ประมุขหอโอสถที่ค่อนข้างมีอายุหน่อยรีบอธิบาย “พวกข้าล้วนไม่มีความคิดเช่นนี้ เพียงแต่พระเสาวนีย์นี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกข้าสำนักชางอู๋เป็นเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวท่านเจ้าสำนักและท่านเจ้าสำนักของพวกข้าตอนนี้กำลังกักตนบำเพ็ญอยู่ พวกเราไม่สะดวกรับพระเสาวนีย์แทนจริงๆ”
แต่ผู้ดูแลสำนักเหยาไถเซียนผู้นั้นกลับกล่าวว่า “อย่างนั้นก็เชิญผู้อาวุโสเยี่ยนฉี่ซานออกมารับพระเสาวนีย์”
“งั้นทุกท่านโปรดรอสักครู่” ประมุขหอโอสถเข้าใจดีว่าผู้มาไม่ประสงค์ดีจำต้องรีบไปเชิญเจ้าสำนักรุ่นก่อนมาจึงจะสามารถยับยั้งสถานการณ์ได้
แต่ประมุขหอสัตว์บรรพกาลกลับไม่ยอม “ไม่ใช่สิ ข้ายังไม่เข้าใจ คุณหนูใหญ่ของเราไม่ใช่ว่าหมั้นหมายกับนายน้อยอินแล้วหรอกหรือ พระเสาวนีย์นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าต้องการจะบีบให้ผู้อื่นแต่งกับสามีสองคนหรือไร”
“พอแล้ว เหนียงเหนียงผู้นี้เห็นชัดว่าหนุนหลังพี่ชายของนาง เจ้าก็อย่าทำเป็นไขสือหน่อยเลย” ประมุขหอราชทัณฑ์เอ่ยเตือนประมุขหอสัตว์บรรพกาล ‘เสียงเบา’
แต่ว่าเสียงของเขานี้ย่อมดังพอให้คนของสำนักเหยาไถเซียนได้ยินแน่นอน ดังนั้นสีหน้าของคนที่มาจากเมืองหลวงกลุ่มนี้ย่อมย่ำแย่เป็นธรรมดา
แต่ประมุขหอสัตว์บรรพกาลบางคนกลับยังคงพูดต่อ “เหนียงเหนียงนั่นช่างหน้าไม่อายจริงๆ!”
คนของสำนักเหยาไถเซียน “…”
“แค่ก!”
ขันทีในราชสำนักที่กระแอมเสียงหนักผู้นั้นอดเอ่ยไม่ได้ว่า “ว่าร้ายเหนียงเหนียง มีโทษหนักนะ!”
“ชิ!”
ลูกพี่ใหญ่แห่งหอสัตว์บรรพกาลแค่นเสียงดูถูกอย่างไม่พอใจเสียงหนึ่ง ความจริงแล้วเขาอยากจะไล่ตะเพิดคนกลุ่มนี้ออกไปซะ
ความเป็นจริงแล้ว…
เมื่อเยี่ยนชิงที่กำลัง ‘กักตน’ ได้ยินข่าวเขาก็คิดเช่นนี้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนหงชวนดึงเอาไว้แล้วล่ะก็เขาออกไปไล่ตะเพิดพวกนั้นแล้ว “ท่านปู่ท่านดึงข้าไว้ทำไม”
“อย่าวู่วามไป” เยี่ยนหงชวนถอนใจ “เจ้าไปหาที่โยวตูตั้งหลายเดือนแล้วยังหาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่พบ ตอนนี้พระเสาวนีย์นี่ยังส่งมาที่สำนักชางอู๋อีก นั่นหมายความว่าอย่างไรเล่า”
“ข้าสนที่ไหนว่ามันหมายความว่าอย่างไร! กู้หยวนเหิงเจ้าสุนัขนั่นคิดจะสู่ขอเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ไม่มีทางซะหรอก! กับอีแค่พระเสาวนีย์ ต่อให้เป็นพระราชโองการข้าก็ไม่เห็นด้วย!” เยี่ยนชิงระเบิดอารมณ์
ส่วนชุ่ยชุ่ยที่หลังจากได้ยินข่าวแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก “นายท่านเจ้าสำนัก อย่างนั้นจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ พระเสาวนีย์เลวร้ายเช่นนี้ คุณหนูใหญ่จะทำอย่างไรเล่า”
“ก็ต้องไม่แต่งอยู่แล้ว!” เยี่ยนชิงกัดฟันเอ่ยแน่วแน่
เยี่ยนหงชวนเองก็ไม่อาจให้เหลนสาวแต่งให้กับเจ้าเศษสวะนั่นอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเหลนสาวยิ่งกว่าจึงตัดสินใจจะลองออกไปหยั่งเชิงดูสักหน่อย
“ท่านปู่! ท่านห้ามตอบตกลงเด็ดขาดนะ! ไม่เช่นนั้น… ” เยี่ยนชิงกัดฟันกรอด “อย่าโทษข้าหากข้าต่อต้านตระกูล!”
