อไปเจ้ายังต้องรั้งอยู่ที่แห่งนี้ให้แมงมุมรักษาอาการบาดเจ็บ กำจัดภัยซ่อนเร้นที่อาจจะกำเริบออกมาอีกครั้ง”
“น้อมรับคำสั่งนายท่าน” อิงหลงอาวุโสไม่นึกสงสัยในคำสั่งของนางแม้แต่น้อย
เยี่ยนอวี๋จึงเคลื่อนสายตามองไปยังพวกอินหลิวเฟิง จวินฮวนและเอ้อร์เหมาที่กระจัดกระจายอยู่ห่างออกไป สามเดือนที่ทั้งสามอยู่ที่นี้นั้นกายเนื้อใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นวิญญาณปฐมภูมิแล้วและอาศัยการเลื่อนขั้นนี้เข้าสู่การหลอมรวมพลังของแต่ละคนไปอีกขั้นหนึ่ง
ตอนนี้รอแค่ผนึกจิตวิญญาณทั้งห้าธาตุค่อยๆ สลายไปก็จะสามารถออกไปพร้อมกันได้แล้ว
ดังนั้นเยี่ยนอวี๋จึงกำชับว่า “เม่ยเอ๋อร์ไปปลุกพวกเขาให้ตื่น”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” เม่ยเอ๋อร์รีบไปเรียกคนในทันที
เยี่ยนจื่อเสาถอนใจ “เดิมคิดว่าเมื่อเข้ามาแล้วเป็นตายยากตาดเดา ไม่คิดเลยว่าจะได้รับโอกาสที่ดีเช่นนี้”
“ก็ถือว่าโชคดี” ก่อนเยี่ยนอวี๋จะเข้ามาก็ไม่คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดจะราบรื่นเช่นนี้
“จะว่าไปแล้วนายน้อยอินก็ถือว่าสงบใจได้ดี ด้านนอกเป็นแบบนั้นเขาไม่ร้อนใจหรือไงนะ” เยี่ยนจื่อเสาไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้างจึงแอบกังวลเล็กน้อย
“เขาร้อนใจยิ่งกว่าผู้ใด แต่เขารู้ดีว่าหากเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้ สำหรับเมืองโยวตูและจวนอ๋องแล้วล้วนเป็นผลดี” จุดนี้เยี่ยนอวี๋พอใจมาก สามารถสงบใจบำเพ็ญได้ในสถานการณ์วุ่นวายเช่นก่อนหน้านี้ได้ก็แสดงให้เห็นว่าสติปัญญาของเจ้าวิหคทมิฬน้อยไม่เลวเลยทีเดียว
“ก็จริง” เยี่ยนจื่อเสาพยักหน้าแอบคิดว่าก่อนหน้านี้ยังคิดว่านายน้อยอินท่านนี้จะมาเป็นน้องเขยของเขาเสียอีก นึกไม่ถึง…
เยี่ยนจื่อเสาที่มองกลับไปยัง ‘น้องเขยตัวอย่าง‘ พลันพบว่าต้าซือมิ่งบางคนกำลังตั้งอกตั้งใจป้อนอาหารเจ้าก้อนน้อยราวกับว่าความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาและเขาก็ไม่สนใจด้วย
ชั่วขณะนั้นเยี่ยนจื่อเสารู้สึกว่า ‘น้องเขยตัวอย่าง‘ คนนี้ความจริงแล้วช่างบริสุทธิ์สูงส่ง แตกต่างกับเจ้าคนเหลาะแหละ ไร้ยางอายแสนอบอุ่นที่เขารู้จักราวกับเป็นคนละคน
ต้าซือมิ่งที่ถูกจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งช้อนสายตาขึ้นมา “พี่ภรรยา?”
“แค่ก!” เยี่ยนจื่อเสาที่สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อยเอ่ยว่า “เจ้าเรียกข้าว่าพี่รองดีกว่า” ถึงแม้จะเรียกว่าพี่ภรรยาหรือว่าพี่รองก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรขนาดนั้นก็ตาม
แต่คำว่าพี่ภรรยานั้นเป็นคำที่น้องเขยที่ผ่านพิธีแต่งงานแล้วเท่านั้นจึงจะเรียกได้ แต่คำว่าพี่รองนั้นไม่เหมือนกันยังพอกลบเกลื่อนไปได้ แค่ก…
ไม่ทันรู้ตัวเยี่ยนจื่อเสาก็ไม่ต่อต้านเรื่องการแต่งงานของต้าซือมิ่งบางคนแล้ว อย่างไรก็ยังไม่เป็นทางการ ดังนั้นต้าซือมิ่งบางคนจึงยอมตามน้ำไป “พี่รอง”
“…” เยี่ยนจื่อเสายังคงรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เมื่อเทียบกับคำว่าพี่ภรรยาก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว
และต้าซือมิ่งที่เรียกอย่างคล่องปากนั้นยังถามต่ออีกว่า “พี่รองอยากรับสักชามไหม”
“อ้ะเน้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ารีบอ้าปากกว้างกินโจ๊กของตนจนหมดทันที ทั้งยังมองท่านลุงรองอย่างหวาดระแวง ถึงแม้จะถูกสอนว่าอย่าหวงของกินต้องหัดแบ่งปัน แต่เสี่ยวเป่าที่แสนสัตย์ซื่อก็ยังคงอดไม่ได้…
เจ้าหนูน้อยกระโดดออกมาแล้ว “จี๊ด!” ข้า! ข้าขอชามนึง!
