ตอนที่ 295 ต้าซือมิ่งรักษาอาการไร้ยางอายขององค์หยวนคังฮ่องเต้!
หยวนคังฮ่องเต้รู้สึกได้ว่าใจของตนกำลังเต้นระรัว สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขารู้ว่านี่คือรักแรกพบ ไม่เคยมีสตรีใดทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แม้เพียงแค่ได้เห็นนาง เขาก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว
แต่เยี่ยนอวี๋รู้สึกอึดอัด สายตาของหยวนคังฮ่องเต้ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกสิ่งโสโครกแปดเปื้อน! ทว่าความรู้สึกเช่นนี้เพิ่งเกิดขึ้น แผ่นไหล่และแผ่นหลังที่แผ่กว้างและแข็งแกร่งก็เข้ามาขวางสายตาที่ทำให้นางอึดอัดนั่นไว้แล้ว
“…”
หรงอี้มองหยวนคังฮ่องเต้เงียบๆ เขาปกปิดเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไว้อย่างมิดชิด แม้แต่ชายกระโปรงก็ไม่มีให้เห็น ทำให้ฝันของหยวนคังฮ่องเต้พังครืนในทันใด
ในขณะเดียวกัน เมื่อทุกคนในห้องโถงเพิ่งพบว่าหยวนคังฮ่องเต้เสด็จมาถึงอย่าง ‘เงียบๆ’ แล้ว พวกเขาจึงรีบถวายบังคม “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ทรงพระเจริญ!”
หยวนคังฮ่องเต้ตอบทันที เขาก็กำลังมองต้าซือมิ่งอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน “ต้าซือมิ่งไม่พบกันนาน สบายดีหรือ”
“ทำให้ท่านผิดหวังแล้ว” ต้าซือมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างไม่ไว้หน้า ทำเอาผู้คนในโถงต่างตื่นตระหนกจนเกือบจะหมอบลงบนพื้น คิดในใจว่า เหตุใดต้าซือมิ่งท่านนี้มาถึงก็ก่อเรื่องเลยนะ
“ฮึ” หยวนคังฮ่องเต้ยิ้มเย็นชา “ดูท่าต้าซือมิ่งจะเข้าใจเราผิด”
ต้าซือมิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย ครั้นเขากำลังจะตอบ เจ้าตัวน้อยข้างหลังเขาก็หาวขึ้นเสียงเบา ตัวน้อยสะลึมสะลือลืมขึ้นก็เห็นท่านแม่ และยังเปล่งเสียงเรียก “พ่อ?”
“อยู่นี่” เมื่อต้าซือมิ่งได้ยินเด็กน้อยถามหา เขาก็ไม่สนใจหยวนคังฮ่องเต้อีก เขาหันหลังกลับไปมองภรรยาที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยมา “นอนเต็มอิ่มแล้วหรือ”
หาว… เยี่ยนเสี่ยวเป่าอ้าปากหาวอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขายังนอนไม่พอ อาจจะเป็นเพราะรู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจึงตื่นก่อนเวลา แต่เมื่อถูกท่านพ่ออุ้มไว้ เขาก็ทำท่าจะหลับไปอีกครั้ง ราวกับว่าตื่นขึ้นมาเพียงเพราะจะหาท่านพ่อโดยเฉพาะ
เยี่ยนอวี๋จิ้มแก้มตุ้ยนุ้ยของเด็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์นัก ฝ่ายหลังเผยอยิ้มอย่างน่ารัก ก่อนจะขานเรียก “แม” ด้วยความงัวเงีย จากนั้นก็หลับไป
เยี่ยนอวี๋หายโกรธ “เจ้าปีศาจน้อย”
ทุกคนในห้องโถง “…”
พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรงของหยวนคังฮ่องเต้ที่ถูกเมินเฉย จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนช้างสารชนกันหญ้าแพรกแหลกลาญอย่างไรอย่างนั้น
หยวนคังฮ่องเต้เองก็เดือดดาลอยู่จริงๆ แต่สุดท้ายเขาก็ข่มอารมณ์ตนไว้ได้ กล่าวด้วยความมีไมตรีอย่างน่าประหลาด “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ท่านปราชญ์มหาสำนักที่เราแต่งตั้ง เหตุใดจึงมาช้าเยี่ยงนี้เล่า”
