“บัดซบ!” อินหลิวเฟิงผู้ไม่ทราบสถานการณ์เป็นอย่างไรคิด หากเขาไปที่สำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เมื่อวาน อย่างน้อยก็ช่วยอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้เขาทำได้เพียงรีบตามไปดู
หวังว่าตาเฒ่าคนนั้นจะอดทนได้! อย่าให้เกิดเรื่องเลย
และเยี่ยนอวี๋ที่ได้ยินข่าวก็ตัดสินใจไปด้วย สำหรับอาหารเช้าของเจ้าตัวน้อยนั้น นางทำได้เพียงนำไปป้อนบนรถม้า โชคดีที่ต้าซือมิ่งได้ทำเสร็จไว้แล้ว มิเช่นนั้นคงจะไม่มีเวลาเพียงพอ
“อู้!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กำลังดื่มนมอยากจะเอื้อมมือไปหยิบซาลาเปาของมารดา
เยี่ยนอวี๋คว้ามืออ้วนป้อมของลูกน้อย “ไม่ได้จ๊ะ”
“หนึ่ง…หนึ่ง อ้าม!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าผู้ซึ่งอ้าปากที่ต้องการบอกว่าตนมีฟัน จึงได้แสดงเขี้ยวฟันน้ำนมให้กับผู้ร่วมทาง เป็นการบอกว่าเขาสามารถกัดได้แล้ว!
เยี่ยนอวี๋เหลือบมองดูต้าซือมิ่งอย่างไม่รู้ตัว เห็นว่าเขาพยักหน้าแล้วถึงได้ยื่นซาลาเปาให้ลูกน้อย “เช่นนั้นกัดแค่คำเดียวนะจ๊ะ”
“อู้!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กัดซาลาเปาไปเกือบทั้งหมดในคำเดียว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ท่านพ่อของเขาไม่อยู่ เขาสามารถกินซาลาเปาก้อนเล็กๆ ได้!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าเด็กน้อยบางคนก็ร้องเสียง ‘อู้อี้’ เพื่อทักท้วง
“กลืนลงไปก่อนค่อยพูด” เยี่ยนอวี๋พลางพูดพลางจิ้มหน้าอ้วนๆ ของลูกน้อย นุ่มจริงๆ นุ่มกว่าตอนเพิ่งเกิดเสียอีก เพราะว่าอ้วนขึ้นแล้ว
และเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ค่อยๆ กินซาลาเปาน้อยลงไป เขาเริ่มพูดคุยกับบิดาของเขาว่า “เปา…พ่อ…เปา…เปา…กิน!” เสี่ยวเป่าสามารถกินซาลาเปาก่อนที่ท่านพ่อจะทำอาหารให้เสี่ยวเป่าได้!
‘ภาษาอักษรศาสตร์’ ที่ยากเช่นนี้ ต้าซือมิ่งบางคนยัง ‘เข้าใจ’ ได้ “แล้วเจ้าอยากกินซาลาเปานี้หรืออยากกินอาหารที่พ่อทำให้”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ทำได้เพียงดื่มนมอย่างเชื่อฟัง เชื่อฟังมากจริงๆ
เมื่อเห็นอย่างนั้น เยี่ยนจื่อเสาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เสี่ยวเป่า ลุงรองไปซื้อซาลาเปาให้เจ้าดีหรือไม่”
“หึ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเตะเท้าไปหาลุงรองของเขาเพื่อประท้วง
แม้แต่อินหลิวเฟิงที่อารมณ์ไม่ดีนักยังรู้สึกขบขันกับบรรพบุรุษน้อยน่ารักคนนี้ ทันใดนั้นเองเขาก็เข้าใจแล้วว่าที่ท่านพ่อของเขาเร่งเร้าให้เขาแต่งงานแล้วมีลูกนั้นก็น่าจะเพื่อผ่อนคลายความเครียดสินะ
เมื่อรถม้าที่พวกเขานั่งเข้ามาในขอบเขตของสำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์แล้ว เยี่ยนอวี๋ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้กลายเป็นอีกโลกหนึ่งด้วยตนเอง โดยภายในมีพลังงานจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งซึ่งเหมาะที่จะฝึกฌานสำหรับผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์มาก