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเกือบจะอัดเจ้าหนูน้อยแล้ว
แต่ต้าซือมิ่งบางคนได้เอาโจ๊กในหม้อให้กับจ้าหนูน้อยกินแล้ว เจ้าก้อนน้อยจึงร้องอย่างกระสับกระส่ายในทันที “เน้ะเนะ…” เสี่ยวเป่ายังอยากกินอีกนะ…
“พ่อจะทำอย่างอื่นให้เจ้ากิน”
“อ้ะเน้ะ!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ร้องกระสับกระส่ายพลันเปลี่ยนเป็นเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เปี่ยมชีวิตชีวาในพริบตา “ฮี่ พ่อ!”
“ข้ารู้แล้วว่าทำไมเขาชอบเข้าข้างเจ้า” เยี่ยนจื่อเสาส่ายศีรษะอย่างคนปลงตก
ริมฝีปากบางของต้าซือมิ่งยกโค้งส่งเจ้าก้อนน้อยให้กับพี่ภรรยา “ก่อนจะออกไปก็ทานอะไรสักหน่อยเถอะ”
“…ก็ดีเหมือนกัน” เยี่ยนจื่อเสาที่ความจริงแอบน้ำลายสอมานานแล้วตอบรับจากใจ ทุกครั้งเขาคิดว่าอาหารที่น้องเขยตัวอย่างผู้นี้ทำดูน่าอร่อยทีเดียว
ดังนั้นอินหลิวเฟิง จวินฮวนและเอ้อร์เหมาสามคนที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจึงกลายเป็นลูกมือของต้าซือมิ่งไปโดยปริยาย ไม่เป็นก็ต้องเรียนรู้ ทั้งยังถูกเจ้าก้อนน้อยที่อยู่ด้านข้างส่งเสียง อ้ะเน้ะเนะ อย่างรังเกียจว่าพวกเขาโง่อีกด้วย
แต่ฝีมือการทำอาหารของต้าซือมิ่งบางคนก็ทำให้เหล่าพี่ชายที่บำเพ็ญถึงขั้นอดอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อยและเต็มอกเต็มใจจะเป็นลูกมือของเขาอีกในครั้งหน้า กระทั่งอินหลิวเฟิงเองก็ยังถอนใจด้วยความนับถือ “ต้าซือมิ่ง ฝีมือการทำอาหารของท่านนี้คงจะเปิดร้านอาหารที่เมืองหลวงใช่หรือไม่ ร้านใดที่ท่านเป็นคนเปิดข้าจะไปเยือนทุกวันแน่นอน”
“นายน้อย ไม่ใช่ว่าข้าอย่างนั้นอย่างนี้หรอกนะ ต้าซือมิ่งจะมีเวลามานั่งทำอาหารทุกวันหรือ ท่านน่ะอาศัยบารมีของนายท่านเล็กหรอกถึงได้กิน ท่านรีบกินของท่านไปเถอะ!” เอ้อร์เหมาที่คอยเป็นศัตรูและรังเกียจสติปัญญาของเจ้านายตนเป็นกิจวัตรเอ่ย
อินหลิวเฟิงที่ความจริงก็เข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีอับจนถ้อยคำจริงๆ “เจ้ามันฉลาด เจ้ามันมากสามารถ!” นายน้อยอย่างข้าก็แค่อยากกระตุ้นบรรยากาศ ประจบสอพลอ เอาใจผู้อื่นก็เท่านั้นเอง
“อ้ะเนะเน้ะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กำลัง ‘ยุ่งง่วน’ กับการแอบฉกอาหารในชามของอินหลิวเฟิงถูกเยี่ยนอวี๋ที่ ‘ตาไว’ จับมือเล็กเอาไว้ “กินของตัวเองไป ยังจะไปหยิบของผู้อื่นอีก นี่มันนิสัยอย่างไรกัน”
“อ้า!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ออกแรงใช้ ‘ฟัน’ ซี่เล็กที่เพิ่งงอกสี่ซี่กินอาหาร ‘หมุบหมับ‘ ออกเสียงอ้อแอ้ “อาเนะเน้” อาหารที่ท่านพ่อคนงามเป็นคนทำอร่อยมาก เสี่ยวเป่าอยากกินทั้งหมด…
“ตั้งใจทาน” เยี่ยนอวี๋ไม่ตามใจเจ้าก้อนน้อย
เยี่ยนเสี่ยวเป่าทำได้เพียงทานอาการที่ท่านพ่อของเขาป้อนให้ อาหารหลากหลายอย่างอื่นนั้นเขาได้แต่มองดู อิจฉาท่านแม่จัง…ในชามของท่านแม่มีของอร่อยเยอะที่สุดเลย…
และในขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังทานอาหารนอกสถานที่กันอยู่นั้นทางสำนักชางอู๋ก็กำลังรับพระราชเสาวนีย์
“ยังไม่รีบรับพระราชเสาวนีย์อีกรึ” ผู้ดูแลที่รับคำสั่งของประมุขสำนักเหยาไถเซียนให้มาดำเนินการเรื่องการสู่ขออดเอ่ยถามออกมาไม่ได้หลังผ่านไปเนิ่นนานแล้วสำนักชางอู๋ยังไม่มีใครมารับพระเสาวนีย์
ประมุขหอสัตว์บรรพกาลที่เป็นตัวแทนเยี่ยนชิงออกมารับพระเสาวนีย์งุนงง งงมากจริงๆ “ไม่ใช่ พระเสาวนีย์นี้มีอะไรผิดพลาดหรือไม่”
“บังอาจ!” ขันทีในราชสำนักที่มาเพื่อถ่ายทอดพระเสาวนีย์คำราม “นี่เจ้ากำลังสงสัยในฐานะของข้าอย่างนั้นหรือ?!”