วี้ดด
เสียงสัตว์เทพในตำนานลงมาจุติ ณ ชางอู๋ดังก้องไปทั่วทั้งต้าซย่า
เพียงแต่คนที่สามารถคาดเดาเรื่องราวได้กลับมีไม่มากนัก เพราะใครจะคาดคิดว่าสัตว์เทพในตำนานที่เล่าลือกันว่าบินขึ้นไปยังแดนเทพแล้วนั้นจะมาจุติยังโลกมนุษย์อีกครั้ง?
แม้จะมีคนคิดถึงแต่ก็คงไม่กล้าจินตนาการ! กว่าครึ่งคงคิดว่าตนเองคิดมากไปเอง
อีกทั้งเพราะเป็นสำนักชางอู๋จึงยิ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
วันก่อนมีผู้ยิ่งใหญ่มาเยือนชางอู๋ วันนี้หงส์เพลิงมาเกาะที่ต้นอู๋ถง
มีปฐมราชินีหยวนชูอย่างเยี่ยนอวี๋ผู้นี้อยู่ การที่สำนักชางอู๋ปรากฏความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
…
“นี่ข้า…”
เยี่ยนหงชวนที่ได้มาเป็นประจักษ์พยานอยู่ในเหตุการณ์สำคัญกุมหัวใจแก่ๆ ของตนไว้ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้ตนจะได้มาเห็นว่าสิ่งใดเรียกว่าตำนาน
และเยี่ยนชิงที่ในนาทีนี้เพิ่งเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าลูกสาวสุดที่รักของตนไม่อาจเทียบในวันวานอีกต่อไปแล้วกุมไหล่ของต้าซือมิ่งบางคนเอาไว้ “จำคำของเจ้าไว้ จะต้องให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์สุขสงบไปชั่วชีวิต”
ในขณะที่คนอื่นกำลังทอดถอนใจกับความแข็งแกร่งของเยี่ยนอวี๋นั้น บิดาชรากลับรู้สึกกังวลอย่างมาก เขารู้ดีว่ายิ่งพลังมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย เพราะอย่างไรในใต้หล้านี้ก็ไม่เคยมีเกียรติยศใดที่ได้มาอย่าง่ายดาย ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนเสมอ
เยี่ยนชิงกลัวว่า เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขา…
ไม่รอให้เยี่ยนชิงกังวลต่อไป ต้าซือมิ่งบางคนก็พยักหน้าแล้ว “ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นสามีไปทำไมกัน”
“หึ” เยี่ยนชิงหัวเราะออกมาแล้ว เจ้าลูกเขยคนนี้เข้าใจพูด เขากลับไม่รู้สึกต่อต้านมากขนาดนั้นแล้ว
นั่นสิ!
สามีในอุดมคติควรเป็นเช่นนี้!
หากไม่อาจปกป้องภรรยาที่รักได้ ยังจะเป็นสามีไปทำไมอีก
“จำคำที่เจ้าพูดในวันนี้ไว้ให้ดี” เยี่ยนชิงตบไหล่ต้าซือมิ่ง อดหวนนึกถึงปีนั้นไม่ได้ น่าเสียดาย น่าแค้นนักที่ตนเองไม่ปรากฏตัวให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย
คิดถึงอดีต เยี่ยนชิงพลันเอ่ยถาม “ไม่รู้ว่าสำนักคุนอู๋ได้ออกความเห็นเรื่องในครั้งนี้หรือไม่”
“ไม่ทราบ” ต้าซือมิ่งหรงที่ไม่ได้อยู่เมืองหลวงเองก็ไม่ทราบแน่ชัด
เยี่ยนหงชวนที่ตกอยู่ในภวังค์เองก็ไม่ได้ยินว่าเจ้าหลานเฒ่าพูดว่าอะไร เขายังคงเหม่อมองกองเพลิงสีแดงสด หยางชีซานเองก็เช่นกัน
จวบจนหงส์เพลิงอาบเพลิงเกิดใหม่เร้นเข้าไปกลางต้นอู๋ถง เนิ่นนานพวกเขาก็ยังไม่อาจได้สติกลับคืนมา
แม้ว่าจะมาอยู่ในงานเลี้ยงของครอบครัวแล้ว สองผู้เฒ่าก็ยังคงอึ้งงันอยู่ ท่าทางเหมือนได้รับความกระทบกระเทือนมากจริงๆ!
