ตอนที่ 297 หวงภรรยาอวดบุตรวิถีหรงซือมิ่ง!
เยี่ยนอวี๋สัมผัสได้ถึง ‘ความสะเทือน’ ของต้าซือมิ่ง นางมองไปที่เขาทันที
“จื่ออวี๋ เจ้ามิต้องมองเขา! แดนเทพเราก็เปิดได้ เราจะเปิดให้เจ้าดูบัดเดี๋ยวนี้ หากเขาสัตย์ซื่อจริง ไยจึงมิกล้าทดสอบ หากเขามิใช่พรหมจารีแล้ว ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของเราอีกต่อไป!” หยวนคังฮ่องเต้กล่าวอย่างมั่นใจ
เยี่ยนอวี๋นัยน์ตาเคร่งขรึมเล็กน้อย นางคิดถึงความผิดปกติของต้าซือมิ่งในช่วงระยะนี้ ตั้งแต่ที่เสี่ยวเป่าดื่มน้ำค้างหลิงเซียงไป เขาก็แปลกพิกล ถึงแม้จะน้อยนิดมาก แต่ก็หนีไม่พ้นสัมผัสของนาง ทว่านางก็มั่นใจมากเช่นกันว่าเสี่ยวเป่าเป็นบุตรของเขา
สำหรับเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าเมื่อใดเยี่ยนอวี๋ก็เชื่อว่าไม่ใช่เพียงเพราะสองพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันมาก ยังเป็นเพราะมีเพียงเขาที่นางไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นคนที่นางออกจากสามโลกแล้วก็มิสามารถเห็นได้
“เกิดอะไรขึ้น” เยี่ยนอวี๋เพียงแค่อยากรู้ว่ามีอะไรที่นางพอจะช่วยได้หรือไม่
แต่เมื่อทุกคนได้ยินคำถามเช่นนี้ ต่างก็คิดว่าเป็นการสงสัยในตัวต้าซือมิ่ง ทว่าฝ่ายหลังไม่คิดเช่นนี้ เพราะว่าเขาเห็นความกังวลในสายตาของนางออก ถึงแม้นางจะไม่รู้ตัวก็ตาม
ดังนั้นหรงอี้จึงยกมือขึ้นจับใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน “ใครบางคนคิดไปเองน่ะ มิต้องเป็นห่วง”
“แต่ว่า…” จู่ๆ เยี่ยนอวี๋ก็คิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เขาเจาะเลือดเสี่ยวเป่า! ครานั้นเขากำลังทดสอบหรือ เช่นนั้นหมายความว่าเขาเองก็คิดว่าตนเองยังเป็นพรหมจารีใช่หรือไม่
หากเป็นเช่นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เยี่ยนอวี๋…
หยวนคังฮ่องเต้เอ่ยขึ้นอีกครั้งโดยไม่ปล่อยให้นางคิดต่อไป “จื่ออวี๋ เจ้ามิต้องถามเขาหรอก คนต่ำทรามเช่นนี้จะยอมรับการกระทำของตนได้อย่างไร!”
วาจาสัตย์ตรงเช่นนี้โน้มน้าวผู้คนที่มุงดูไปไม่น้อย เพราะว่าพวกเขาคิดว่า หากหยวนคังฮ่องเต้ไม่มีหลักฐานจริงๆ ท่านก็คงไม่กล่าวเช่นนี้ ดังนั้นแล้วหรือว่า… ความจริงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ
“มิใช่เพคะ”
เยี่ยนอวี๋กลับเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “มิใช่ท่าน ท่าน…”
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์”
ต้าซือมิ่งที่ในที่สุดก็ปริปาก เขาขัดจังหวะภรรยาที่กำลังจะพูดแทนตนเองและยังยื่นมือไปบีบข้อมือนางเบาๆ นัยน์ตาสีม่วงลุ่มลึกของเขาปรากฏรอยยิ้มจางๆ
อินสวินอี้เห็นดังนั้นก็ร้อนใจ รู้สึกราวกับจักรพรรดิไม่รีบแต่ขันทีรีบแทน ไม่สิ! ถุย! เขาไม่ใช่ขันทีเสียหน่อย ทว่าเขาก็จำเป็นต้องเตือนต้าซือมิ่ง “ต้าซือมิ่ง ท่าน…” รีบพูดอะไรหน่อยสิ!