เยี่ยนจื่อเสายังแนะนำ “อย่าได้คิดว่าสำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะอยู่ตรงหน้าของทุกคน แต่ตำแหน่งที่แท้จริงของมันแตกต่างจากที่ผู้คนภายนอกเห็นนัก ที่คนภายนอกเห็นเป็นเพียง ‘ภาพวาด’ ภาพหนึ่งเท่านั้นส่วนตำแหน่งที่แท้จริงนั้น พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้เลย
และมองจากภายนอก สำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเพียงสำนักศึกษาแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ภายในเราจะรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้มีแค่สำนักศึกษาเท่านั้น แต่ยังมีภูเขาไท่หังที่ทอดยาวหลายสิบล้านลี้ราวกับไร้จุดสิ้นสุด”
“ใช่แล้ว นั่นคือที่ที่ฝึกฝนของลูกศิษย์สำนักศึกษาของเรา ล้วนเป็นความทรงจำทั้งนั้น” อินหลิวเฟิงเองก็สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน เขาและเยี่ยนจื่อเสาในฐานะผู้มีพรสวรรค์เป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ถูกชี้นำโดยท่านอาจารย์ของสำนักศึกษาทั้งนั้น
ลูกศิษย์ที่สำนักศึกษายอมรับคือเด็กอายุต่ำกว่าสิบปีที่มีพรสวรรค์ด้านการเป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในต้าซย่าทั้งฝั่งตะวันตกและชายแดนใต้ โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาจะสำเร็จการศึกษาเมื่ออายุสิบแปดปี
เช่นเยี่ยนจื่อเยี่ยเป็นต้น…
“พรสวรรค์ของพี่ใหญ่เหนือกว่าข้ามาก ดังนั้นจึงถูกใต้เท้าจี้จิ่วรับไว้ ทำให้สามารถเข้าศึกษาในเทียนเหมินแห่งสำนักศึกษา และได้รับการสอนโดยท่านอาจารย์จี้จิ่วด้วยตนเอง เทียนเหมินรับลูกศิษย์เพียงยี่สิบคนเท่านั้น หากมีคนสำเร็จ ถึงจะมีคนเข้ามาใหม่ได้” เมื่อเยี่ยนจื่อเสาพูดถึงพี่ใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เพราะลูกศิษย์ที่ถูกรับไว้ในเทียนเหมินแห่งสำนักศึกษา เพื่อดำเนินการฝึกฝนต่อไปนั้น ไม่เพียงแต่เป็นผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงในต้าซย่าเท่านั้น ในขณะเดียวกันยังเป็นคนที่มีโอกาสสูงมากอีกด้วย
เทียนเหมินไม่รับลูกศิษย์ทุกปี และลูกศิษย์ที่สำเร็จการศึกษาก็ไม่รับเช่นกัน ดังนั้นแม้จะเป็นอินหลิวเฟิงและหยางเซ่าเหิงก็ไม่มีโอกาสเข้าเทียนเหมิน
ดังนั้น การจะเข้าเข้าเทียนเหมินนี้ได้ ไม่เพียงแต่ต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น แต่ต้องมีโชคด้วย ไม่สามารถบังคับได้
“ข้าอิจฉาพี่ใหญ่เยี่ยนมาก หากข้าไม่เข้ารับการศึกษาไว ข้าก็คงอยู่ชั้นเดียวกับเขาแล้ว! ท่านพ่อของข้ายืนกรานว่าจะส่งข้าเข้าศึกษาเมื่อตอนข้าอายุหกปี ข้า…” อินหลิวเฟิงอยากจะบ่นเมื่อเขาพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็เป็นห่วงท่านพ่อที่สถานการณ์ไม่แน่ชัดขึ้นมา
แต่พวกเขาเพิ่งจะมอบรถม้าให้ผู้ฝึกที่หมุนเวียนกันของสำนักศึกษาไปก็ได้ยินเสียงตะโกนจากโยวตูอ๋องบางคน “โอ๊ะ! พวกเจ้ามากันหมดเลยหรือ!”
อินหลิวเฟิงตามเสียงไปทันทีและพบว่าผิวพรรณของท่านพ่อเปล่งปลั่ง เต็มเปี่ยมด้วยพลังชีวิต ไม่มีท่าทีอ่อนแอให้เห็นเลยสักนิด!? นี่มัน…
“ท่านพ่อ! เกิดอะไรขึ้นกับท่าน” อินหลิวเฟิงซึ่งก้าวไปข้างหน้าทันที ตบที่หน้าอกของบิดาเพื่อให้แน่ใจว่าคนผู้นี้ไม่ได้แกล้งทำ และยิ่งมึนงงเข้าไปใหญ่
อินสวินอี้รีบปัดมือลูกชายของเขาออกด้วยความรังเกียจ “เจ้าทำอะไร ในที่สาธารณะเช่นนี้ระวังฐานะของเจ้าและของข้าด้วย ตบไปตบมาดูมีมาดที่ไหนกัน!”
