ตอนที่ 305 เสี่ยวเป่าไร้เทียมทานใช้ความน่ารักเข้าสู้กุ้ยเฟย!
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ดูถึงตรงนี้ก็ตบมือให้กำลังใจท่านลุงใหญ่ของเขา “สู้! สู้…”
เสียงกู่ร้องอย่างอ่อนใสดังออกมาจากปากน้อยๆ ของเด็กน้อยไม่หยุด ทำให้กลุ่มคนที่กรีดเสียงร้องคลั่งไคล้เหล่านั้นเงียบลงก่อนจะพากันมองไปที่เด็กน้อยน่ารักท่านนี้
“เจ้านี่นะ” เยี่ยนอวี๋ยกมือขึ้นหยิกขาอวบอ้วนน้อยๆ ของเจ้าตัวน้อยเบาๆ ไม่รู้ว่านิสัยชอบดูผู้อื่นต่อสู้กันติดมาจากใคร
เมื่อเยี่ยนอวี๋คิดถึงตรงนี้ นางก็หันไปมองชายข้างกาย “ตอนเด็กเจ้าก็เป็นเช่นนี้หรือ”
หรงอี้เม้มปากไม่พูดอะไร เขายกมือขึ้นลูบศีรษะโล้นน้อยๆของเด็กน้อย ราวกับกำลังชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าตัวน้อย ทำให้เสี่ยวเป่ายิ่งหลงระเริงใจ “ลุง! สู้!”
ท่าทีเช่นนี้ทำให้เยี่ยนจื่อเยี่ยที่หนักแน่นดั่งต้นสนเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เชิญลงมือ หยางเซ่าเหิง”
หยางเซ่าเหิง “…”
หยางเซ่าเหิงที่แต่เดิมก็อยากต่อสู้ แต่บัดนี้เขาไม่อยากสู้แล้ว เพราะว่าศัตรูทำให้เขารู้สึกว่าการสู้กันครั้งนี้เป็นการสู้ให้เด็กน้อยดูเท่านั้น!
“คุณชายใหญ่เยี่ยน หากอยากจะประลอง ประลองกันในพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักไม่ดีกว่าหรือ ยามนี้หาใช่เวลาที่เหมาะสม มิใช่หรือ” ผู้อาวุโสที่มาพร้อมหยางเซ่าเหิงเอ่ยขึ้น
หยางเซ่าเหิงจึงถือโอกาสปฏิเสธว่า “ใช่แล้ว! จะได้แสดงความสามารถที่แท้จริงได้เต็มที่”
“ชิ” เยี่ยนจื่อเยี่ยส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม ราวกับกำลังด่าว่า ‘หนูน้อยขี้ขลาด’
หยางเซ่าเหิงสีหน้าเคร่งขรึม ความมืดมนปกคลุมใบหน้าเย็นชา หากไม่ใช่เพราะมีผู้อาวุโสสำนักคุนอู๋คอยห้ามไว้ หยางเซ่าเหิงคงอดกลั้นไว้ไม่อยู่ น่าเสียดายที่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสท่านนั้นมีอำนาจไม่น้อย อย่างน้อยหยางเซ่าเหิงก็ยอมฟังเขา
เสียดาย…
“กาก!”
เจ้าตัวน้อยที่อดดูละครก็พึมพำเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังว่าหยางเซ่าเหิงกาก!
กลิ่นอายอันตรายของหยางเซ่าเหิงโพยพุ่ง เขาสาดสายตาไปที่เจ้าตัวน้อยทันที
เจ้าตัวน้อยกลับแลบลิ้นใส่เขา “แบร่ๆๆ!”
หยางเซ่าเหิง “!”