นี่เป็นประโยคตำหนิ ทว่าหยวนคังฮ่องเต้กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรอย่างยิ่ง ทำให้อินหลิวเฟิงที่ยังคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่นั้นก็ประหลาดใจ ด้วยไหวพริบอันเฉียบแหลมของเขา เขาสัมผัสถึงความเอ็นดูของฝ่าบาทที่มีต่อกูไหน่ไน
ส่วนเยี่ยนอวี๋ที่ถูกถาม นางกลับมิได้รู้สึกอะไร สำหรับคนเช่นระดับนางแล้ว ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ทำให้นางต้องสังเกตสีหน้าอยู่แล้ว เยี่ยนอวี๋ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ก็เดินออกมาตรงหน้าต้าซือมิ่ง ก่อนจะโค้งกายคารวะหยวนคังฮ่องเต้ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” นี่ถือเป็นการปฏิบัติที่นางไว้หน้าเขามากแล้ว
สำหรับกฎเกณฑ์การปฏิบัติตัวของผู้แข็งแกร่งในต้าซย่า ผู้แข็งแกร่งระดับตำนานไม่จำเป็นต้องถวายบังคมองค์จักรพรรดิ ทว่ากฎเกณฑ์นี้ก็ถูกยกเลิกไปเมื่อหยวนคังฮ่องเต้กลายเป็นตำนานเอง
จู่ๆ กู้หยวนซูที่มิได้ส่งเสียงและไร้ตัวตนมาตลอดก็พูดขึ้นทันทีว่า “สามหาว! เข้าเฝ้าฝ่าบาทครั้งแรก สมควรโขกศีรษะสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง”
“…” ทุกคนที่ยังคุกเข่าในโถงก็เพิ่งพบว่า อดีตฮองเฮาเสด็จมาพร้อมกับฝ่าบาท? หมายความว่าฮองเฮาที่ถูกปลดท่านนี้เป็นที่โปรดปรานอีกแล้วหรือ
อินสวินอี้ที่มิได้คุกเข่ากลับพบว่า กลิ่นอายของอดีตฮองเฮาท่านนี้ต่างจากเมื่อก่อนมาก มันเต็มไปด้วยความเย้ายวนเสน่หา ราวกับว่าฝึกวิชามารมาอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าหยวนคังฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นว่า “ซูเอ๋อร์อย่าเข้มงวดกับปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนนักเลย เรารักหยกถนอมบุปผา[1] คนงามเช่นปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน เราจะยอมให้นางโขกศีรษะสามครั้งและคำนับเก้าครั้งได้อย่างไร”
เมื่อสิ้นเสียงพูด…
ผู้คนในห้องโถงเหงื่อไหลพราก! ทันใดนั้นก็รู้สึกวันนี้คืองานเลี้ยงหงเหมินชัดๆ! ถึงแม้ทุกคนเดาไว้แต่แรกแล้วว่างานเลี้ยงในครานี้ย่อมไม่สงบสุข ทว่าแต่เดิมพวกเขาคิดว่าจะอยู่เฉยๆ ได้ แต่แล้วงานเลี้ยงยังไม่ทันเริ่ม พวกเขาก็ตื่นตระหนกเสียแล้ว
เหตุใดจึงรู้สึกว่าฝ่าบาทกำลังจะแย่งสตรีกับต้าซือมิ่งนะ! นี่มัน…
พวกเขาขอลาป่วยได้หรือไม่ จู่ๆ ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหมือนจะเป็นลมเป็นแล้ง ทำอย่างไรดีล่ะนี่
แต่แล้วอินสวินอี้ก็ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ “ฝ่าบาท ผ่านไปหลายเดือน ในที่สุดกระหม่อมก็ได้เข้าเฝ้าพระองค์แล้ว ทรงสบายดีหรือไม่ เสวยอิ่มบรรทมหลับดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนคังฮ่องเต้หน้าตึง เขารู้สึกรำคาญอินสวินอี้จอมก่อกวนคนเช่นนี้ที่สุดจึงโบกมือเอ่ยว่า “เราสบายดี! ทุกท่านลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
บัดนี้เหล่าขุนนางราชสำนักและผู้สูงส่งในเมืองหลวงรู้สึกซาบซึ้งต่อโยวตูอ๋องจากใจจริง ขอบคุณเขาที่ช่วยยั้งความแค้นเคืองขององค์จักรพรรดิลงได้ด้วยตัวเขาเองเพียงผู้เดียว คนดีศรีสังคมจริงๆ!
