“…”
ต้าซือมิ่งที่รับเอาพระเสาวนีย์ที่ว่ามาทำลายพระเสาวนีย์สีแดงสดที่อยู่ในมือม้วนนั้นอย่างเงียบเชียบจนมันสลายหายไป
“…”
ชั่วขณะนั้นในตำหนักพลันเงียบงันไร้เสียง
แม้จะบอกว่านี่เป็นภาพที่สำนักชางอู๋บนล่างล้วนอยากเห็น แต่ภาพแห่งความสะใจนี่มาไวเกินไป ทุกคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ
“ต้า ต้าซือมิ่ง…”
ขันทีจากราชสำนักที่รับหน้าที่มาถ่ายทอดราชโองการขาอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้น เขาไม่ได้กลัวว่าเมื่อกลับไปแล้วจะหาข้อแก้ตัวไม่ได้แต่กลัวว่าต้าซือมิ่งผู้นี้จะทำให้เขาสลายหายไปเหมือนกับพระเสาวนีย์นั่น
กลับเป็น ‘ผู้ไม่รู้ย่อมไร้ความกลัว’ อย่างผู้ดูแลสำนักเหยาไถเซียนที่กล้าเอ่ยวาจาออกมา “ต้า ต้าซือมิ่ง ท่าน ท่านจะโอหังเกินไปแล้วหรือไม่ นี่ นี่มันพระเสาวนีย์ขององค์ฮองเฮาเชียวนะ!”
ผู้ดูแลสำนักเหยาไถเซียนที่นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่ของสำนักกลายเป็นฮองเฮาที่สูงส่งที่สุดแห่งราชสำนักแสดงท่าทีวางก้ามออกมาทันที เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เคยได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของต้าซือมิ่งมาก่อน แต่กลับลืมไปว่าเมื่อครู่เขาถูกคนผู้นี้ทำให้ตกใจจนต้องคุกเข่า…
แต่ไม่นานเขาก็ได้ตระหนักรู้ความแข็งแกร่งของต้าซือมิ่งบางคนแล้ว! เพราะเขากำลังค่อยๆ สลายหายไป แม้ไม่เจ็บปวดแต่คนข้างๆ ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า…เขากำลังสลายหายไป
ภาพเช่นนี้…ทำให้ขันทีจากราชสำนักตกใจจนลืมหายใจ “ผู้ ผู้ดูแลกู้! ท่าน ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้าหรือ?”
ผู้ดูแลแห่งสำนักเหยาไถเซียนยังคงงุนงงอยู่ เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ แต่กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตกำลังค่อยๆ ถดถอย เดิมเขาคิดว่าเป็นภาพลวงตาเสียอีก
แต่ว่า…มันไม่ใช่
ผู้ดูแลท่านนี้ที่เพิ่งเห็นว่ามือและร่างกายช่วงล่างของตนล้วนสลายหายไปตกใจจนหน้าถอดสี “ข้า ข้าเป็นอะไรไป?”
“ท่านผู้ดูแล!”
คนของสำนักเหยาไถเซียนล้วนตกตะลึงไปกันหมดแล้ว มีคนคิดจะเข้าไปหวังดึงท่านผู้ดูแลสำนัก ปรากฏว่าพวกเขาเพิ่งจะสัมผัสถูกท่านผู้ดูแลเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าไปเสียแล้ว
“…”
ในตำหนักเงียบสงัดอีกครั้ง
ครั้งนี้ส่วนมากเป็นเพราะตกใจ
เพราะไม่มีใครเห็นเลยด้วยซ้ำว่าต้าซือมิ่งเป็นผู้ลงมือ!
