ตอนที่ 303 เกี้ยวพานต้าซือมิ่งแล้วคิดจะหนี?
ระยะประชั้นชิดเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยนอวี๋ได้กลิ่นอายสง่างามหอมหวนราวกับกลิ่นธูปไม้จันทร์และหิมะแรกอันบริสุทธิ์จากร่างกายต้าซือมิ่ง มันพวยพุ่งเข้าไปในใจและพัวพันใจนางเหมือนกับมือของเขา แต่นางก็มิได้รังเกียจ แม้แต่หัวใจของนางเองก็…
“เสี่ยว…”
เยี่ยนจื่อเสาที่เพิ่งมาถึงกำลังจะเรียกนาง แต่ถูกเยี่ยนจื่อเยี่ยลากไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว!
“พี่ใหญ่?” เยี่ยนจื่อเสาที่ยังไม่เห็นอะไรรู้สึกงุนงง
เยี่ยนจื่อเยี่ยกลับไอกระแอมขึ้นสองสามที สีหน้าพิกล
“พี่ใหญ่เป็นอะไรหรือ” เยี่ยนจื่อเสายังนิ่งงันอยู่ตรงนั้น
“อย่าถาม!” เยี่ยนจื่อเยี่ยนยอมแพ้ต่อความฉลาดน้อยของน้องรองคนนี้จริงๆ เป็นถึงคนระดับตำนานแล้ว ไม่เห็นว่ามีคนคู่หนึ่งอยู่มุมกำแพงหรืออย่างไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหลือจะเชื่อยิ่งกว่าคือเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์… นางช่างเด็ดเดี่ยวจริงๆ
และในขณะเดียวกัน…
ปฐมราชินีเยี่ยนจอมเผด็จการก็กดมือที่คิดจะขยับของต้าซือมิ่ง ถึงอย่างไรต้าซือมิ่งก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายรับฝ่ายเดียวเช่นนี้ เขาอยากจับปลาตัวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขาเช่นกัน เพื่อทำขั้นตอนสุดท้ายให้สำเร็จ!
แต่แล้ว… เยี่ยนอวี๋ไม่ยอม
อีกทั้งเมื่อนางพบว่านางกำลังจะคุมเขาไว้ไม่อยู่ นางก็ ‘เตือน’ ว่า “บอกแล้วว่าอย่าขยับ!”
คำพูดเช่นนี้…
น้ำเสียงเช่นนี้…
เห็นได้ชัดว่าเจือปนไปด้วยเสน่ห์และความดื้อรั้นของเยี่ยนอวี๋โดยไม่รู้ตัว และยังพัวพันในลมหายใจของต้าซือมิ่งอย่างใกล้ชิดเช่นนี้… ต้าซือมิ่งที่ยังคงอุ้มเด็กน้อยแสดงแววตาลุ่มลึก แม้ว่าเขาจะโต้กลับได้ แต่เขาก็ยอมจำนนต่อนาง
ส่วนเยี่ยนอวี๋… เมื่อนางเห็นว่าเขา ‘ยอม’ แต่โดยดี นางก็เข้าใกล้ริมฝีปากจนปลายจมูกของนางแตะริมฝีปากที่ค่อนข้างเย็นแต่เย้ายวนใจใบนั้น ต้าซือมิ่งทำท่าจะหลับตาเคลิบเคลิ้ม แต่แล้ว… จู่ๆ เยี่ยนอวี๋ก็ถามขึ้นว่า “เป็นพรหมจารีจริงๆ หรือ”
ต้าซือมิ่ง “…”
คำถามทำลายบรรยากาศเช่นนี้! เขาขอปฏิเสธที่จะตอบ แต่เยี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาอยู่แล้ว นางกำลังหัวเราะเบาๆ ราวกับแมวที่พึมพำในลำคอ เยือกเย็นและเกียจคร้าน
ต้าซือมิ่งบีบมืออ่อนนุ่มที่กดทับมือของเขาไว้ ทำท่าจะจูบปากที่อยู่ประชั้นชิดนั้น แต่เจ้าของริมฝีปากแดงระเรื่อใบนั้นก็หลบทันสมกับชื่อ ‘เจ้าปลาน้อย’ ของนาง ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ นางก็หลบหนีได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างไรก็ไม่ยอมให้โอกาสเขา…
ไม่เพียงเท่านี้…
“ฮึ”
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยังพ่นหัวเราะออกมา แต่มิได้บางเบาดั่งเมื่อครู่นี้ แต่หัวเราะแบบมีเสียงออกมา ในเสียงหัวเราะยังแฝงความซุกซนและเย้าแหย่ เห็นได้ชัดว่านางหยอกต้าซือมิ่งเล่นอยู่จริงๆ!
