ตอนที่ 299 วันหมั้นหมาย! หรงอี้คือสามีของข้า!
เยี่ยนจื่อเยี่ยก็แปลก ปฏิเสธไปแล้วยังดึงดันซ้ำเติมหยวนคังฮ่องเต้ เขาไม่เพียงบอกว่าพวกเขาสองคนหมั้นหมายแล้ว ยังนำหนังสือหมั้นหมายออกมาให้หยวนคังฮ่องเต้ทอดพระเนตรด้วย
ทำเอาหยวนคังฮ่องเต้ที่แต่เดิมหน้าดำหน้าแดงอยู่แล้ว ยิ่งสะเทือนใจจนหน้าซีด มุมปากยังมีเลือดไหลซิบออกมา คงกำลังกลั้นเลือดที่กระอักออกมาไว้
“คุณชายใหญ่เยี่ยนเก็บหนังสือหมั้นหมายเถิด! ฝ่าบาทประสงค์ดูแลคุณหนูใหญ่เยี่ยนอย่างดีจริงๆ มิได้มีเจตนาร้ายใดๆ” เหอซงทำได้เพียงพูดแทนพระองค์ท่าน บอกให้เยี่ยนจื่อเยี่ยรีบเก็บหนังสือหมั้นสีแดงสดตรงหน้า!
เยี่ยนจื่อเยี่ยก็รู้จักประมาณตน ครั้นเขากำลังจะเก็บหนังสือหมั้นหมาย ต้าซือมิ่งที่อุ้มเด็กก็เดินเข้ามาหา “ข้าขอดูหน่อย”
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็อยากดูเช่นกัน เพราะตอนนี้ท่านพ่อของเขาไม่ป้อนอาหารให้แล้ว ในปากของเขาก็ไม่มีข้าวให้ทานแล้ว เขาจึงชะโงกศีรษะออกไปจะดูด้วย
เยี่ยนจื่อเยี่ยไม่อยากให้ กลัวว่าเจ้าคนนี้จะได้ใจ ทว่ามือของต้าซือมิ่งยื่นออกมาแล้ว ในฐานะที่เป็นพี่เขย ถือเสียว่าไว้หน้าต้าซือมิ่งแล้วกัน เขาจึงยอมให้ดู
ต้าซือมิ่งที่รับหนังสือหมั้นหมายมาก็เห็นลายมืออันประณีตที่เขียนวันเดือนปีเกิดของเขาและเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์บนหนังสือสีแดงสดใบนั้น วันหมั้นกำหนดไว้ที่วันเริ่มฤดูใบไม้ผลิปีหน้า อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่งานหมั้น อืม…
ใบหน้าของเขาที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มขึ้น สำหรับหยวนคังฮ่องเต้แล้ว ย่อมหมายถึงการโอ้อวด การได้ใจ และการตบหน้าตนอย่างเปิดเผย! ทำให้หยวนคังฮ่องเต้อยากจะออกจากที่นี่อย่างมิอาจทนได้อีกแล้ว
แต่กระนั้นต้าซือมิ่งก็ยังไม่ยอมจบง่ายๆ “ขึ้นหกค่ำเดือนหนึ่ง ต้นฤดูใบไม้ผลิ ข้าและคุณหนูใหญ่เยี่ยนจัดงานหมั้น ถึงครานั้นเรียนเชิญทุกท่านมาร่วมดื่มอวยพรที่ตำหนักซือมิ่งของข้า ซย่าโหวกุ่ย เรียนเชิญเจ้าด้วย”
ฮ่องเต้เกือบจะกระอักเลือดออกมาอีกแล้ว เขายกแก้วน้ำชาขึ้นมาก่อนจะกระดกน้ำชาลงไป พูดขึ้นว่า “กว่าจะถึงครานั้น ยังอีกยาวไหล” ความหมายอีกอย่างคือ ‘เราไม่ยอมแพ้แน่นอน!’