นี่ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมเสียอีก! นี่มัน…
นี่มันวิธีสังหารคนของเทพเซียนชัดๆ ไร้เสียงไร้ร่องรอย สะอาดหมดจดไม่เหลือซาก
นี่มัน…
“ข้าน้อยขอตัวลาก่อน ข้าน้อยจะกลับไปแจ้งทางวังหลวง!” ขันทีจากราชสำนักที่ล้มลุกคลุกคลานออกไปทิ้งรอยน้ำเอาไว้ตามทางที่คลานผ่าน เหงื่อไหลพรากราวกับฝนตกอย่างนั้น
ท่ามกลางความตกตะลึงนั้นหากไม่ใช่เพราะคิดขึ้นได้ว่า ในราชสำนักปีนั้นหลังจากมีคนตกใจจนฉี่ราดแล้วก็เหมือนจะสลายหายไปกลางอากาศเช่นกัน ขันทีผู้นี้จะต้องกลั้นไม่ไหวจนฉี่ราดออกมาแน่ๆ
แต่ตอนนี้เขาต้องกลั้นเอาไว้! เป็นตายอย่างไรก็ต้องกลั้นไว้ให้ได้! กลั้นไว้!…
และแล้วเรื่องราวก็พิสูจน์ออกมาแล้วว่าขันทีผู้นี้เป็นผู้มีอนาคตไกล เพราะคนของสำนักเหยาไถเซียนบางส่วนที่กลั้นฉี่ไม่ไหวล้วนถูกเก็บกวาดไปทั้งหมดจริงๆ ทำเอาคนของสำนักเหยาไถเซียนตกใจจนร้องไห้ไปพลางกลิ้งไปพลาง คลานออกจากสำนักชางอู๋
“โฮ”
คนกลุ่มนี้ทั้งกลิ้งทั้งร้องอย่างน่าอนาถ พวกเขาล้วนถูกทำให้ตกใจเสียจนไม่อาจหยัดกายให้ตรงเพื่อเดินออกไปได้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องการใช้ตบะเพื่อให้วิ่งเร็วขึ้นเลย พวกเขาหลงเหลือเพียงสัญชาตญาณในการกลิ้งล้มลุกคลุกคลานเท่านั้น
“อ้ะเน้ะ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองไปทางท่านพ่อของเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ แล้วหันมองไปทางกลุ่มคนที่เรียงแถวกลิ้งออกไป พลันดีอกดีใจขึ้นมา “อ้ะเน้ะ! อ้ะเน้ะเนะ…” คนเหล่านี้โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักเดินเองอีก ไม่เก่งเหมือนเสี่ยวเป่า! เสี่ยวเป่ายืนได้แล้วนะ…
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่คิดเช่นนี้โผไปทางท่านพ่อของเขา “อ้ะเน้ะเนะ!”
ต้าซือมิ่งที่ยกมือขึ้นประคองหัวโล้นน้อยๆ ของเจ้าก้อนน้อยเอาไว้เข้าใจเจ้าก้อนน้อยเป็นอย่างดี “อืม พวกเขาล้วนเป็นเศษสวะ เสี่ยวเป่ายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”
“อ้ะเน้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้าพร้อมยิ้มตาหยี จากน้ำหนักหลัก ‘ตัน’ ของเขาในตอนนี้ เมื่อยิ้มเช่นนี้ก็ราวกับพระสังกัจจายน์น้อยๆ องค์หนึ่ง น่ารักกว่าเมื่อก่อนมาก
เยี่ยนอวี๋มองดูจนอดบีบแก้มอ้วนๆ ของเจ้าก้อนน้อยไม่ได้ “เจ้านี่นะ”
“อ้ะเน้ะเนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่จับมือท่านแม่เอาไว้ด้วยมือเดียว ยังใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อขอรางวัลและคำชมเชยจากท่านแม่ของเขา
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกเจ้าก้อนน้อยหยอกล้ออดไม่ได้หอมเจ้าก้อนน้อยไปหลายฟอด “จ้ะ เสี่ยวเป่าเก่งที่สุดแล้ว!”
“คิก”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าดีใจมากจนกลิ้งไปมาอยู่ในอกท่านตา
แต่เยี่ยนชิงกลับไม่เข้าใจ “ไม่ใช่สิ เสี่ยวเป่าดีใจเรื่องอะไรหรือ?” อภัยด้วยที่เขาอายุมากแล้วไม่อาจเข้าใจเรื่องที่ทำให้เด็กน้อยดีใจได้
“เสี่ยวเป่าช่วงนี้เริ่มหัดยืนแล้ว แถมยังเดินได้สองก้าวแล้วด้วย พอมาเห็นคนกลุ่มนั้นเดินไม่เป็น ไม่เก่งเท่ากับเขาก็เลยดีใจเป็นอย่างมาก” เยี่ยนจื่อเสานวดหัวคิ้วอธิบายอยู่ด้านข้าง
“อ้า! อ้ะเน้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าให้ความร่วมมือด้วยการพยักหน้า
เยี่ยนชิง “…”
เขามองหลานชายจ้ำม่ำในอ้อมกอดแล้วมองไปทางคนของสำนักเหยาไถเซียนที่ยิ่งมายิ่งร้องไห้อย่างอเนจอนาถขึ้นเรื่อยๆ ก็อดหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้
เจ้าเด็กคนนี้…
“พรืด!”
“ฮ่าๆๆ!”
“จะว่าไปมันก็จริงอยู่นะ!”
ประมุขสำนักชางอู๋ เหล่าผู้อาวุโสในตำหนักใหญ่ล้วนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อคิดไปถึงท่าทางราวกับเซียนสูงส่งที่ลอยลงมาจากตำหนักสวรรค์ของคนสำนักเหยาไถเซียนตอนก้าวเข้ามาพวกเขาก็ยิ่งอยากหัวเราะมากกว่าเดิม
แต่สิ่งที่ทุกคนในที่นั้นไม่รู้นั่นก็คือในเวลาเดียวกับที่ต้าซือมิ่งบางคนทำลายพระเสาวนีย์นั้น พระเสาวนีย์อีกฉบับที่เก็บอยู่ในกรมพิธีการของเมืองหลวงก็ได้สูญสลายไปพร้อมๆ กัน ทำเอาขุนนางกรมพิธีการที่กำลังจัดระเบียบสิ่งของอยู่นั้นตกตะลึงจนตาค้าง
…
สำนักชางอู๋
เยี่ยนอวี๋ได้จัดแจงแนะนำต้าซือมิ่งอีกครั้ง “หรงอี้ ต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซือมิ่ง บิดาแท้ๆ ของเสี่ยวเป่า ก่อนที่เขาจะได้พบกับเสี่ยวเป่านั้น เขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวเป่ามาก่อน”
“อ้า!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ารีบส่งเสียงออกมาทันที ราวกับสนับสนุนคำพูดของท่านแม่ของเขา
แม้เยี่ยนชิงจะเต็มไปด้วยคำถามมากมายแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกมาต่อหน้าผู้คน เพียงคะเนน้ำหนักของหลานชายตัวน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “ว่าไปแล้ว ผ่านไปไม่กี่เดือนเสี่ยวเป่าโตขึ้นเยอะจริงๆ ข้ายังกังวลว่าหลังจากออกไปแล้วเสี่ยวเป่ายังเล็กจะไม่คุ้นชินเสียอีก”
“อ้ะเน้ะเนะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยายามสื่อว่าเสี่ยวเป่าโตโต ทั้งยังพูดว่า “พ่อ! พ่อ…พะ…อ้ะเน้ะเนะ…”
“หมายความว่าอย่างไรรึ?” เยี่ยนชิงยังต้องการการแปลภาษาอยู่
เยี่ยนจื่อเสาคาดเดา “น่าจะพูดว่าท่านพ่อให้เขากินของดีๆ”
เยี่ยนชิงฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับชี้มือป้อมไปอย่างดีอกดีใจ “พ่อ! พ่อ…”
“เจ้านี่นะ!” เยี่ยนอวี๋บีบหน้าของเจ้าก้อนน้อยอีกครั้ง นางไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ เพื่อทำคะแนนให้ท่านพ่อของตนเจ้าก้อนน้อยทุ่มสุดตัวแล้วจริงๆ
หลังจากที่เยี่ยนเสี่ยวเป่าขายความเป็นเด็กดีเชื่อฟังเสร็จก็ยื่นมือเล็กป้อมไปทางท่านพ่อของเขา “พ่อ! กิง…” แสดงท่าทีว่าอยากขอของกินและคำชมจากท่านพ่อ
หรงอี้รับเจ้าก้อนน้อยมาแต่กลับไม่ได้เตรียมอาหารออกมาป้อนเขา “เพิ่งจะกินไป ต้องรอก่อนนะ”
“เน้ะ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้าพลางซบลงในอ้อมกอดของท่านพ่อ ท่าทางรักใคร่ท่านพ่อเป็นอย่างมาก
เยี่ยนชิงที่มองดูจนถึงตรงนี้กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ยังคงเป็นเยี่ยนจื่อเสาที่เอ่ยถามเขา “ท่านพ่อรู้สึกว่าต้าซือมิ่งผู้นี้เหมือนพ่อนมคนหนึ่งใช่หรือไม่”
เยี่ยนชิงพยักหน้าตามสัญชาตญาณแล้วหยุดชะงักจากนั้นก็ถลึงตาใส่ลูกชาย
เยี่ยนจื่อเสาลูบๆ จมูกแล้วเงียบไป เขาเองก็ช่วยได้เท่านี้แหละ
“หา อะไรนะ หอสัตว์บรรพกาลของพวกเรายังมีธุระให้จัดการ คุณหนูใหญ่กลับมาทั้งที เจ้าสำนักพวกท่านคนในครอบครัวก็คุยกันไป ข้าจะกลับก่อนแล้ว” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลคนหยาบผู้นี้ บัดนี้กลับรู้สึกขึ้นมาได้อย่างฉับไวว่าควรจะแยกย้ายได้แล้ว!