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยังพูดขึ้นว่า “ครานั้นเจ้าบอกมิใช่หรือว่าข้าตามเจ้าไม่ทัน”
แค่คำพูดนี้… ทำให้หรงอี้ที่แต่เดิมอยากจะ ‘สั่งสอน’ ภรรยาหลุบตาลงและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เอ่อล้นไปด้วยความรัก “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์”
“หืม?”
เสียงสูงและเล็กของนางยิ่งเผยให้เห็นถึงความเย้ายวนของนาง ต้าซือมิ่งใจเต้นระรัว เขาก้มศีรษะลงแตะหน้าผากขาวเนียนของนาง “อย่าแค้นเคืองกันเลยได้หรือไม่”
“ไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าขอโทษได้หรือไม่”
“ไม่ได้”
“เช่นนั้นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ต้องการอย่างไร”
“ข้าขอคิดดูก่อน”
เยี่ยนอวี๋มองชายที่อยู่ตรงหน้าเพียงคืบหนึ่งคนนี้ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะยินยอมให้ชายที่ขี้ตื๊อเช่นนี้อยู่ข้างกาย กระทั่งทำให้นางรู้สึกหวั่นไหวราวกับนิยายรักๆ ใคร่ๆ เพียงเพราะเขา
คงเป็นเช่นนั้น
อันที่จริงเยี่ยนอวี๋ก็ไม่ค่อยมั่นใจ แต่สิ่งที่นางมั่นใจคือ ครั้นนางเข้าใกล้เขา หัวใจของนางก็จะเต้นเร็วขึ้น การ ‘แหย่’ เขาเช่นนี้ ก็ทำให้นางมีความสุข และความสุขเช่นนี้ก็ต่างจากการแหย่เด็กน้อย ทำให้นางรู้สึก… หวานฉ่ำ? ทำให้นาง…
ขณะที่ต้าซือมิ่งไม่ทันตั้งตัว เยี่ยนอวี๋ก็รัดเอวเขาไว้แน่นและยังประชิดเข้าไปที่ซอกคอของเขา ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกราวกับ…
“แค่กๆๆ!” เยี่ยนจื่อเยี่ยไอหนักขึ้นอีกหลายครั้ง เขาจำเป็นต้องเตือนน้องสาวให้พอได้แล้ว อย่าให้ฝ่ายนั้นได้เปรียบ! แต่กลับทำให้เยี่ยนจื่อเสาอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ เป็นอะไรกันแน่”
“บอกให้เจ้าอย่าถามไง” เยี่ยนจื่อเยี่ยนหมดคำพูด เขาอดคิดถึง ‘ความสำเร็จ’ ของน้องรองผู้โง่เขลาที่ทานยาแปรสภาพไปเมื่อครู่นี้ไม่ได้ ทำให้เขารู้สึกจุกตรงอกและอดถอนหายใจไม่ได้ เจ้าน้องรองผู้โง่เขลา…
ทว่าเยี่ยนอวี๋ที่อยู่ทางนั้นก็ปล่อยมือแล้ว แต่เมื่อนางมองต้าซือมิ่งอีกครั้ง ก็พบว่าดวงตาของเขาสว่างสุกใสมาก ราวกับพื้นผิวน้ำที่ถูกลมพัดจนเป็นริ้วคลื่นเปล่งแสงประกาย ช่างงดงามยิ่งนัก
เยี่ยนอวี๋อดลูบดวงตาของเขาไม่ได้ แต่ทันใดนั้นก็ถูกเขาคว้าข้อมือไว้ “อย่ามาเย้าแหย่ข้าบ่อยๆ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋ขานตอบเบาๆ น้ำเสียงของนางยังคงแฝงเสน่ห์เย้ายวนอย่างไม่ตั้งใจ และยังเจือปนด้วยความสง่าเยือกเย็นของปฐมราชินีเยี่ยน ท่าทางการวางอำนาจและความเย่อหยิ่งนั้น ทำให้หรงอี้ปล่อยมือนางและดึงนางเข้ามากอดในอ้อมอก ก่อนจะบรรจงจูบลงไปที่หน้าผากขาวผ่องของนาง “ข้าจะยอมให้เจ้าทำตามอำเภอใจอีกสองสามเดือน”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋เลิกคิ้ว สงสัยว่าสองสามเดือนคือกี่เดือน