เยี่ยนหงชวนหยุดฝีเท้าหันกลับไปฟาดเจ้าหลานเฒ่านี่ “อย่างเจ้าน่ะรึจะทำตัวปีกกล้าขาแข็ง”
“หึ!” เยี่ยนชิงลูบหัวที่บวมปูดอย่างขุ่นเคืองสุดประมาณ ลูกสาวที่รักก็หาไม่พบ ไม่มีข่าวคราวก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ยังมีพระราชเสาวนีย์น่ารำคาญนี่อีก คิดแล้วก็หงุดหงิดนัก!
ไม่รู้เลยว่า…
ลูกสาวสุดที่รักของเขานั้นตอนนี้ได้ ‘ปรากฏกาย’ สู่โลกอีกครั้งแล้ว
เมื่อตะวันสาดส่องลงบนใบหน้าของทุกคนหลังจากห่างหายไปนาน ผู้ที่ดีใจมากที่สุดก็คือเยี่ยนเสี่ยวเป่า “อ้ะเน้ะเนะ!” เขาที่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแสดงออกว่าชื่นชอบแสงแดดนี้มากกว่าใคร
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ไม่ต้องสวมเสื้อคลุมหนาๆ อีกแล้ว เสื้อตัวในที่ค่อนข้างหลวมนั้นไม่กระทบต่อการโลดเต้นของเขาแม้แต่น้อยย่อมถูกใจเขาเป็นธรรมดา
“นาย…นายน้อย!?” ทหารของโยวตูที่ถูกกำหนดให้มาลาดตระเวนบริเวณแม่น้ำเย่ว์หมิงเมื่อได้เห็นคณะของอินหลิวเฟิงก็พลันเบิกตากว้างตามสัญชาตญาณ แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากศึกเมื่อสามเดือนก่อนนั้น ความเสียหายของกองทัพของโยวตูนั้นไม่มาก แต่เฉาหมิงเฉิงและพวกทหารราชสำนักกลับถูกฟ้าผ่า ทั้งตายและบาดเจ็บนับไม่ถ้วนทำให้ความวุ่นวายครั้งนั้นจบลงทั้งอย่างนั้น
และยังมีจวินอั้นเทียนคอยดูแลอยู่ ประกอบกับตัวอินสวินอี้เองยามอยู่จวนอ๋องเองก็เป็นคนมีบารมีและเส้นสายมาก โยวตูในยามนี้จึงกลับคืนสู่ความสงบ ไม่ได้ถูกราชสำนักควบคุมเอาไว้
นี่เป็นผลลัพธ์อันล้มเหลวของหยวนคังฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดจะเคลื่อนทัพใหญ่มากวาดล้างโยวตูที่เป็นเนื้อร้ายทางด้านนี้ แต่จนถึงบัดนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทุกอันของโยวตูไม่อาจใช้การได้เพราะถูกฟ้าผ่าในครั้งนั้นทำให้ห้วงอากาศไม่เสถียรเป็นอย่างมาก
ดังนั้นพวกกองทหารที่เพิ่งมาถึงเมื่อเห็นอินหลิวเฟิงก็พากันตื่นเต้นจนคุกเข่าลง “นายน้อย! นายน้อยท่านกลับมาแล้ว! ท่านอ๋อง ท่าน…”
“พ่อข้าเป็นอะไรไป” ถึงแม้อินหลิวเฟิงจะพอรู้สถานการณ์ปัจจุบันคร่าวๆ มาจากเยี่ยนอวี๋บ้างแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าบิดาของเขาและคนตระกูลอินถูก ‘เชิญ’ ไปยังเมืองหลวง เพราะเยี่ยนอวี๋เองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน
“เพื่อไม่ให้ราชวงศ์มีข้ออ้างในการเคลื่อนทัพ ท่านอ๋องจึงถูกคนของรางสำนักบังคับพาตัวไปยังเมืองหลวงตั้งแต่สามเดือนก่อนแล้วขอรับ จนบัดนี้ยังไม่กลับมาเลย” กองทหารที่ลาดตระเวนริมแม่น้ำเย่ว์หมิงล้วนเป็นทหารที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น ในใจย่อมรู้สึกหนักอึ้งเป็นธรรมดา
พวกเขารู้ดีว่าที่ท่านอ๋องของพวกเขาไปยังเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพื่อแลกโอกาสให้กับโยวตู ไม่เช่นนั้นกองทัพโยวตูที่เพิ่งประสบกับอุทกภัยคงไม่อาจต้านทานกำลังของทัพใหญ่ราชสำนักได้