“เจ้าสำนักน้อย อย่าสนใจเด็กน้อยเลย” อันที่จริงผู้อาวุโสสำนักคุนอู๋รู้สึกเหมือนอกจะแตก เขาไม่คิดเลยว่าแม้แต่ทารกน้อยในฝ่ายศัตรูยัง ‘ดุดัน’ เช่นนี้
“เสี่ยวเป่าเก่งจริงๆ!” เยี่ยนจื่อเสาเชยชมเจ้าตัวน้อย “สำหรับคนบางคนเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่ข้า ลุงใหญ่เจ้าแล้วก็เป็นแค่กากเดนเท่านั้น คิดว่าเป็นตำนานแก่กล้าอะไรเสียอีก ถุย!”
“ถุย!” เจ้าตัวน้อยเลียนแบบ
เยี่ยนอวี๋หยิกแก้มตุ้ยนุ้ยของเด็กน้อยทันที “ห้ามถุยน้ำลายนะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่ยอม “ป่าว!” เขาไม่ได้ถุยน้ำลายออกมาเสียหน่อย!
เยี่ยนอวี๋ “…”
“ฟังท่านแม่เจ้าเถอะ เจ้าก็เห็นว่าพ่อไม่เคยถุยน้ำลายนี่” ต้าซือมิ่งสั่งสอนเด็กน้อย
เยี่ยนเสี่ยวเป่าทำท่าครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ก้มใบหน้าที่เชิดขึ้นลงมา ท่านแม่ของเขาจึงจับคางน้อยๆของเขา “เจ้านี่นะ ท่านพ่อพูดถูกเสมอ”
“แม…” เจ้าตัวน้อยที่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์กอดมือของท่านแม่ไว้ ทำท่าออดอ้อนเรียกความเอ็นดู
เยี่ยนอวี๋ถูกอ้อนจนอุ้มตัวน้อยอ้วมท้วมและจูบศีรษะโล้นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นโดยไม่สนใจกลุ่มคนหยางเซ่าเหิง “ท่านพ่อ พวกท่านเดินทางมาเหนื่อยมากแล้ว เรากลับไปพักผ่อนในตำหนักก่อนเถิด”
“ใช่แล้ว ตำหนักซือมิ่งจัดห้องพักผ่อนไว้ให้แล้ว” ต้าซือมิ่งเองก็ไม่เห็นลัทธิเซิ่งเหลียนและหยางเซ่าเหิงในสายตา ฝ่ายหลังได้แต่แสดงแววตาเคร่งขรึม
“ชายคนนั้นคือใคร” ชือปี้เหลียนกลับมองต้าซือมิ่งด้วยความหลงใหล
หยางเซ่าเหิงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง เขาเพียงตอบว่า “ต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซือมิ่ง”
“เขาก็คือต้าซือมิ่งหรือ!” แววตาชือปี้เหลียนพลันแปรเปลี่ยน นางเคยได้ยินว่าหลายเดือนก่อนต้าซือมิ่งท่านนี้สามารถกำราบท่านประมุขได้
แต่เดิมนางคิดว่าต้าซือมิ่งจะเป็นชายแก่ที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ไม่คิดเลยว่าต้าซือมิ่งท่านนี้จะอ่อนเยาว์และยังน่าหลงใหลเช่นนี้!
“ใช่แล้ว คนที่เคยดูหมิ่นประมุขลัทธิเซิ่งเหลียนของเจ้า” หยางเซ่าเหิงตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ในใจกลับไม่อยากจะยอมรับว่าต้าซือมิ่งท่านนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เขามิอาจเทียบเคียงได้ หากไม่ใช่เพราะต้าซือมิ่งคนนี้ เขาคงบุกเข้าไปสังหารคนในสำนักตั้งแต่วันที่เขาได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งแล้ว คงไม่ปล่อยให้สารเลวนั่นลอยนวลจวบจนทุกวันนี้หรอก เจ้าคนสารเลวนั่น…
“ใช่แล้ว เจ้าสำนักน้อยคุนอู๋ได้รับพิษสุนัขบ้าไปแล้วจริงๆ พิษของเจ้าแค่ถูกระงับไว้ เจ้าต้องควบคุมให้ดี อย่าเห่าหอนไปทั่ว มีแต่จะทำลายสมุนไพรชั้นดีที่ยับยั้งพิษของเจ้าไว้” น้ำเสียงราบเรียบทว่าไพเราะดั่งเสียงเพลงของเยี่ยนอวี๋ดังขึ้น
หยางเซ่าเหิงโมโหจนตัวสั่น “เจ้า!”
“ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน อะไรที่ให้อภัยได้ก็ให้อภัยเถิด” ผู้อาวุโสสำนักคุณอู๋เอ่ย
“ข้าว่าเขาแล้วหรือ” เยี่ยนอวี๋ถามกลับอย่างเยือกเย็น
ผู้อาวุโสจุก ทำได้เพียงกดหยางเซ่าเหิงไว้และส่งกระแสจิตห้ามปรามว่า “เจ้าสำนักน้อยใจเย็น พวกเขาเหิมเกริมได้อีกเพียงไม่นานหรอก!”
“ฮึ!” หยางเซ่าเหิงจึงดับอารมณ์โมโหลง ความอาฆาตในแววตากลับมิอาจปิดซ่อนได้
เยี่ยนอวี๋ปริปากอย่างไม่แยแส “หมาบ้า”
“หมา!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ได้ทันที
เยี่ยนอวี๋จูบเด็กน้อยเบาๆ “เสี่ยวเป่าเก่งจังเลย”
“ฮี่ๆ” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากอดคอท่านแม่ไว้และถูๆ ไถๆ อย่างออดอ้อน
ต้าซือมิ่งรับเสี่ยวเป่าไป มือข้างหนึ่งจูงภรรยา “ไม่คุยกับหมาบ้าแล้ว เรากลับกันเถิด”
“อืม” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า
พวกเขาจึงเคลื่อนขบวนเข้าไปเมืองหลวงอย่างเกรียงไกร เสียงดังเซ็งแซ่ “ที่ผ่านมายามสำนักชางอู๋เข้าเมืองมิเคยยิ่งใหญ่เอิกเกริกเช่นนี้มาก่อน”
“เจ้าก็ดูสิว่าปีนี้สำนักชางอู๋มีใครมาเพิ่ม คนหนึ่งคือปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน อีกคนหนึ่งคือจอมเทพบนโลกมนุษย์ต้าซือมิ่ง คนหนึ่งเป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักแห่งสำนักชางอู๋ อีกคนหนึ่งเป็นลูกเขยของเจ้าสำนักแห่งสำนักชางอู๋”
“ดูท่าปีนี้สำนักชางอู๋คงได้เลื่อนขั้นแล้ว ข้าต้องรีบไปวางเงินเดิมพันที่หอการค้าเงินทองแล้ว ยังทันหรือไม่นะ” ในขณะที่ฝูงชนซุบซิบกัน คนจำนวนไม่น้อยที่แยกย้ายไปแล้วต่างไปวางเงินเดิมพันให้สำนักชางอู๋ชนะที่หอการค้าเงินทอง
สำนักคุนอู๋ที่เป็นเจ้ามือก็รับเงินพนันเหล่านั้นที่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเสียอย่างยินดีปรีดา กระทั่งยังปล่อยข่าวออกไปว่าสำนักชางอู๋จะได้เลื่อนอันดับ ทำให้ผู้คนที่ตามกระแสไม่น้อยวางเงินเดิมพันตามๆ กันไป
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องภายหลัง สำหรับบัดนี้ หยางชีซานได้แต่ทอดถอนใจ “อดีตยามที่เรามาตี้ชิว เราเคยเกรียงไกรเช่นนี้เสียที่ไหน และก็ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่สำนักคุนอู๋ดูหมิ่นสำนักเราตั้งแต่หน้าประตูเมือง”
“…เฮ้อ” ประมุขหอโอสถถอนหายใจ “โชคดีที่มีคุณหนูใหญ่”
ประมุขหออัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ก็พยักหน้า “เป็นจริงดังนั้น หากไม่มีคุณหนูใหญ่ สำนักชางอู๋ของเรายังคงเป็นสำนักชางอู๋เดิม สำนักชางอู๋ที่ยังไม่ทันก้าวเข้าเมืองหลวงก็ถูกสำนักคุนอู๋เหยียบจมดินแล้ว”