เยี่ยนชิงกลับค่อนข้างสงบและไม่ได้เอ่ยถามอะไรมากนัก “เป็นโชคของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จริงๆ คราวนี้เกรงว่าพ่อคงได้เลื่อนขั้นจากขั้นสุวรรณชาดเข้าขั้นปฐมภูมิแล้ว! ฮี่ๆๆ…”
“ไม่ใช่แค่เกรงว่าหรอก แต่เป็นเรื่องที่แน่นอน! ท่านพ่อข้าไปสอบถามมาให้แล้ว ในบรรดาเจ็ดสำนักตบะของท่านต่ำที่สุด อีกไม่นานท่านก็ต้องไปเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักแล้ว หากท่านยังไม่รีบเลื่อนขั้นสู่ขั้นปฐมภูมิอีกล่ะก็ ถึงตอนนั้นต้องเสียหน้ามากแน่” เยี่ยนจื่อเสาเอ่ยอย่างจริงจัง
“เจ้าน่ะไสหัวไปเลย!” เยี่ยนชิงตบศีรษะลูกชาย “เจ้ากล้าเร่งพ่อของเจ้าอย่างนั้นรึ! เจ้าคิดใช่ไหมว่าตนเองเข้าขั้นขั้นปฐมภูมิแล้ว เป็นตำนานแล้ว ข้าก็จะไม่กล้าอัดเจ้าน่ะ!”
“ไม่กล้า ท่านเป็นบิดาแท้ๆ ของข้า หากจะอัดข้า ข้าย่อมไม่ตอบโต้”
“หึ! เจ้าเล่ห์นัก! ถึงเจ้าจะกลายเป็นเทพแต่ก็ยังเป็นลูกชายของข้าอยู่ดี!”
“ขอรับๆๆ…”
เยี่ยนชิงอบรมลูกชายเสร็จก็ไปดื่มเหล้ากับบุตรสาวและเขยต่ออย่างพออกพอใจ
ต้าซือมิ่งที่ยุ่งง่วงอยู่กับการป้อนอาหารเจ้าก้อนน้อย รับมือกับท่านพ่อตา ทั้งยังต้องกตัญญูต่อท่านพ่อตา ถือโอกาสดื่มสุรากับพี่ภรรยาอีกสองจอกนับว่ายุ่งเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังสามารถรับมือได้อย่างเหมาะสม
เม่ยเอ๋อร์นับถือจริงๆ…
ใบหน้าของชุ่ยชุ่ยเต็มไปด้วยความยินดีตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่าท่านเขยนั้นทำอาหารได้อร่อยมาก ทั้งยังเอาใจใส่คุณหนูใหญ่และคุณชายน้อยขนาดนั้น นางคิดว่าท่านเขยผู้นี้ดีมาก ดีกว่ากู้จ่างสื่อผู้นั้นเป็นร้อยเท่า!
“อ้าม” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กินอิ่มแล้วอยากกินอีกถูกเยี่ยนอวี๋อุ้มมาปลอบในอ้อมอก “ห้ามกินแล้วนะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าถูไถท่านแม่ของเขาไปมา “แม! หนึ่ง! หนึ่ง…”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ราวกับเปิดจุด ปลดล็อกทักษะการพูด เพียงวันเดียวก็สามารถพูดออกมาได้หลายคำแล้ว ตอนนี้ยังรู้จักต่อรองกับท่านแม่ขอกินเพิ่มอีกคำแล้ว
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางไม่อาจต้านทานสายตาน่ารักของเจ้าก้อนน้อยได้จึงป้อนอาหารคำสุดท้ายให้เขาไปหนึ่งคำ
“อื้ออ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่รับอาหารเข้าปากไปแล้วแต่ยังเสียดายไม่ยอมกลืนทำเอาเยี่ยนอวี๋ใจอ่อนเหลือเกินแอบป้อนเจ้าก้อนน้อยไปอีกคำหนึ่ง แต่กลับโดนมือขาวราวกับหยกห้ามเอาไว้
!
“อ้า!”