หรงอี้กลับเงียบไม่พูดอะไรอีก และยังคงกอดว่าที่ภรรยาผู้บอบบางที่ไม่ทุบตีเขาอีกแล้วไว้ ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็อุ้มเด็กน้อยที่นอนหลับสนิทเหมือนลูกหมูไว้
ถึงแม้ทั้งสองคนนี้เป็น ‘เป้าหมาย’ ของเขาตั้งแต่แรก เป็นสิ่งที่เขาปรารถนาตลอดมา แต่จนถึงเมื่อครู่ที่อยู่ในโถงราชวัง เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวล…
จนเมื่อนางกุมมือเขาแล้วบอกว่านางยินยอม ชั่วจังหวะนั้นเขาก็แอบคิดว่าที่นางยอมถอยให้หนึ่งก้าวเป็นเพียงเพราะเสี่ยวเป่าของพวกเขาจริงๆ หรือ ทั้งๆ ที่ทุกๆ ฝีก้าวเป็นไปตามความคาดหมายของเขา ทั้งๆ ที่ทุกๆ ฝีก้าวเขาวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่านางจะ ‘ยอมสยบ’ แต่เมื่อทุกๆ ย่างก้าวบรรลุเป้าหมาย เขากลับรู้สึกว้าวุ่น จนเมื่อ… เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เกี้ยวพาเขาเช่นนี้ ความว้าวุ่นจึงสิ้นสุดลง ทว่าเยี่ยนอวี๋ที่ถูกโอบกอดก็จำเป็นต้องเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่าได้ใจเกินไป ข้า…”
“ชู่” หรงอี้จูบจอนผมของนาง “ข้าไม่ฟัง”
เยี่ยนอวี๋ “…”
“เจ้าคิดว่าข้าเขียนจดหมายให้พ่อตาขอให้ท่านเลื่อนวันแต่งงานของเราขึ้นมา ให้เราแต่งงานกันหลังจบพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนัก ดีหรือไม่” หรงอี้อยากจะรีบแต่งงานกับคนที่อยู่ในอ้อมอกมาเป็นภรรยาข้างกายใจจะขาด
“แค่กๆๆ!”
เยี่ยนจื่อเยี่ยที่อดทนไม่ไหวอีกต่อไปก็ไอเสียงดัง ทำท่าจะเข้าไปหาเรื่องแล้ว เขาจึงเดินย่ำเข้าไปหาพวกเขา
หรงอี้กลับไม่ยอมปล่อยมือ เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีจึงได้รับสิทธิ์กอดภรรยาผู้บอบบางเช่นนี้ จะพูดอะไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ
ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับไม่ตามใจเขา นางผลักเขาออก ต้าซือมิ่งมองนางเงียบๆ “เกี้ยวพาพอแล้วก็ผลักข้างั้นหรือ”
เยี่ยนจื่อเสาได้ยินเต็มสองหู ต้าซือมิ่งเองก็มิได้ตั้งใจจะปิดบังไว้อยู่แล้ว สีหน้าเขาเริ่มดูไม่ค่อยดี “หมายความว่าเมื่อครู่นี้พวกเจ้า…”
“หุบปาก!” เยี่ยนจื่อเยี่ยมองหนุ่มสาวสองคนด้วยความรู้สึกคันไม้คันมือ เมื่อเห็นว่าพวกเขามิได้ทำสิ่งใดเกินเลย สีหน้าเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ต่อไประวังหน่อย! ผู้คนเดินไปเดินมาเช่นนี้”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋ขานตอบอย่างว่าง่าย
แม้ต้าซือมิ่งจะไม่ได้ตอบ แต่เนื่องจากเมื่อครู่นี้เขาเป็นผู้ถูกกระทำ เยี่ยนจื่อเยี่ยจึงมิได้พูดอะไร “เข้าไปเถิด ข้ามีเรื่องคุยกับพวกเจ้า”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋รีบเดินนำหน้าไป
เยี่ยนจื่อเสาจึงสัมผัสได้ว่าฝีเท้าของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เหมือนจะกระฉับกระเฉงเล็กน้อย? ดูท่าน้องเขยคนนี้มีพัฒนาการแล้ว ไม่ถูกทุบตีแล้วยังทำให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มีความสุขอีก?
…
ผ่านไปหนึ่งเดือน
เนื่องจากพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักที่เลื่อนขึ้นมากำลังจะเริ่มขึ้นในอีกห้าวัน สำนักเลื่องชื่อน้อยใหญ่ในต้าซย่า กระทั่งสำนักต่างๆ ที่อยู่ใต้การปกครองของต้าซย่าก็มาถึงเมืองตี้ชิว เมืองหลวงแห่งต้าซย่าแล้ว ทำให้เมืองหลวงคึกคักเป็นพิเศษในรอบเจ็ดปี โรงเตี๊ยมและที่พักมากมายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน สำนักน้อยที่มาช้าไปมากมายหาที่พักไม่ได้ด้วยซ้ำ
ปีก่อนๆ ที่ผ่านมา สำนักชางอู่ก็เหมือนกับสำนักน้อยเหล่านี้ พวกเขาต้องรีบมาถึงเมืองหลวงจึงจะหาที่นอนได้ ทว่าปีนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะต้าซือมิ่งจัดแจงที่พักอาศัยให้ในตำหนักซือมิ่งแล้ว รอเพียงพ่อตาของเขาเข้ามาเมืองหลวง ดังนั้นปีนี้สำนักชางอู๋จึงมาถึงค่อนข้างช้า
“อ้ะเนะ!”
เจ้าตัวน้อยที่ถูกท่านพ่ออุ้มยืนรออยู่หน้าประตูเมือง เมื่อเขาเห็นธงสำนักต้นอู๋ถงสีแดงเพลิงของสำนักชางอู๋ เขาก็ส่งเสียงอย่างตื่นเต้นดีใจทันที
เยี่ยนจื่อเยี่ยถึงกับเหลือบมองเขา “เสี่ยวเป่าจำธงสำนักได้ด้วยหรือ”
“เนะ!”
เจ้าตัวน้อยรีบพยักหน้าบอกว่า ข้ารู้ทุกอย่างแหละขอรับ!
ใบหน้าตุ้ยนุ้ยที่เชิดขึ้นอย่างภูมิใจนั้น ทำให้เยี่ยนอวี๋อดหยิกเขาไม่ได้ “ใช่แล้ว เสี่ยวเป่าของเราฉลาดที่สุดเลย”
“ฮี่…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ถูกหยิกจนรู้สึกคันยิบๆ ก็ยิ้มพลางซ่อนตัวเข้าไปในอ้อมอกของท่านพ่อเขา และยังทำท่าแหวกเสื้อผ้าของท่านพ่อออกเพื่อมุดตัวเข้าไปด้วย แต่แล้ว…
“ไม่ได้!” เยี่ยนอวี๋ปิดแผ่นอกของต้าซือมิ่งไว้ ไม่ให้เสี่ยวเป่าแหวก ทำเอาต้าซือมิงมองนางด้วยสีหน้าอมยิ้ม…
และในเวลานี้ก็มีผู้คนไม่น้อยแหงนมองกลุ่มคนหน้าตางดงามจากข้างล่างกำแพงเมือง ในหมู่คนเหล่านั้นย่อมมีสตรีฝึกฌานจากแต่ละสำนักไม่น้อยและเหล่าผู้คลั่งไคล้ต้าซือมิ่ง
ทว่า…
“ว้าว! หลิงหยางจวินก็มาแล้ว!”
“จริงด้วย! ไม่คิดว่าวันนี้จะโชคดีเช่นนี้ ไม่เพียงได้เจออวี้หลินจวินที่รออยู่หน้าประตูเมือง ยังได้เจอหลินหยางจวินด้วย สวรรค์…”
“ใช่แล้ว! อวี้หลินจวินเรามิบังอาจฝันใฝ่ แต่หลิงหยางจวินยังพอเป็นไปได้!” เหล่าสตรีนักฝึกฌานแต่ละสำนักและสตรีในราชสำนักต่างถูกหยางเซ่าเหิงผู้สวมชุดสีทองที่กำลังเดินลงมาจากเกี้ยวอสูรดึงดูดสายตาไปแล้ว
แต่หยางเซ่าเหิงมองผ่านกลุ่มคนเหล่านี้ สายตาของเขาตกลงบนเงาร่างหลากสีที่อยู่บนกำแพงเมือง สีหน้าพลันปรากฏแววอาฆาต “นางก็คือเยี่ยนจื่ออวี๋รึ!”