ทว่าอินสวินอี้ยังดึงดันกล่าวด้วยความตื้นตันราวกับว่าไม่รู้ว่าหยวนคังฮ่องเต้เกลียดเขา “ดีแล้ว! ดีแล้ว เฮ้อ! หากไม่ใช่เพราะอีจี้จิ่วจำเป็นต้องให้กระหม่อมไปเป็นอาจารย์บรรยาย กระหม่อมคงมารายงานตัวที่ราชสำนักทุกวันแล้ว เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์พี่น้องครั้นเมื่อบรรพชนพวกเราอยู่!”
ท่าทางเล่นละครเก่งเช่นนี้… คงมีเพียงหยวนคังฮ่องเต้ร่วมเล่นด้วยได้แล้ว “ขอบใจโยวตูอ๋องที่ใส่ใจ เจ้ารู้ประสงค์เดิมของเราที่เรียกเจ้าเข้ามาเมืองหลวงก็ดีแล้ว อย่าโกรธเคืองเราอย่างที่เขาลือกันเลย”
“มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ! ตระกูลอินของกระหม่อมและตระกูลราชสำนักซย่าโหวร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว! ความผูกพันเช่นนี้แน่นแฟ้นกว่าความสัมพันธ์จากการสมรสนัก ตระกูลของกระหม่อมจึงได้รับเมตตาจากฝ่าบาทเสมอมา ทำให้โยวตูของกระหม่อมเจริญรุ่งเรืองเพียงนี้!” อินสวินอี้ยังคงแสดงละครต่อไป
อินหลิวเฟิงละอายใจนักที่มิอาจสู้ท่านพ่อได้ เขาจึงเริ่มเรียนรู้อย่างเงียบๆ แล้ว…
ตระกูลฮู่ ตระกูลหนาน และตระกูลเจินสวินที่อยู่เฉยๆ ก็โดนลูกหลงต่างรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา พวกเขาก็คือ ‘สายสัมพันธ์สมรส’ ที่โยวตูอ๋องกล่าวถึง เป็นตระกูลแรกๆ ที่โยวตูอ๋องเอามาเชือดสังเวยดาบ
ตระกูลฮู่น่าสงสารที่สุด พวกเขาเป็นตระกูลแรกที่ตกต่ำและล่มจม ทั้งที่แต่เดิมพวกเขาเป็นตระกูลเก่าแก่ที่แข็งแกร่งที่สุด แข็งแกร่งกว่าตระกูลของซย่าโหวด้วยซ้ำ! แต่น่าเสียดายที่พวกเขาแตกคอกัน หยวนคังฮ่องเต้ก็เจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมเกินไป!
“เรารู้ว่าโยวตูอ๋องรู้ใจของเราที่สุด นั่งลงเถิด เหอซง เริ่มงานเลี้ยงได้” หยวนคังฮ่องเต้รับ ‘คำชมเชย’ ของโยวตูอ๋องไว้ด้วยสีหน้าปกติ
ความหน้าด้านเช่นนี้ก็ทำให้อินหลิวเฟิงรู้สึกชื่นชมจากใจจริงเช่นกัน! เขาต้องเรียนรู้แล้ว…
เหอซงรีบประกาศขึ้นว่า “งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ณ บัดนี้”
เสียงแหลมสูงนี้ทำให้เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เพราะนางกลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวน้อยตื่น ทว่าครั้นนางมองไปที่เด็กน้อยก็พบว่าต้าซือมิ่งปิดกั้นการได้ยินของเด็กน้อยไว้แล้ว นางจึงวางใจลง
คนในห้องโถงทยอยกันนั่งลง คราวนี้ปัญหาก็คือ ต้าซือมิ่งจะนั่งตรงไหน
ทุกคนไม่ทันคิดออก ต้าซือมิ่งก็นั่งลงบนพื้นข้างๆ เยี่ยนอวี๋แล้ว ทำเอาผู้คนไม่น้อยตกใจเบิกตากว้างจนลูกตาเกือบจะหลุดออกมาแล้ว…
มารดามันเถอะ!