ต้าซือมิ่งจึงละสายตาจากภรรยา แต่เขายังคงจับข้อมือของภรรยาไว้ ไม่ยอมปล่อยมือเลย ในเมื่อนานๆ ทีเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะไม่สลัดเขาออก
ส่วนหยวนคังฮ่องเต้… ต้าซือมิ่งไม่เห็นเขาในสายตาเสียด้วยซ้ำ “ในเมื่อท่านมั่นใจเช่นนี้ เช่นนั้นก็เปิดแดนเทพเถิด”
“ต้าซือมิ่ง!” กู้หยวนซูพลันลุกขึ้น “ท่านจำเป็นต้องลดตัวตกต่ำเช่นนั้นหรือ ปล่อยให้ผู้อื่นทดสอบร่างพรหมจารีของท่าน?”
ในขณะนั้นเอง…
“ใช่แล้ว! มิสมควร!” เฉินฉุนเฟิงในฐานะที่เป็นเซ่าซือมิ่งเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตำหนักซือมิ่ง เขาก็จำเป็นต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของตำหนักซือมิ่ง “ตำหนักซือมิ่งของข้าเป็นดินแดนเทวสิทธิ์! มิอาจหยามเหยียดเช่นนี้ได้!”
หยวนคังฮ่องเต้ยิ้มเย็นชา “บัดนี้ไม่ใช่เราที่ต้องการศักดิ์ศรี แต่เป็นหรงต้าซือมิ่งที่ทำให้อำนาจเทพเจ้าแปดเปื้อนเอง ดันกล่าวด้วยตนเองว่าตนมิใช่พรหมจารีแล้ว เขาทำให้ตนเองต้องอับอาย!”
เฉินฉุนเฟิงเข้าใจดี แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้ต้าซือมิ่งเปลี่ยนใจได้ บัดนี้ทำได้เพียงปกป้องศักดิ์ศรีของตำหนักซือมิ่งไว้เป็นการชั่วคราว “ไม่ว่าอย่างไร ตำหนักซือมิ่งก็มิสมควรถูกหยามเช่นนี้! มิเช่นนั้นต้าซย่าจะทำให้เหล่าทวยเทพไม่พอใจได้”
“ใช่แล้ว” เหล่านักบวชบางส่วนที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนในตำหนักซือมิ่งก็พูดสำทับ
น่าเสียดายที่หยวนคังฮ่องเต้มิใช่คนที่ยอมฟังง่ายๆ เขาชอบวางอำนาจเผด็จการมากกว่า “พูดไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าตัดสินใจแล้ว ทหาร! เตรียมเครื่องถวายเปิดแดนเทพ”
“ฝ่าบาท…” เฉินฉุนเฟิงวิงวอนหมอบกราบลงบนพื้น แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าเขามิอาจขัดขวางไว้ได้ เขาถึงกับเคียดแค้นปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนท่านนั้น หากไม่ใช่เพราะนาง ต้าซือมิ่งก็ไม่ดึงดันจะทำตามใจตนเอง ฝ่าบาทก็คงไม่เหยียดหยามตำหนักซือมิ่ง
สำหรับต้าซือมิ่งผู้แข็งแกร่งแล้ว บางทีเขาอาจจะไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็หลุดพ้นทางโลกแล้ว แต่คนที่ยังคงทำหน้าที่ของตนในตำหนักซือมิ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เกรงว่าจะไร้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้ว!
แต่ไม่ว่าเฉินฉุนเฟิงจะคิดอย่างไร ทุกอย่างก็ตระเตรียมจวนจะเรียบร้อยเป็นไปตามที่หยวนคังฮ่องเต้ประสงค์ ทำเอาอินสวินอี้ร้อนรน อันที่จริงเขาอยากถามต้าซือมิ่งเหลือเกินว่าคิดจะทำอะไรกันแน่
ตามความเข้าใจของอินสวินอี้ที่มีต่อท่านเทพท่านนี้ เขาย่อมไม่เชื่อว่าท่านเทพท่านนี้จะปล่อยให้ผู้อื่นสบประมาทอย่าง ‘นั่งรอความตาย’ เช่นนี้! ถึงแม้ว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ท่านเทพท่านนี้จะต้องพิสูจน์ว่าเสี่ยวเป่าเป็นบุตรของเขาผ่านแดนเทพ แต่ถ้าทดสอบแล้ว…
“ต้าซือมิ่ง!” กู้หยวนซูรู้สึกเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง นางรู้ดีที่สุดว่าที่หยวนคังฮ่องเต้กระทำเช่นนี้ ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร ต้าซือมิ่งผู้ศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทานก็ต้องสูญเสียอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของเขา ไม่สามารถอยู่เหนือสรรพสิ่งเช่นเมื่อก่อน! ต้องตกลงมาจากแท่นบูชา
ถึงอย่างไรต้าซือมิ่งในอดีตก็ไม่เคยถูกใครกระทำเช่นนี้มาก่อน! หากผู้ใดกล้าหมิ่นประมาทความศักดิ์สิทธิ์ของต้าซือมิ่ง จุดจบมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือตาย!
ทว่าบัดนี้…
“เริ่ม!”
หยวนคังฮ่องเต้ ผู้แข็งแกร่งตระกูลซย่าโหวที่มีพลังวิเศษ เขาก็มีความสามารถในการเปิดแดนเทพของตำหนักซือมิ่งแห่งต้าซย่าเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขากล้าท้าทายอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์
ครั้งที่แล้วที่หยวนคังฮ่องเต้โจมตีต้าซือมิ่ง เขาก็ทำให้ต้าซือมิ่งบาดเจ็บขณะที่ราชสำนักเปิดแดนเทพกระทันหัน! ถึงอย่างไร…
วิ้ง!
เมื่อนแสงแรกที่สว่างจากแดนเทพปรากฏ ทุกคนในเหตุการณ์สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันศักดิ์สิทธิ์มหาศาล! และแรงกดดันนี้… ทำให้เยี่ยนอวี๋สั่นสะท้าน เพราะว่านี่เป็นแรงกดดันศักดิ์สิทธิ์ของนางเมื่อครั้นนางยังรุ่งโรจน์ ถึงแม้จะจางมากก็ตาม แต่นางจำไม่ได้ว่านางเคยทิ้งพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ในสถานที่แห่งนี้ ทว่าในบัดนี้นางพอจะเข้าใจความต้องการของต้าซือมิ่งแล้ว… เพราะว่าเมื่อแดนเทพเริ่มต้นขึ้น เมื่อแสงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏ แดนเทพที่สัมผัสเยี่ยนอวี๋ได้พลันส่องสว่างเจิดจ้า!
วิ้ง!
วิ้ง!… แสงหลากสีอันศักดิ์สิทธิ์ทะลักไปหาเยี่ยนอวี๋ในทันที!
นี่เป็นเหตุการณ์ที่แม้แต่เยี่ยนอวี๋ก็ไม่สามารถควบคุมได้ เพราะว่ากลิ่นอายของนางกำลัง ‘กลับรัง’ กลับไปในร่างกายของนาง เป็นสิ่งที่ร่างกายบอบบางนั้นมิอาจปฏิเสธได้
แต่ก็เป็นเพราะฉากเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในห้องโถงตะลึงตาโพลง! รวมถึงหยวนคังฮ่องเต้ที่กำลังเริ่มเปิดแดนเทพและกู้หยวนซูที่เคียดแค้นชิงชัง
ถึงอย่างไรหยวนคังฮ่องเต้ก็ไม่เคยเห็นแสงสีรุ้งศักดิ์สิทธิ์ไหลออกมา ทุกคนในเหตุการณ์ที่เคยเห็นแดนเทพต่างก็รู้ว่าแดนเทพไม่มีแสงสีรุ้งเช่นนี้ไหลออกมาเช่นกัน ฉะนั้น…
“!”
ทุกคนในเหตุการณ์อ้ำอึ้ง!
หากจะบอกว่า ‘เทพธิดา’ ที่ก่อนหน้านี้หยวนคังฮ่องเต้เรียกขานนั้น สำหรับทุกคนที่ได้ยินแล้วย่อมคิดว่าเป็นเพียงเล่ห์อุบายของพระองค์ เป็นเพียงคำเรียกขานตามมารยาทเพื่อทำให้นางยอมเข้ามาในวังแห่งนี้ได้ ทว่าในยามนี้ พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ามิใช่เช่นนั้น!
“ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน! นาง…” อินสวินอี้ที่ตั้งสติได้ก่อนผู้ใดเข้าใจทันทีว่าเหตุใดต้าซือมิ่งจึงยอมปล่อยให้หยวนคังฮ่องเต้หมิ่นประมาท ก็เพราะว่าเขาเห็นว่าชื่อเสียงของปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนสำคัญกว่าอำนาจและตำแหน่งของเขา! และเพราะว่าต้าซือมิ่งรู้ดีว่าเรื่องนี้ยืมมือหยวนคังฮ่องเต้จะได้ผลที่ดีกว่า เพราะว่าทุกคนต่างรู้ว่าหยวนคังฮ่องเต้ไม่สามารถควบคุมพลังแดนเทพได้! ยังไม่ทันสมรสก็ตามใจเช่นนี้เสียแล้ว…
“นางเป็นเทพธิดาจริงๆ!” เฉินฉุนเฟิงที่เติมคำในช่องว่างให้ก็อยากจะตบหน้าตนเอง เมื่อครู่นี้เขายังขุ่นเคืองหาว่าเยี่ยนอวี๋ใช้ความงามยั่วเย้าผู้อื่น บัดนี้เหลือเพียงความตะลึง!
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คำดูหมิ่น คำเหยียดหยาม และคำว่าร้ายที่เคยปรากฏบนตัวเยี่ยนอวี๋ (เยี่ยนจื่ออวี๋) ท้ายที่สุดก็กลายเป็นอดีต ถูกลบล้างกลายเป็นประวัติศาสตร์
เพราะว่านางเป็นเทพธิดาจริงๆ! เกิดมาบนความศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้นางในตอนนี้มีบุตรแล้ว นั่นก็เพียงลิขิตสวรรค์ ผู้ใดกล้าบอกว่านางนอนกับชายไม่เลือกหน้า เกรงว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ
ไม่เพียงเท่านี้…
วิ้ง
ชั่วขณะที่ต้าซือมิ่งยกมือขึ้นเพื่อรวบรวมแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์แห่งแดนเทพ แสงนั้นก็ปฏิเสธเขา เพราะเขาไม่ใด้อยู่ใน ‘ร่างพรหมจารี’ แล้ว
“นี่มัน…”
เฉินฉุนเฟิงและคนอื่นๆ ก็พบว่าหรงต้าซือมิ่งเหมือนกับหยวนคังฮ่องเต้ที่ทำได้เพียงอัญเชิญแสงแห่งแดนเทพ ทำได้เพียงยืมพลังของมันมาใช้ ราวกับว่าไม่สามารถรวมตัวกับมันอีกแล้ว!?
นี่มัน…
“ไม่ ไม่เหมือนกัน!” อินสวินอี้กลับพบว่าแสงสีรุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากร่างกายเยี่ยนอวี๋ มันรวมตัวเข้าไปในร่างกายของต้าซือมิ่ง ทำให้ต้าซือมิ่งมองภรรยาด้วยสีหน้าอมยิ้ม เยี่ยนอวี๋ถลึงตาใส่เขา! ริมฝีปากบางๆ อันเย้ายวนของเขาก็ค่อยๆ ยกขึ้น…
อินสวินอี้รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว! เทพผสานเทพ ย่อมมิอาจกล่าวว่าสูญเสียร่างอันบริสุทธิ์นั้นไปแล้ว ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเป็นเทพธิดา ต้าซือมิ่งเป็นเทพบุตร ช่างเป็นคู่แท้จริงๆ! ดูสิ แสงนั่นผสานตัวกันแล้ว”
“ใช่! ใช่จริงๆ ด้วย!” อินหลิวเฟิงตบมือดังป้าบ เขาเองก็เห็นแสงที่แผ่กระจายออกมาจากร่างเยี่ยนอวี๋เข้าไปในร่างของต้าซือมิ่งหรงแล้ว มันผสานรวมกันแล้ว!
ภาพตรงหน้า… ทำให้หยวนคังฮ่องเต้หน้าดำหน้าแดง! ทว่าอินสวินอี้ยังพูดต่อว่า “ไม่สิ! ไม่เพียงเท่านี้! ลมปราณของทั้งสามคนนี้ยังสั่นพ้องด้วย! สมแล้วที่เป็นครอบครัวเดียวกัน นี่เรียกได้ว่าเป็นเทพให้กำเนิดเทพ”
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ! ข้าจำได้ว่า แสงแห่งแดนเทพสามารถปัดเป่าวิชาชั่วร้ายต่างๆ เช่นวิชามารและวิชาลวงตา หากเป็นเช่นนี้ หน้าตาเสี่ยวเป่าไม่เห็นเปลี่ยนเลย!” อินหลิวเฟิงผสมโรง
“ก็นั่นน่ะสิ!” อินสวินอี้กล่าวปิดท้าย
“หุบปาก!” หยวนคังฮ่องเต้ทนไม่ไหวอีกต่อไป
ต้าซือมิ่งกลับกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ความจริงเป็นเช่นนี้”
ความจริงเป็นเช่นนี้… เพียงคำว่าความจริงเป็นเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หยวนคังฮ่องเต้กระอักเลือดแล้ว
แต่แล้ว… เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้