แม่ลูกพากันร้อนตัว
ต้าซือมิ่งบางคนอุ้มเจ้าก้อนน้อยกลับไปพร้อมมองเยี่ยนอวี๋อย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง ฝ่ายหลังรีบไปกินข้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ท่าทางเช่นนี้ทำเอาต้าซือมิ่งยิ้มน้อยๆ ออกมาอีกครั้ง เขาค้นพบว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขายิ่งมายิ่งน่ารัก
เจ้าก้อนน้อยที่ยังคงน่ารักเช่นเดิมเองก็ซบอยู่ในอ้อมอกของท่านพ่อนิ่งๆ อย่างว่าง่าย ราวกับว่ากลัวจะถูกเปิดโปงเรื่องที่ทำจึงแกล้งหลับไปแล้ว
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กนี่…
ช่างเหมือนกันจนแยกไม่ออก
“มา! ลูกเขย ดื่ม!” เยี่ยนชิงที่ดื่มไปเยอะเอาแต่เรียกลูกเขยอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งเรียกก็ยิ่งคล่องปาก ฟังจนเยี่ยนอวี๋ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
ตอนนี้นาทีนี้เยี่ยนอวี๋เริ่มเข้าใจคำที่เม่ยเอ๋อร์พูดแล้ว นี่มันผู้ชายเจ้าเล่ห์ เพียงไม่นานเขาก็สามารถทำให้พี่รองและพ่อเจ้าน้ำตาของนาง ‘แปรพักตร์’ ไปจนหมดได้
ส่วนผู้อาวุโสทั้งสองที่ตอนนี้ยังคงตกอยู่ในภวังค์นั้นก็ยังคงครึกครื้นเช่นนั้นต่อไป
…
และในขณะที่สำนักชางอู๋ เยี่ยนอวี๋และครอบครัวกำลังร้องรำทำเพลงและทานอาหารอย่างมีความสุขอยู่นั้น
“บัดซบ!”
หยวนคังฮ่องเต้ที่เพิ่งได้ข่าวว่ากู้หยวนซูพระราชทานสมรสให้กับเยี่ยนอวี๋นั้นบันดาลโทสะด้วยการทุบที่ทับกระดาษจนแตกและทุบเหอซงที่มารายงานด้วยร่างกายสั่นเทาเสียจนเลือดอาบศีรษะ หมดสติไปในที่นั้นทันที
“บัดซบ!”
หยวนคังฮ่องเต้ยังคงพิโรธไม่คลาย พุ่งทะยานตรงไปยังวังหลังทันที
ตำหนักหันกวงเงียบสงัดราวกับป่าช้า ไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามรอจนหยวนคังฮ่องเต้ไปแล้วจึงกล้าเข้าไปช่วยเหอซง เหอซงที่น่าสงสารไม่ใช่ไม่เคยเตือนกู้หยวนซูมาก่อน แต่จนใจที่เขาเตือนได้ไม่ชัดเจนมากพอ กู้หยวนซูจึงไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักนิด
จนมาถึงบัดนี้…
“ฝ่าบาท?”
กู้หยวนซูที่รับรู้ได้ว่าหยวนคังฮ่องเต้มาถึงเพิ่งจะยืดกายลุกขึ้นก็ถูกบีบคอเอาไว้! ความหวาดกลัวจากการขาดอากาศและแรงกดดันถึงชีวิตเกือบจะระเบิดเข้าไปในร่างกายของนาง
“อึก!”
กู้หยวนซูที่กระอักเลือดออกมาตรงนั้นไม่รู้เลยสักนิดว่านี่มันเรื่องอะไรกัน นางที่รู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังจะดับสูญลงในมือของหยวนคังฮ่องเต้ตกใจตนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง! คิดว่าตนคงต้องตายแน่แล้ว
หยวนคังฮ่องเต้กลับปล่อยมือออกและสะบัดนางลงบนพื้น! เจ็บเสียจนนางคิดว่ากระดูกตนคงจะหักลงตรงนั้นแล้ว ไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย นี่คือความห่างชั้น…
แม้ว่าตบะของกู้หยวนซูเองก็ไม่ด้อย แต่ในฐานะของผู้ที่กล้าท้าทายต้าซือมิ่งตบะของหยวนคังฮ่องเต้เองก็ไม่แย่! มิเช่นนั้นสิ่งที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์เขาคงไม่ใช่สติปัญญาล้ำเลิศจิตใจลึกล้ำ พรสวรรค์เป็นหนึ่ง แต่คงเป็นทรราชอำมหิต ไร้ความสามารถแล้ว
พูดได้ว่ากู้หยวนซูที่ขาดแค่ครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ระดับตำนานและร่างกายของนางที่เข้าสู่ขั้นปฐมภูมิแล้วนั้น เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือของหยวนคังฮ่องเต้ก็เป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น!
“แค่ก!” กู้หยวนซูที่ความเจ็บปวดบรรเทาลงอย่างยากลำบากนั้นในตอนนี้ถึงได้รู้ว่าหยวนคังฮ่องเต้แข็งแกร่งมากแค่ไหน และเพิ่งจะเข้าใจว่าฮ่องเต้ที่ยามปกติอ่อนโยนเมตตาต่อนางนั้นจะสามารถเปลี่ยนเป็นไร้หัวใจได้ถึงเพียงนี้!
อีกเพียงนิดเดียว! นางก็จะตายแล้ว อีกแค่นิดเดียว…
กู้หยวนซูหวาดกลัวยิ่งนัก!
หยวนคังฮ่องเต้กลับยังคงลดตัวลงมานั่งยองๆ ข้างกายนางทำเอากู้หยวนซูตกใจจนอยากจะถอยหลบตามสัญชาตญาณ หยวนคังฮ่องเต้กลับบีบหน้านางเอาไว้ด้วยมือเดียว แววตามืดครึ้มเอ่ยว่า “นังแพศยา! ใครให้ความกล้ากับเจ้าให้เจ้าออกพระเสาวนีย์ให้กับเทพธิดาของข้า”
“ฝ่า ฝ่าบาท…” กู้หยวนซูไม่อาจตอบสนองได้ชั่วขณะ
หยวนคังฮ่องเต้กลับออกแรงบีบกรามของนางจนแหลก “แค่พี่น้องสวะของเจ้าผู้นั้นก็คู่ควรกับเทพธิดาของข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”
กู้หยวนซูเจ็บปวดจนน้ำตาไหลออกมาราวกับสายฝน นางเพิ่งเข้าใจว่าคนที่หยวนคังฮ่องเต้เอ่ยถึงคือผู้ใด พริบตานั้นราวกับหัวใจตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน
อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาที่หยวนคังฮ่องเต้เอ่ยถึงคือนางสารเลวเยี่ยนจื่ออวี๋ผู้นั้น! หยวนคังฮ่องเต้ที่นางคิดมาตลอดว่าชื่นชอบในตัวนางอยู่บ้างกลับปักใจรักนางสารเลวเยี่ยนจื่ออวี๋นั่น?!
แต่ความจริงก็ยังคงเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยในสายพระเนตรของหยวนคังฮ่องเต้กู้หยวนซูก็ไม่อาจเทียบกับเทพธิดาในฝันของพระองค์ได้ หากไม่ใช่เพราะกู้หยวนซูมีประโยชน์กับพระองค์และคู่ควรกับตำแหน่งฮองเฮาที่พระองค์มอบให้ ฮองเฮาในพระทัยของพระองค์ล้วนมีเพียงเทพธิดาในฝันของพระองค์เท่านั้น
“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ! หากกล้าทำลายเรื่องดีๆ ของข้าอีกล่ะก็ ข้าจะทำให้เจ้าแหลกสลายกลายเป็นขี้เถ้าไปซะ!” หยวนคังฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็นชาจบถึงปล่อยมือที่บีบหน้าของกู้หยวนซูออก หากอีกฝ่ายไม่ได้มีพลังตบะอยู่เกรงว่าคงจะถูกบีบจนตายไปแล้ว
แต่ถึงแม้จะมีพลังตบะ กู้หยวนซูเองก็คงไม่อาจหายดีได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน บาดแผลภายนอกนั้นยังไม่เท่าไหร่แต่สิ่งที่ทำให้นางได้สติกลับมาจากความว่างเปล่านั้นก็คือ…