“ไม่ ในเมื่อท่านสบายดี แล้วเหตุใดจึงส่งจดบอกว่าถูกลอบสังหารกันเล่า” อินหลิวเฟิงรู้สึกสงสัยอย่างสุดซึ้ง “ท่านคงไม่คิดถึงข้ามากจนรอไม่ไหวหรอกกระมัง”
“ไร้สาระ! พูดอะไรของเจ้า!” ตอนที่อินสวินอี้เอ่ยเสียงดังก็ได้ตระหนักถึงปัญหา “เจ้าบอกว่าข้าส่งจดหมายถึงเจ้าอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่หรือ” อินหลิวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ
“ไม่แน่นอน!” อินสวินอี้ประหม่าเล็กน้อย “แล้วพวกเจ้าถูกซุ่มโจมตีแล้วหรือยัง”
“ไม่นะ!”
“หรือว่าต้องรอให้พวกเจ้ากลับไปก่อน แล้วค่อยซุ่มโจมตี” อินสวินอี้รู้สึกประหม่า “ใครมันสารเลวเพียงนี้! ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดไปเลยจริงๆ!”
“ข้าตามต้าซื่อหมิงและกูไหน่ไนมา ใครจะกล้าซุ่มโจมตีข้าได้ คนคนนั้นคงไม่อยากมีชีวิตยืนยาวแล้วกระมัง!” อินหลิวเฟิงเอนหลังพิงเจ้านายทั้งสอง แสดงออกว่าเขาไม่ได้ตื่นตระหนกเลย
อินสวินอี้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาต้องถามอย่างระมัดระวังมากขึ้นว่า “เสแสร้งได้เหมือนจริงขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ไม่อย่างนั้นข้าจะมาตั้งแต่เช้าได้หรือ”
“เจ้าสารเลว! ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว รอมาหนึ่งวันแล้วถึงจะมาได้ แล้วยังบอกอีกว่าเดิมทีไม่ได้คิดจะมาเร็วขนาดนี้ ข้าเลี้ยงเจ้ามาเสียข้าวสุกจริงๆ!”
“นี่! หยุดตีได้แล้วมีคนดูอยู่ เด็กเล็กเด็กน้อยทั้งหมดในสำนักศึกษาล้วนเป็นศิษย์น้องของข้าทั้งนั้น!” หลังจากที่อินหลิวเฟิงพบว่าท่านพ่อของเขาไม่เป็นไร เขาจึงเริ่มทำตัวกะล่อนอีกครั้ง
เอ้อร์เหมาก็โล่งใจ “นายน้อย ท่านไม่ต้องแบกรับสถานะอะไรทั้งนั้น ทุกคนรู้ดีว่าท่านเป็นพวกเสรีนิยม”
อินหลิวเฟิง “…”
เขายังต้องการเปลี่ยนคนใช้ของเขา!
และอินสวินอี้ในตอนนี้ได้ก้าวไปเพื่อทักทายเยี่ยนอวี๋และคนอื่นๆ แล้ว “ต้าซือมิ่ง ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและสหายเยี่ยนสองคน พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อหาสหายจื่อเยี่ยสินะ”
“มาเยี่ยมท่านอ๋องด้วย” เยี่ยนอวี๋ตอบ
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” อินสวินอี้ยิ้มและสัมผัสเจ้าตัวน้อย “ไม่ได้พบกันสองสามเดือน เสี่ยวเป่าดูดีขึ้นมาก ดูดียิ่งกว่าเด็กในภาพวาดเสียอีก”
“พ่อ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าผู้ซึ่งยกย่องบิดาของเขา ยิ้มขึ้น
“ใช่ มีท่านพ่อนี่มันดีจริงๆ!” อินสวินอี้ไม่ต้องคิดมากก็รู้ว่าการที่สามารถเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เป็นเช่นนี้ได้ ต้องมาจากต้าซือมิ่งบางคนที่เป็นบิดาที่ดีมากแน่นอน
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาสหายจื่อเยี่ย” อินสวินอี้ที่อาศัยอยู่ในสำนักศึกษามาระยะหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับสถานการณ์ปัจจุบันของสำนักศึกษา และรู้จักที่อยู่โดยเฉพาะของเยี่ยนจื่อเยี่ย