ท่านอ๋องทำสำเร็จแล้ว แต่ว่า…
“นายน้อย ท่านต้องไปช่วยท่านอ๋องนะขอรับ” ในดวงตาของกองทหารที่พากันคุกเข่าลงคลอคลองไปด้วยน้ำตา ในตอนนั้นพวกเขาทรมานใจมากจริงๆ พวกเขาอยากก่อกบฏมากเพียงไหนแต่ก็ไม่อาจทำได้
อินหลิวเฟิงที่ได้ยินข่าวนี้ก็ประคองให้เหล่าทหารลุกขึ้น ถึงแม้จะคาดการณ์เอาไว้แล้วแต่กลับให้สัญญาอย่างจริงจัง “พวกเจ้าวางใจได้ ข้าจะต้องพาท่านพ่อกลับมาให้ได้”
“นายน้อย…” หัวหน้าทหารที่เป็นผู้นำอ้ำอึ้งแต่ก็จำต้องพูดว่า “พวกท่านต้องรักษาตัวให้ดี โยวตูของพวกเรา…” ไม่อาจไร้ผู้นำได้
อินหลิวเฟิงรู้ดีจึงไม่ได้ต่อคำเพียงถามว่า “ตอนนี้เจ้าสำนักจวินคอยดูแลโยวตูอยู่ใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“พาข้าไปพบเขา” อินหลิวเฟิงอยากรู้รายละเอียดของเรื่องราว
จวินอั้นหยวนที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยปลอบใจออกมาในตอนนี้ “มีศิษย์พี่เจ้าสำนักอยู่ ไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
ศิษย์คนอื่นของสำนักพากันพยักหน้า พวกเขาพากันออกมาหลังจากที่เยี่ยนอวี๋เริ่มการผนึกจึงได้รู้เรื่องที่ด้านนอกเกือบจะมีการ ‘ผลัดแผ่นดิน’ กันแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักจวินจื่อหรือว่าจวินอั้นหยวน หลังจากที่เกิดการผนึกพวกเขาล้วนได้รับการชำระล้างจนจิตวิญญาณห้าธาตุได้รับประโยชน์มหาศาล
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เหมือนกับพวกจวินฮวนที่พลังบำเพ็ญก้าวกระโดดแต่ก็ล้วนก้าวหน้าในระดับหนึ่ง ถือว่าได้รับรางวัลชั้นยอดเลยทีเดียว
หลังจากจวินอั้นเทียนเห็นพวกอินหลิวเฟิงก็ยืนขึ้นอย่างตกตะลึงทันที “พวกเจ้า…”
“ศิษย์พี่”
“อาจารย์!”
“เจ้าสำนัก…”
ทั้งคณะที่เห็นว่าอาการของจวินอั้นเทียนไม่สู้ดีนักสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปพากันเอ่ยถามเสียงดังเซ็งแซ่ไม่หยุด ถามจนจวินอั้นเทียนต้องรีบยกมือให้หยุด “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเจ้านั่งก่อน”
พูดถึงตรงนี้จวินอั้นเทียนก็เห็นกลุ่มคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง โดยเฉพาะในกลุ่มนั้นยังมีหนึ่งหญิงหนึ่งชายที่ดูโดดเด่นมาก “สองท่านนี้คงจะเป็นปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและต้าซือมิ่งสินะ”
“ใช่แล้ว” อินหลิวเฟิงกำลังจะเอ่ยแนะนำสักรอบ
แต่จวินอั้นเทียนกลับคุกเข่าลงไปเสียแล้ว “ผู้แซ่จวินขอเป็นตัวแทนโยวตู ขอบพระคุณทั้งสองท่าน!”
ถึงแม้ว่าจวินอั้นเทียนจะไม่รู้เรื่องราวมากนัก แต่หลังจากได้พบกับมือกระบี่เฒ่าก็สามารถยืนยันได้ว่าที่โยวตูรอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้ต้องเป็นเพราะปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนท่านนี้อย่างแน่นอน
ไม่ว่าอย่างไร…ขอบคุณทั้งสองท่านนี้ไว้ไม่มีทางผิดแน่นอน!