นี่มันปรากฏการณ์อะไรกัน!?
ดูท่าข่าวลือที่พวกเขาได้รับเมื่อครู่นี้แม่นยำมากเลย ต้าซือมิ่งท่านนี้ไม่เพียงเอาใจใส่บุตรชายของตน เขายังเอาใจใส่ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนท่านนี้มากด้วย! ดูเขาทำเข้าสิ… (ลอบจับผิดเขา)
“ต้าซือมิ่ง ที่นั่งของเจ้าอยู่ด้านซ้ายของเรา ซึ่งเป็นที่สำหรับผู้มีเกียรติที่สุดแห่งราชสำนักต้าซย่า” หยวนคังฮ่องเต้ทนดูต่อไปไม่ไหว เขาย่อมไม่ปล่อยตามใจต้าซือมิ่ง
“มิเป็นไร” ต้าซือมิ่งกล่าว “ที่นี่ก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนคังฮ่องเต้กำหมัดเล็กน้อย แต่ยังคงแสดงสีหน้าปกติ “ก็ได้ ในเมื่อต้าซือมิ่งชอบนั่งตรงนั้นก็นั่งตรงนั้นเถิด”
ไม่เพียงเท่านี้ หยวนคังฮ่องเต้ยัง ‘เอาใจใส่’ อย่างดี เขาบัญชาว่า “เด็กๆ จัดที่นั่งให้ต้าซือมิ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” เหอซงเหงื่อแตกพลั่ก เขารีบไปจัดแจงที่นั่ง เขารู้สึกได้ว่าคืนนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ! ฝ่าบาทในบัดนี้ยิ่งอดกลั้นไว้มากเพียงใด แรงปะทุก็จะน่ากลัวมากเพียงนั้น แต่ไหนแต่ไรมาจักรพรรดิองค์นี้ไม่เคยยอมใคร เรื่องนี้จึงทำให้เหอซงหวาดกลัว ทำให้เขาทำงานอย่างระมัดระวังมากขึ้น จะได้ไม่ตกเป็นกระสอบทราย
ส่วนคนที่เหลือในโถงที่แต่เดิมคิดว่า ‘ฝ่าบาทแย่งสตรีกับต้าซือมิ่ง’ ก็คิดว่าตนคงคิดไปเอง
ก็ถูก แม้ฝ่าบาทจะโปรดปรานสตรีโฉมงามเป็นพิเศษ แต่ก็คงไม่กล้าปะทะกับต้าซือมิ่ง ครานั้นหลังจากที่พ่ายแพ้ หากฝ่าบาทจะลงมืออีก ย่อมต้องมั่นใจว่าตนเองจะเอาชนะได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความกังวลในใจของทุกคนก็ค่อยๆ คลายลง พวกเขากล่าวทักทายสหายข้างกายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มได้แล้ว ต่างรอทานอาหารและคารวะสุราแก่องค์ฮ่องเต้
หยวนคังฮ่องเต้ยกจอกขึ้นอย่างอ่อนโยน “แด่ความรุ่งเรืองโชติช่วงของต้าซย่า ล้วนไม่พ้นความตั้งใจของทุกท่าน เราขอคารวะหนึ่งจอก”
“มิบังอาจ! มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทกล่าวเกินไปแล้ว เพราะสติปัญญาอันเฉียบแหลมและแผนการอันล้ำลึก ทั้งพรสวรรค์โดดเด่นของฝ่าบาท ล้วนเป็นความโชคดีของต้าซย่า” เหล่าขุนนาง ผู้สูงส่งและตัวแทนของกองกำลังต่างๆ กล่าวด้วยความ ‘จริงใจ’
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่แล้ว…
ทุกคนเพิ่งจะลุกขึ้นรับคารวะสุราเสร็จ ยังไม่ทันลงนั่งลงไป หยวนคังฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นต่อว่า “ต้าซือมิ่งเจ้าดูแลบุตรของข้าได้ดีนัก”
[1] รักหยกถนอมบุปผา เป็นสำนวนจีนหมายถึงบุรุษควรทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรี