ขณะเดียวกัน
“…”
ลำแสงสีม่วงแวววาวกลายสภาพเป็นต้าซือมิ่งบางคนตรงหน้าสองแม่ลูก!
ดวงตากลมโตของเยี่ยนเสี่ยวเป่ากะพริบอย่างรวดเร็ว และมีหยดน้ำตาเกิดขึ้น แต่เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านพ่อของเขามาจริงๆ แล้ว! เขาจึงได้ตะโกนเรียก ‘พ่อ’ ด้วยความดีใจ
แต่ต้าซือมิ่งก็ปิดปากของเขาไว้ ทำท่าทางให้เงียบ จากนั้นก็ค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้กับเขาเบาๆ ช่างโอ๋ลูกเสียจริง
เจ้าตัวน้อยจึงยิ้มอย่างไร้เสียง พร้อมกับยืนมืออ้วนป้อมไปหาท่านพ่อของเขา อุ้มๆ!
เยี่ยนอวี๋ได้ให้เม่ยเอ๋อร์กระตุ้นค่ายกลม่ายป้องกันที่วางไว้ก่อนแล้วค่อยถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง”
ต้าซือมิ่งที่กล่อมลูกน้อยอยู่พูดขึ้น “ไม่รีบร้อนอะไร ให้เสี่ยวเป่ากินอิ่มเสียก่อน”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่รู้ว่าไม่ต้องเงียบอีกต่อไปแล้วรีบตะโกนขึ้น “อ้ะเนะเนะ!”
“ท่านพ่อสัญญากับเจ้าไว้แล้วย่อมไม่ผิดสัญญาแน่นอน” ระหว่างที่ต้าซือมิ่งบางคนพูดก็หยิบเตาเล็กๆ ที่พกติดตัวไว้ตลอดออกมาต้มน้ำให้กับลูกน้อย พร้อมกับหยิบผงข้าวต้มที่ปรุงเสร็จแล้วออกมา “แต่ทว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกนัก กินของง่ายๆ ไปก่อนนะ”
“เนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่มีปัญหา! กำลังรอคอยอย่างเชื่อฟังแล้ว
เม่ยเอ๋อร์น้อยใจ เนื้อบดละเอียดที่นางทำกลิ่นหอมน่ารับประทานขนาดนั้น เทียบกับข้าวต้มบดละเอียดไม่ได้เลยหรือ!
เยี่ยนอวี๋ก็น้อยใจเช่นเดียวกัน “เจ้าไม่กลับมาเขาไม่ยอมกินข้าวเลยแม้แต่คำเดียว”
“ข้ากลับมาแน่นอน” ต้าซือมิ่งบางคนยกริมฝีปากขึ้น ทำอาหารให้กับลูกน้อยและไม่ลืมที่จะเกี้ยวภรรยาด้วย “ไม่ปล่อยให้พวกเจ้าสองแม่ลูกข้าวไม่กินไม่ดื่มหรอก”
“…พูดดีๆ!” เยี่ยนอวี๋เคาะโต๊ะด้วยปลายนิ้ว และมองลูกน้อยที่กำลังอ้าปากรออาหารอยู่ในอ้อมกอดของบิดาจึงนึกถึง ‘คำสัญญา’ ที่คนคนนี้ให้ไว้กับลูกน้อย
เห็นได้ชัดว่าลูกน้อยจำได้ และเขา…ก็จำได้ด้วย
ดังนั้น…
มีลูกน้อยที่ฉลาดและตื่นตัว รวมถึงพ่อของลูกที่ฉลาดและตื่นตัวยิ่งกว่านั้นช่างปวดศีรษะเหลือเกิน
เยี่ยนอวี๋นึกภาพออกว่าผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไป ลูกน้อยต้องถูกบิดาของเขา ‘ซื้อตัว’ อย่างแน่นอน คิดเอาเถอะคนคนหนึ่งที่ทั้งดีต่อเขา ทั้งทำอาหารเป็น และยังจำเรื่องที่สัญญาไว้กับเขาได้ทุกเรื่อง ไม่ละเลยเขาเพียงเพราะเขายังเด็ก
“…”
ศีรษะของเยี่ยนอวี๋จะระเบิด
คนที่รับมือยากที่สุดคือคนที่มีความอดทนและรอบคอบจริงๆ ด้วย
“อู้ววว”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ได้กินข้าวแล้วไม่ได้คิดมากมายเพียงนั้น เขายิ้มร่าและยังกระตุกด้วยความดีใจเสียด้วย ทั้งยังปรบมือน้อยๆ อย่างลนลาน ทั้งมีชีวิตและน่ารักน่าชังจริงๆ
“เจ้านะเจ้า!”
เยี่ยนอวี๋อดไม่ได้ที่จะจิ้มหน้าผากนิ่มน้อยๆ ของลูกน้อยอีกครั้ง นางแพ้ให้กับเด็กคนนี้จริงๆ แต่ใครให้นางกำเนิดบุตรที่น่ารักน่าชังเพียงนี้ออกมากันเล่า
“ฮ่า!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ดีใจจนกอดมือของมารดาไว้ พลางรับประทานอาหารพลางอ้อนท่านแม่ของเขา ทำสีหน้าอิ่มเอ็มใจที่มี ‘ท่านแม่ท่านพ่อและอาหาร’
ลูกเช่นนี้ ทำให้เยี่ยนอวี๋เงยหน้ามองต้าซือมิ่งบางคนอย่างไม่รู้ตัว แต่ทว่าครั้งนี้ฝ่ายหลังไม่ได้มองนางแต่อย่างใด เขากำลังป้อนข้าวให้กับลูกน้อยอย่างจริงจัง เพราะเจ้าตัวน้อยกินเร็วมาก เพิ่งกลืนลงไปคำหนึ่งก็อ้าปากรออีกคำหนึ่งแล้ว
แต่ต้าซือมิ่งที่ขมวดคิ้วป้อนข้าวให้กับลูกน้อยอย่างจริงจังนี้ กลับทำให้เยี่ยนอวี๋รู้สึกมีใจอยากจะทำความเข้าใจมากขึ้น
จากนั้นนางก็พบว่าขนตาของเขายาวมาก มันยาวลงมาจนสามารถปิดดวงตาสีม่วงแวววาวดุจกระจกของเขาได้ทั้งหมด แสงเงาอ่อนๆ ที่สะท้อนเข้ากับใต้ดวงตาของเขา ทำให้ผิวหนังประดุจหยกของเขายิ่งดูเงางามมากขึ้น
…เยี่ยนอวี๋ที่หลุบตาลงมองลูกน้อยในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าลูกน้อยคนนี้เหมือนเขามากจริงๆ คิ้วที่อยู่เหนือดวงตากลมโตนั้นก็เข้มดกมาก สามารถทำให้หัวใจของนางละลายได้
“อ้ะ!” เจ้าตัวน้อยที่จับได้ว่ามารดามองตนอีกแล้วก็ยิ้มให้กับท่านแม่ของเขา ดวงตาแวววับกับขนตาที่ยาวงามกระทบเข้าด้วยกัน ช่างน่ารักเสียจริง
จุ๊บ…
เยี่ยนอวี๋จุ๊บลูกน้อยลงไปอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ และเพราะว่าลูกน้อยถูกบิดาของเขาอุ้มไว้บริเวณหน้าอก จึงทำให้นางดูเหมือนมุดเข้าไปในอ้อมกอดของพ่อของลูกอย่างไรอย่างนั้น
ทำให้ต้าซือมิ่งบางคนที่ถือถ้วยลายครามขนาดเล็กและช้อนสีขาวอยู่ชะงักเล็กน้อย และไม่ ‘ป้อน’ ข้าวต้มบดละเอียดให้กับเส้นผมของมารดาของลูกน้อย คิ้วและดวงตาของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
“ฮ่า!”
ส่วนเจ้าตัวน้อยที่ถูกท่านแม่จุ๊บจนหัวเราะออกมาได้จุ๊บท่านแม่ของเขากลับไปหนหนึ่ง ทำให้ข้าวต้มบดละเอียดอันเหนียวหนืดเปื้อนบนใบหน้าของมารดา
“เจ้าตัวแสบ!” เยี่ยนอวี๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจะเช็ดหน้า แต่ต้าซือมิ่งที่วางช้อนลงตั้งนานแล้วไวกว่านาง เขาได้ใช้ปลายนิ้วปาดเบาๆ ที่ผิวหนังอันขาวมันเยิ้มนั่นแล้ว
คิ้วของเยี่ยนอวี๋ขยับเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้สะบัดมือของคนคนนี้ออก แต่นางได้ลุกขึ้นถอยหนีให้ต้าซือมิ่งบางคนต้องป้อนข้าวลูกน้อยต่อไป แต่ทว่านี่ทำให้ต้าซือมิ่งรู้ว่าเขาได้พัฒนาขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว
ดังนั้นเขาจึงป้อนลูกน้อยต่อไปเงียบๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เพียงแค่ปัดผ่านมือเท่านั้น เขาไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ทว่า! เม่ยเอ๋อร์รู้สึกว่า ไม่มีทาง!