เมื่อจวินอั้นเทียนคุกเข่าลง ศิษย์สำนักจวินจื่อย่อมคุกเข่าลงตามไปด้วย
“อ้ะเน้ะ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่งุนงงมองจนตาค้างไปหมด เขาหันไปมองท่านแม่ด้วยความไม่เข้าใจและหันไปมองท่านพ่อต่อ “อ้ะเนะเน้ะ?” เหตุใดต้องคุกเข่ากันด้วย?
ต้าซือมิ่งหรงที่อุ้มเจ้าก้อนน้อยอยู่หลุบมองทั้งยังขยิบตาให้เจ้าตัวน้อยสื่อว่าเขาไม่จำเป็นต้องสนใจ เจ้าก้อนน้อยจึงขยิบตาตาม “อ้ะเน้ะ?” ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
เยี่ยนอวี๋ที่มองสองพ่อลูกอยู่ด้านข้างทำได้เพียงเป็นตัวแทนบอกให้จวินอั้นเทียนลุกขึ้น “เจ้าสำนักจวินไม่ต้องเกรงใจ แค่พลอยมือเท่านั้น”
หัวใจจวินอั้นเทียนสั่นสะท้าน! คิดไม่ถึงว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการ ‘พลอยมือ’ เท่านั้น
เขาไม่คิดว่าปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนผู้นี้กำลังคุยโว มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือนางแค่ ‘พลอยมือ‘ จริงๆ ถ้าอย่างนั้น…
จวินอั้นเทียนไม่อาจคิดมากต่อไปได้อีกเพราะเขาไม่อาจจินตนาการได้อีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อเขายืนขึ้นก็รีบเอ่ยเรื่องหนึ่งออกมาทันที “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ข้าเพิ่งได้รับข่าวที่เกี่ยวกับท่านมาพอดี”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก
จวินอั้นเทียนกลับเอ่ยว่า “ฮองเฮาองค์ใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งนั้นมีพระเสาวนีย์แก่ท่าน ไม่ว่าเป็นหรือตายล้วนต้องแต่งให้กับกู้ชีหลาง แต่งเข้าสำนักเหยาไถเซียน”
“เชี่ย!” อินหลิวเฟิงรู้สึก…ในปากมีแต่คำสบถด่าเต็มไปหมด!
เจ้ากู้หยวนเหิงผู้นี้ เขาช่างแข็งแกร่งเสียจริงนะ! เอาอีกแล้ว
คราวนี้…
ไม่เพียงแต่อินหลิวเฟิงเท่านั้นที่ระเบิดอารมณ์
ต้าซือมิ่งบางคนก็เอ่ยถามว่า “ฮองเฮาคือผู้ใด”
“ทั้งสองท่านคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว นางก็คือพี่สาวคนโตของกู้ชีหลาง อดีตเซ่าซือมิ่งกู้แห่งตำหนักซือมิ่ง กู้หยวนซูนั่นเอง” จวินอั้นเทียนตอบกลับ
“นางนี่ช่าง…” เมื่อเยี่ยนจื่อเสาได้ยินชื่อของหญิงผู้นี้ ใบหน้าก็ดำคล้ำทันที “นางนี่ไม่ยอมแพ้จนวินาทีสุดท้ายเลยจริงๆ นะ แต่ว่าข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อนางได้เป็นถึงฮองเฮาแล้ว เหตุใดยังต้องผูกใจเจ็บกับน้องเล็กอยู่อีก”
“ไม่ได้ครอบครองจึงทำลายทิ้งอย่างไรเล่า!” เอ้อร์เหมาเอ่ย หญิงใจอำมหิตเช่นนี้เขาพบเจอมาไม่น้อยเลย
เม่ยเอ๋อร์โกรธมาก “ตอนแรกน่าจะสังหารนางซะ!”
“พระเสาวนีย์มีลงมาเมื่อไหร่หรือ” จวินอั้นหยวนที่ค่อนข้างกระจ่างในสถานการณ์เอ่ยถาม
“แม้เพิ่งประกาศต่อใต้หล้า แต่มีรายงานว่าผู้ที่ทำหน้าที่สู่ขอของสำนักเหยาไถเซียนออกเดินทางล่วงหน้าไปนานแล้ว ยามนี้คงจะไปถึงสำนักชางอู๋พร้อมพระเสาวนีย์แล้ว” ข่าวของจวินอั้นเทียนนั้นแม่นยำมาก
ต้าซือมิ่งบางคนจึงเอ่ยว่า “กลับสำนักตอนนี้เลย”