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้ปฏิเสธ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเวลาไปถามคนอื่น
กลุ่มคนทั้งกลุ่มถือได้ว่าเข้าสู่เทียนเหมินอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร ดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์จากสำนักศึกษาจำนวนมาก แต่ลูกศิษย์เหล่านี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ไม่นานต่างก็ไปยุ่งเรื่องของตนเองต่อ เพราะการเรียนของพวกเขาหนักมากจริงๆ
“นี่! พวกเจ้าอย่าคิดว่าคนพวกนี้สีหน้าดูดี ความจริงแล้วพวกเขาเกือบจะเป็นลมจากการเรียนแล้ว เพราะการเรียนการสอนของสำนักศึกษาหนักมากจริงๆ! มีการทดสอบเล็กๆ ทุกๆ สามวัน การทดสอบครั้งใหญ่ทุกๆ สิบวัน และยังมีการสอบรวมในทุกๆ ปีการศึกษา ตอนนี้ข้าคิดดูแล้วก็ปวดศีรษะขึ้นมาทันที”
“อดีตเป็นสิ่งที่ไม่อยากย้อนกลับไป…” เยี่ยนจื่อเสาจำวันสอบอันมืดมิดเหล่านั้นได้ และเขาไม่ต้องการทำอีก มีความทรงจำไว้ก็พอ ไม่อยากทำมันอีกครั้งแล้ว
เหตุผลหลักคือ ท่านอาจารย์ของสำนักศึกษาเก่งกาจมาก หากไม่เชื่อฟังจะถูกสั่งสอนจนสงสัยในชีวิต แล้วเรียนเพิ่มเป็นสองเท่า หนังศีรษะเสียววาบจริงๆ!
แต่ลูกศิษย์ในสำนักศึกษาทุกคนล้วนรู้สึกขอบคุณสำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ เป็นพวกเขาที่ได้สร้างลูกศิษย์ทุกคนทั้งในปัจจุบันและอนาคต และยังทำให้ลูกศิษย์เข้าใจ…
มีเพียงผู้ฝึกสอนของสำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะพร่ำสอนซึ่งกันและกัน คนนอกจะไม่ทำเช่นนี้ แม้แต่ญาติมิตรสนิทก็อาจไม่สามารถชี้แนะ สั่งสอนโดยไม่เก็บความรู้ไว้เลยเช่นนี้ได้
“ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จางเป็นอย่างไรบ้าง อีกสักครู่อยากจะไปเยี่ยมเยือนเขาเสียหน่อย” เมื่ออินหลิวเฟิงนึกถึงชายในอดีตคนนั้น ในใจเต็มไปด้วยความเคารพ เยี่ยนจื่อเสาก็เช่นกัน
ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังถอนหายใจอยู่ก็มีผู้ฝึกอาวุโสคนหนึ่งหยุดพวกเขาไว้ “พวกเจ้ามาพบเยี่ยนจื่อเยี่ยหรือ”
“ใช่ขอรับ” เยี่ยนจื่อเสาตอบตามสัญชาตญาณด้วยการโค้งคำนับเก้าสิบองศา
บุรุษคนนั้นยังโค้งคำนับและกล่าวว่า “มาผิดเวลาแล้วจริงๆ เยี่ยนจื่อเยี่ยไม่ได้อยู่ในหอพักตอนนี้ พวกเจ้าไปหาที่ใต้เท้าจี้จิ่วเถิด”
“ขอบคุณมากขอรับ” ทุกคนกล่าวขอบใจ ภายใต้การนำโดยอินสวินอี้ พวกเขามุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของประตูเทียนเหมิน นั่นเป็นที่พำนักของจี้จิ่วอีอิ่น
เพียงแต่ว่า หลังจากที่เดินไปได้ครู่หนึ่ง ต้าซือมิ่งบางคนก็หยุดฝีเท้าลง “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน”
เยี่ยนจื่อเสาสีหน้าแน่วแน่ “มีอะไรอย่างนั้นหรือ”
“มีกลิ่นอายการต่อสู้” เยี่ยนอวี๋สัมผัสได้ว่าข้างหน้านี้มีควันหลงจากการต่อสู้อันรุนแรงมาก
“อะไรนะ” อินสวินอี้คิดว่ามันเหลือเชื่อมาก เพราะนี่คือด้านในสำนักศึกษาผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!
แต่เมื่อต้าซือมิ่งคนหนึ่งกลับมาและพาทุกคนไปนั้น สิ่งที่ทุกคนเห็นนั้นยุ่งเหยิงจริงๆ!
นี่ยังไม่นับ…
“พี่ใหญ่!”