“นั่นน่ะสิ พี่ใหญ่ เลื่อนขึ้นมาหน่อยไม่ได้หรือ กลางฤดูใบไม้ร่วงเป็นไง” ต้าซือมิ่งยังเจรจากับพี่เขยใหญ่ต่อหน้าทุกคน
เยี่ยนจื่อเยี่ย “…”
เขาก็อยากกระอักเลือดเช่นกัน
“อ้ะเนะ! อ้ะเนะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับไม่เข้าใจ เขาถามว่าหมายความว่าอย่างไร ทำไมข้าฟังไม่รู้เรื่องเลย
เยี่ยนจื่อเสาเดาได้ว่าเด็กน้อยอยากถามอะไร เขาจึงอธิบายอย่างตรงไปตรงมา “ความหมายของการหมั้นก็คือท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าสามารถจับมืออยู่ด้วยกันได้แล้ว”
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากระจ่าง จากนั้นเขาก็จับมืออวบอ้วนของตนเองพลางยิ้มตาหยี “อ้ะเนะเนะ!” ราวกับกำลังบอกว่า ดีๆๆ!
“แต่งงานก็คือท่านพ่อและท่านแม่นอนด้วยกันกับเจ้าได้แล้ว” ต้าซือมิ่งฉวยโอกาสให้ความรู้คำว่า ‘แต่งงาน’ เพิ่มเติม
เยี่ยนเสียวเป่าตาลุกวาว! ในดวงตากลมโตของเขาราวกับมีดวงดาวนับไม่ถ้วนประกายระยิบระยับ ไม่เพียงเท่านี้…
“ไม่!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าดึงหนังสือหมั้นในมือท่านพ่อมาทันที และยื่นไปให้ท่านลุงใหญ่ จากนั้นก็เริ่มบ่น “อ้ะเนะเนะ! เนะๆๆ…”
“หมายความว่าอะไร” เยี่ยนจื่อเยี่ยงุนงง
เยี่ยนจื่อเสาเดาออก แต่เขาไม่อยากพูด
แต่ต้าซือมิ่งอยากพูด และก็พูดอย่างไร้ยางอายว่า “เสี่ยวเป่าอยากให้เปลี่ยนหนังสือหมั้นเป็นหนังสือสมรส”
เยี่ยนจื่อเยี่ย…
เจ้าหมอนี่ยังมียางอายหรือไม่ คนมุงดูมากมายเช่นนี้ เขายังกล้าเอาทารกน้อยมาพูดเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งๆที่เป็นความคิดของตนเอง!
แต่แล้ว…
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้า และยังตบมืออวบอ้วนไม่หยุด “อ้ะเนะเนะ! ลุง… ชะโย”
หยวนคังฮ่องเต้ดูถึงตรงนี้ก็รู้สึกขัดเคืองตามากนัก และคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้น่ารำคาญจริงๆ! อยากจะบีบคอให้ตาย! สมแล้วที่เป็นบุตรของคนแซ่หรงบัดซบคนนี้
แต่นอกจากหยวนคังฮ่องเต้ ทุกคนในเหตุการณ์ล้วนรู้สึกว่าเยี่ยนเสี่ยวเป่าน่ารักจริงๆ แม้แต่เหอซงก็คิดเช่นนี้ เขาไม่เคยพบเจอทารกน้อยที่ฉลาดเช่นนี้มาก่อน
กล่าวตามตรง เหอซงคิดว่าหากเด็กคนนี้เป็นโอรสของฝ่าบาท เช่นนั้นฝ่าบาทก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว มีเด็กที่หลักแหลมเป็นยอดและยังรู้จักช่วยท่านพ่อเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องเศร้าโศกที่ไม่สามารถแต่งงานกับเทพธิดาได้
“เจ้าสายลับน้อย!” เยี่ยนจื่อเยี่ยอดไม่ไหว เขาหยิกมืออวบอ้วนของหลานชายน้อยเบาๆ “แก้ไม่ได้แล้ว นี่เป็นความต้องการของท่านตาของเจ้า เขาใหญ่ที่สุด เราจำเป็นต้องฟังเขา”
เยี่ยนเสี่ยวเป่านิ่งงัน…
เยี่ยนจื่อเยี่ยจึงคิดว่าเขาเอาชนะเจ้าตัวน้อยได้แล้ว
ใครจะไปคิดว่าเจ้าตัวน้อยหันศีรษะกลับไปมองท่านพ่อ “พ่อ ไป ไปตา!” หมายถึงท่านพ่อพาข้าไปคุยกับท่านตา! ต้องแก้ไข ต้องให้ท่านพ่อรูปงามและท่านแม่คนงามนอนกับเสี่ยวเป่า
ต้าซือมิ่งตามใจ “ใจเย็นนะ คืนนี้เราเขียนจดหมายให้ท่านตา เขียนจดมายให้เขาก่อน”
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าดีใจ ก่อนจะหันไปหาท่านแม่
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้ว ภายในชั่วพริบตา นางถูก ‘ขาย’ ไปสองคราแล้ว คราแรกงานหมั้นของท่านพ่อเจ้าน้ำตา ครานี้เด็กน้อยก็ขายนางอีก
“แม!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่รู้ตัวเลยว่าตนหักหลังท่านแม่ เขายังมองท่านแม่ของเขาอย่างดีอกดีใจราวกับตนได้กระทำความดีครั้งใหญ่ สมควรได้รับคำชมเชย
อินสวินอี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรู้งาน “เช่นนั้นข้าถือโอกาสอวยพรต้าซือมิ่งและปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนด้วยสุราในงานเลี้ยงนี้ ยินดีด้วย”
“ยินดีด้วยขอรับ ยินดีด้วย!” อินหลิวเฟิงก็ลุกขึ้นแสดงความยินดีเช่นกัน
ต้าซือมิ่งพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่เขายังคงมองไปที่คนอื่นในห้องโถง แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรได้เล่า จึงได้แต่ลุกขึ้น ชูจอกและฝืนยิ้ม “ขอแสดงความยินดีกับต้าซือมิ่งและปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน”
“ขอบใจ” หรงต้าซือมิ่งพอใจแล้ว
ผู้คนที่ถือจอกสุราอยากจะร้องไห้ นี่มันงานเลี้ยงที่หงเหมินชัดๆ! และยังเป็นงานเลี้ยงที่หงเหมินที่เจาะจงไปที่พวกเขา หวังเพียงว่าหยวนคังฮ่องเต้จะไม่คิดบัญชีหลังจากนี้ พวกเขาถูกบีบคั้นทั้งนั้น!
ทว่าหลังจากทุกคนแสงดความยินดีแล้ว อีจี้จิ่วก็ร่วมแสดงความยินดีอย่างมีไมตรีว่า “ยากนักที่ต้าซือมิ่งจะหวั่นไหว ช่างเป็นข่าวดีจากสวรรค์จริงๆ และดีใจกับปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนด้วย ถึงวันนั้นข้าจะไปร่วมดื่มอวยพร”
“ขอบคุณ” แม้ต้าซือมิ่งที่อุ้มเด็กน้อยจะไม่ได้ยิ้ม แต่ทุกคนล้วนเห็นความได้ใจดั่งลมฤดูใบไม้ผลิที่โชยไปทั่วทุกแห่ง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หยวนคังฮ่องเต้น่าเวทนานัก…
ทว่าหยวนคังฮ่องเต้ก็ไม่ยอมทน เขาเขวี้ยงแก้วน้ำชาที่เหอซงเพิ่งให้คนยกไปถวาย และเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “หรงอี้! พอได้แล้ว”
“ทำไมหรือ ท่านไม่อยากแสดงความยินดีกับข้าหรือ” หรงอี้แสดงสีหน้าทะเล้นมองหยวนคังฮ่องเต้ที่กำลังโมโห “ท่านมีสตรีสามพันนางในวังหลัง ยังริอ่านทำให้เทพธิดาต้องแปดเปื้อน”
“เจ้า…” ในเรื่องนี้หยวนคังฮ่องเต้มิอาจสู้ต้าซือมิ่งที่มีร่างพรหมจารีอันบริสุทธิ์จริงๆ สีหน้าเขาคร่งขรึม แต่แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นช่างยากที่จะคาดเดานัก
ต้าซือมิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าเขาจะเข้าใจหยวนคังฮ่องเต้ จากนั้นต้าซือมิ่งก็ลูบเด็กน้อยตัวอวบอ้วนเบาๆ เงียบๆ
หยวนคังฮ่องเต้ทนดูต่อไปไม่ได้ แต่เดิมเขาคิดจะเย้ยหยันร่างพรหมจารีไร้น้ำยาของต้าซือมิ่ง! แต่บัดนี้บุตรโตเช่นนี้แล้ว เขาอยากจะกระอักเลือดอีกครั้งจริงๆ
เจ้าตัวน้อยมองหยวนคังฮ่องเต้ตาปริบ “อ้ะเนะ?” ใครกันนี่
หยวนคังฮ่องเต้ไม่มองเด็กน้อยด้วยซ้ำ เขาลุกยืนขึ้นและมองไปที่เยี่ยนอวี๋ที่อยู่ไม่ไกลนัก “เรื่องถึงบัดนี้ เราก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ศักดิ์ศรีของฮ่องเต้ เราไม่สนใจได้ เราแค่อยากถามว่า เทพธิดาจื่ออวี๋เจ้าคิดอย่างไร”
เมื่อสิ้นเสียงพูด… ในห้องโถงเงียบงันอีกครั้ง! ผู้คนมากมายไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะยังไม่ยอมแพ้!
กู้หยวนซูที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนก็กำหมัดที่อยู่ใต้ร่มผ้าไว้แน่น จนฝ่ามือของนางช้ำหมดแล้ว นางไม่คิดเลยว่าหยวนคังฮ่องเต้ผู้ดื้อดึงหัวแข็ง ไม่ยอมคน จอมเผด็จการ ทะนงตนและรักในศักดิ์ศรีความเป็นฮ่องเต้เช่นนี้จะทำถึงขนาดนี้เพื่อนังแพศยาเพียงคนเดียว!
แม้แต่เยี่ยนอวี๋เองก็คิดไม่ถึง… ถึงขนาดนี้แล้ว หยวนคังฮ่องเต้ยังไม่คิดยอมแพ้? นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ นางลุกขึ้นยืน…
“จื่ออวี๋เจ้ามิต้องพูดแล้ว” เมื่อหยวนคังฮ่องเต้เห็นเยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้ว เขาก็ทึกทักเองว่าตนเองเข้าใจเยี่ยนอวี๋ดี “ชัดเจนมาก หรงอี้เจ้าบีบคั้นนาง!”
“อ้ะเนะ!?” เยี่ยนเสี่ยวเป่างงงัน เห็นได้ชัดว่าเขาฟังเข้าใจแล้ว และยังแก้ไขให้อย่างจริงจังด้วย “แม! ชอบ… พ่อ!” ไม่ได้บังคับเสียหน่อย! ข้ารู้ดีที่สุด! ชิเชอะ
ทว่าหยวนคังฮ่องเต้ไม่เห็นเจ้าตัวน้อยในสายตา เขามองกลับไปที่เยี่ยนจื่อเยี่ย “งานสมรสของตระกูลเยี่ยนของเจ้า ไม่เคยถามความเห็นของจื่ออวี๋เลยหรือ”
“กระหม่อม…” เยี่ยนจื่อเสาร้อนรน!
เยี่ยนจื่อเยี่ยห้ามเขาไว้ เตรียมจะโต้กลับไปเอง
ทว่าครั้งนี้ ปฐมราชินีเยี่ยนผู้ไม่ถนัดพูดแทรกก็แย่งพูดขึ้นว่า “ข้าย่อมยินยอม”
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าดีใจ เขามองท่านแม่พลางยิ้มยาหยี ท่าที ‘ข้ารู้ดีที่สุด’ ทำให้เขาดูโตต่างจากเด็กวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง เด็กทั่วไปไม่สามารถแสดงสีหน้าอารมณ์ได้มากมายเช่นนี้!
เยี่ยนอวี๋มองเด็กน้อยที่ยิ้มดีใจอย่างอ่อนโยน เมื่อหยวนคังฮ่องเต้เห็นหน้าตาเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะบรรยายความงามออกมาอย่างไรดี มันแตกต่างจากความงามอันสูงส่งและสง่าของเทพธิดา แต่เป็นความงามที่สถิตอยู่บนโลกมนุษย์ งดงามเบ่งบานไปทุกแห่งหน ทั้งอ่อนโยนและมีเสน่ห์เหลือล้น
สตรีงามงดชั้นยอดเช่นนี้ ถึงแม้ไม่ใช่เทพธิดา หยวนคังฮ่องเต้ก็ไม่อยากพลาด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นเทพธิดา ผู้มีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมพลาดไปมิได้!
และในขณะที่หยวนคังฮ่องเต้คิดเช่นนี้
“เนะ”
เยี่ยนอวี๋เดินออกมาจากตำแหน่งของตนเอง นางเดินมุ่งไปทางหยวนคังฮ่องเต้หรือก็คือสองพ่อลูกนั่นแล้ว
จากนั้น…