เม่ยเอ๋อร์ที่จ้องต้าซือมิ่งเขม็งแน่ใจว่าต้าซือมิ่งผู้ใจมากด้วยอุบายนั้น กำลังใช้คุณชายน้อยแต๊ะอั๋งคุณหนูใหญ่แน่ๆ! อย่าคิดว่านางไม่รู้นะ
…ผ่านไปชั่วขณะ ต้าซือมิ่งที่ป้อนข้าวลูกน้อยอย่างจริงจังถึงจะกล่าวขึ้น “ด้านล่างพื้นที่ลับไม่มีถ้ำสวรรค์”
“อืม” เยี่ยนอวี๋รอให้คนผู้นี้กล่าวต่อ
ต้าซือมิ่งบางคนกลับพูดขึ้น “เรียกพี่รองพวกเขามาด้วย ไปดูพร้อมกัน”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋ตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อไป แล้วสั่งให้เม่ยเอ๋อร์ไปตามคนมา
ต้าซือมิ่งบางคนอุ้มลูกน้อยขึ้น ให้เจ้าตัวน้อยยืนบนตักเขา คอยประคองแผ่นหลังอันอ่อนนุ่มของลูกน้อย พร้อมทั้งหยิบของกินที่ย่อยง่ายออกมายื่นให้กับเยี่ยนอวี๋ “เจ้าเก็บไว้ ช่วงที่เสี่ยวเป่าไม่อยู่กับข้า หากเขาหิวก็ให้เขากินได้”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าได้ยินก็หันศีรษะไปดูทันที พร้อมกับแสดงท่าที ‘จะกินตอนนี้’ ออกมา
เยี่ยนอวี๋รับถุงผ้ามา และปรับน้ำเสียงเล็กน้อย จากนั้นก็ถามติดตลกว่า “ไม่กลัวว่าหากไม่มีของกินแล้ว เสี่ยวเป่าจะไม่ติดเจ้าหรือ”
“อ้ะเนะ!” ต้าซือมิ่งบางคนยังไม่ได้ว่าอะไร เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ได้ส่งเสียง ‘อ้ะเนะเนะ’ ออกมาอธิบายแล้ว “พ่อ…อืออ้ะเนะเนะ…พ่อ…” ท่านพ่อดีสุด สำคัญที่สุด! ไม่มีข้าว เสี่ยวเป่าก็ชอบท่านพ่อคนงาม…
ต้าซือมิ่งบางคนหัวเราะ “เจ้าฟังสิ”
เยี่ยนอวี๋ส่งเสียงไม่พอใจออกไปพร้อมกับรับถุงผ้ามาแต่โดยดี เม่ยเอ๋อร์เองก็ตามทั้งสามคนมาแล้ว
“ค่ายกลของข้านี้ อย่างน้อยครึ่งชั่วยามพวกเขาจะไม่สามารถพังเข้ามาได้ และไม่สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ” เยี่ยนอวี๋ได้อธิบายถึงค่ายกลที่เปิดใช้งานแล้ว หมายความว่ามันสามารถซ่อนหูซ่อนตาของคนได้
“เหลือเฟือ” ต้าซือมิ่งบางคนพยักหน้า พร้อมกับใช้แขนเสื้อเสกลำแสงสีม่วงออกมาวงหนึ่งแล้วรวมทุกคนเข้าด้วยกัน!
ขณะที่อินหลิวเฟิงยังคงมึนงงอยู่! พวกเขาก็หายวับไปแล้ว และปรากฏอยู่ในพื้นที่มืดสนิทในชั่วพริบตา ทำให้ดวงตากลมโตของเจ้าตัวน้อยเป็นประกาย!
อินหลิวเฟิงรีบหยิบไข่มุกเย่ว์หมิงออกมา ถึงจะเห็นได้ชัดเจนว่า…รอบๆ ก็ยังคงมืดสนิทไม่มีอะไรทั้งสิ้น!
“ที่นี่คือด้านล่างของพื้นที่ลับนั่น?” เยี่ยนจื่อเสาคาดเดา
“ทำไมมืดเพียงนี้” เอ้อร์เหมาขยี้ตาพบว่าดวงตาในระดับวิญญาณปฐมภูมิของตนนี้ หลังจากที่มองผ่านแสงจากไข่มุกเย่ว์หมิงแล้วก็ไม่เห็นอะไรอีกเลย
แต่เยี่ยนอวี๋กลับพบปัญหาแล้ว “นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นชั้นลอยอวกาศระหว่างโลกมนุษย์กับแดนมืดวิญญาณอสูร!”
“ใช่แล้ว” หรงอี้พยักหน้าเห็นด้วย “แม้นจะไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายแต่อย่างใด แต่สถานที่แห่งนี้เป็นชั้นลอยอวกาศโดยธรรมชาติจริงๆ และเป็นสถานที่นอกจากพื้นที่ผนึกที่สามารถติดต่อกับแดนมืดวิญญาณอสูรได้อย่างง่ายดาย”
“และยังไม่ถูกกัดกร่อนหรือถูกโจมตีจากค่ายกลอีกด้วย” เยี่ยนอวี๋คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่นางตกลงมา แดนมืดวิญญาณอสูรก็เริ่มเปลี่ยนแปลงด้วย ทั้งยังสัมผัสไม่ได้ด้วย?
ตามที่เยี่ยนอวี๋คิด แม้นว่านางจะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่เมื่อใดที่ชั้นลอยอวกาศแบบนี้เกิดขึ้น สวรรค์ย่อมต้องส่งคนมาซ่อมแซมแน่นอน ไม่มีทางปล่อยให้มันมีอยู่ได้
“หากเป็นเช่นนี้ที่สำนักคุนอู๋สามารถอัญเชิญวิญญาณอสูรได้นั้นมีความเป็นไปได้สูงว่ามาจากพื้นที่แห่งนี้?” อินหลิวเฟิงจริงจัง “หรือว่าลูกศิษย์ที่เป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ของสำนักคุนอู๋ล้วนสามารถใช้พื้นที่แห่งนี้ในการอัญเชิญวิญญาณอสูรออกมาได้อย่างง่ายดาย?”
“ใช่” เยี่ยนอวี๋ตอบอย่างมั่นใจ “เพียงแค่มีพรสวรรค์เป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เมื่ออยู่ในพื้นที่แห่งนี้พวกเขาย่อมสามารถติดต่อกับวิญญาณอสูรได้อย่างง่ายดาย และเพราะว่าวิญญาณอสูรอยากจะหนีออกจากแดนมืดวิญญาณอสูร ดังนั้นพวกมันย่อมส่งเสริมผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ที่อัญเชิญพวกมันออกมาแน่นอน
และหลังจากการอัญเชิญครั้งแรก ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ที่ติดต่อกับวิญญาณอสูรได้แล้วนั้นล้วนสามารถอัญเชิญวิญญาณอสูรออกมาได้ทุกเมื่อ และนี่จะส่งผลให้มีชั้นลอยเช่นนี้มากขึ้นหรือไม่ก็ยิ่งกว้างใหญ่ขึ้น”
และนี่ก็เป็นหนึ่งเหตุผลที่เพราะอะไรเมื่อชั้นลอยอวกาศนี้ปรากฏขึ้น ทางสวรรค์จึงต้องส่งคนมากำจัด แต่ที่นี่กลับถูกเก็บเอาไว้ เพราะอะไรกัน
เยี่ยนอวี๋ไม่รู้ แต่นางไม่มีทางปล่อยให้ที่แห่งนี้คงอยู่ต่อไปได้ เพียงแต่ว่า…
“พื้นที่แห่งนี้น่าจะมีอยู่แล้วประมาณหมื่นปีได้” เยี่ยนอวี๋สัมผัสถึงรอบๆ ทั้งชั้นลอยอวกาศนี้ และรู้ดีว่าด้วยฝีมือของนางในตอนนี้ เป็นเรื่องยากมากที่จะกำจัดพื้นที่แห่งนี้ได้สิ้นซาก
แต่ทว่า…เยี่ยนอวี๋ถามขึ้นกะทันหัน “พื้นที่แห่งนี้เกี่ยวข้องอะไรกับวิญญาณคนตายนั่นกัน”
“ไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้น ข้าเดาว่าพวกเขาได้ทำเรื่องอะไรสักอย่างที่ไม่อยากให้ข้ารู้ ถึงได้ไม่ลังเลที่จะเปิดเผยที่นี่ และกำจัดหลักฐานเหล่านั้นไว้ที่แห่งนี้ แต่ข้าก็พบสิ่งของที่น่าสนใจบางอย่างได้เช่นกัน”
“อย่างเช่น?”
“เจ้าดูนี่สิ”
นิ้วมือของต้าซือมิ่งบางคน…