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เจ้าสำนัก อดีตเจ้าสำนัก พวกข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” ประมุขหอโอสถและคนอื่นๆ ล้วนเป็นพวกนกรู้จึงรีบพาคนของตนจากไปอย่างว่องไว
แม้ว่าพวกเขาเองก็สงสัยว่าระหว่างคุณหนูใหญ่และต้าซือมิ่งผู้นี้เรื่องราวเป็นมายังไงกันแน่ สรุปว่าต้าซือมิ่งใช่เขยขวัญของสำนักชางอู๋หรือไม่ แต่ว่า…
ทุกคนที่คิดถึงวิธีการที่ต้าซือมิ่งผู้นี้ใช้เมื่อครู่ก็ไม่กล้ารั้งอยู่อีกต่อไป ทำได้แค่รอสอบถามสถานการณ์คราวหน้าแล้ว! เฮ้อ ความรู้สึกที่มีเรื่องใหญ่แต่ไม่อาจมุงดูได้นี่มันช่างชวนให้คนร้อนใจจริงๆ
และเมื่อคนกลุ่มนี้จากไป เยี่ยนชิงก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ “สรุปว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เยี่ยนอวี๋เดิมอยากอธิบายแต่ตัวนางเอก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน
ส่วนต้าซือมิ่งนั้น…
ตอนนั้นเขายังคิดว่าตนเองเป็นเพียงเด็กชาย แน่นอนว่าเขายิ่งไม่รู้
ดังนั้น…
ต้าซือมิ่งแสดงออกอย่างจริงใจ “เมื่อหนึ่งปีก่อนเขยได้มาที่สำนักชางอู๋และในวันที่มาถึงนั้นเพราะร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงมีหลายเรื่องที่จำไม่ได้ น่าจะถูกเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เก็บได้ขอรับ”
“หลังจากนั้นเจ้าก็เลยรังแกเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าเยี่ยนชิงถมึงทึงรู้สึกเหมือนกำลังฟังนิทานตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นเรื่องหนึ่งอยู่
แต่เม่ยเอ๋อร์กลับเอ่ยว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ! เพราะคุณหนูใหญ่รู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ดีจึงได้ลบความทรงจำของเขาและทิ้งเขาต่างหาก! ดังนั้นนายท่าน ท่านอย่าถูกเขาหลอกเอานะเจ้าคะ เขาดูแล้วเหมือนเป็นคนดีมีคุณธรรมแต่ความจริงแล้วจิตใจเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก!”
เม่ยเอ๋อร์ที่ดูมาจนถึงตอนนี้ไม่อาจยอมรับลูกไม้ตบตาของต้าซือมิ่งได้อีกต่อไป นางคิดว่าในฐานะข้ารับใช้ผู้จงรักภักดีนางจะต้องเอ่ยเตือนสติทุกคนถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของต้าซือมิ่งจอมเจ้าเล่ห์นี่!
และเพราะปริมาณข้อมูลนี้ของนางมหาศาลเกินไปทำให้เยี่ยนหงชวนที่ยกชามาดื่มสำลักจนน้ำตาไหลออกมา “แค่กๆๆ!… ” นี่มัน…สถานการณ์อะไรกัน?
ต้าซือมิ่งบางคนกลับใจเย็น ยอมรับอย่างน้อยใจว่า “คงจะเป็นเช่นนี้ หลังถูกทิ้งเขยก็ไม่รู้อะไรเลยและยังไม่รู้ด้วยว่าทำสิ่งใดให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่พอใจ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จึงไม่ต้องการข้า”
เยี่ยนชิง “…?”
“ก็ต้องเป็นเพราะใช้การไม่ได้อย่างไรเล่า!” เม่ยเอ๋อร์คิดว่าอย่างไรคุณหนูใหญ่ก็ล้วนถูกต้อง ที่คุณหนูใหญ่ไม่ต้องการเขาต้องเป็นเพราะคนผู้นี้ใช้ไม่ได้เป็นแน่ และคนผู้นี้ก็ใช้ไม่ได้จริงๆ จิตใจเจ้าเล่ห์นัก!
จากนั้น…
เยี่ยนเสี่ยวเป่าพลันส่งเสียงร้องงุนงงออกมา ราวกับเขานี่แหละที่เป็น ‘หลักฐานชิ้นเอก’