“เป็นอดีตที่ยากจะทานทนได้” ผู้อาวุโสไม่น้อยมองร่างเงาหลากสีที่อยู่ข้างหน้า อดคิดถึงเหตุการณ์ที่คุณหนูใหญ่เกือบจะกลายเป็นนักโทษเมื่อครั้นคุณหนูใหญ่ท่านนี้เพิ่งกลับมาสำนัก หากทุกอย่างเป็นไปตามความประสงค์ของเยี่ยนอู้ในครานั้น บัดนี้เกรงว่าคงไม่มีสำนักชางอู๋แล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสำนักชางอู๋ว่าจะเข้ามาเมืองหลวงอย่างเกรียงไกรและเดินเข้าตำหนักซือมิ่งอย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้
“โชคดีที่มีจ่านเลี่ยงซาน” ประมุขหอโอสถกล่าว “หากไม่ใช่เพราะเขาควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ก่อนที่เจ้าสำนักจะกลับมาและยืนหยัดอยู่เคียงข้างคุณหนูใหญ่ คนตาบอดเช่นพวกเราคงหลงกลเยี่ยนอู้ไปแล้ว”
“ใช่แล้ว ช่างไม่ยุติธรรมเลยที่ครั้งนี้ไม่ให้เขามาด้วย” ประมุขหออัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ยิ้มเล็กน้อย
ประมุขหอโอสถก็ยิ้มเช่นกัน พวกเขาคิดถึงประมุขหอสัตว์บรรพกาลชายร่างกำยำที่ถูกทิ้งให้เฝ้าสำนัก มองส่งพวกเขาด้วยดวงตาแดงก่ำและน่าเวทนา
“ประมุขหอของเรารู้ว่าปีนี้สำนักชางอู๋ต้องสว่างรุ่งโรจน์จึงรู้สึกเสียดายมาก” ผู้อาวุโสหอสัตว์บรรพกาลกล่าว พวกเขาต้องช่วยแก้ต่างให้ลูกพี่
“ใช่แล้ว สำนักชางอู๋ของพวกเรา ปีนี้ต้องสว่างรุ่งโรจน์แน่นอน” ประมุขหอโอสถมั่นใจอย่างยิ่ง! โดยเฉพาะเมื่อเห็นเยี่ยนจื่อเยี่ยที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจ
…
หลังจากผ่านไปห้าวัน
ตุ้ม!
ตุ้ม! ตุ้ม!…
เสียงกลองโบราณดังกึกก้อง พิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักเจ็ดปีหนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
สำนักน้อยใหญ่ต่างออกจากที่พักของตนเอง รวมตัวกันที่ลานสนามในราชสำนักที่จัดพิธี
นอกจากเจ็ดสำนักรุ่นที่แล้ว สำนักน้อยที่เหลือก็ไม่มีที่ให้นั่งในลานแห่งนั้น พวกเขาทำได้เพียงยืนดู แต่ก็มิได้เป็นปัญหาต่อความกระตือรือร้นของพวกเขา
ผู้แข็งแกร่งบางคนก็ลอบพ่นหมอกควันเพื่อประชันกันแย่งพื้นที่ด้านหน้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะเหล่ากองกำลังลาดตระเวนของราชสำนักมีพละกำลังแข็งแกร่งพอ พวกเขาคงสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เหตุการณ์คึกคักเช่นนี้ทำให้เจ้าตัวน้อยดีใจจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว “อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ…”
“เด็กดี” ต้าซือมิ่งที่เป็นเพียงผู้เดียวที่อุ้มเด็กน้อยไว้ได้ต้องคอยลูบศีรษะโล้นน้อยๆ ของเขา เพื่อให้เด็กน้อยสงบอารมณ์ลง มิเช่นนั้นเขาอาจจะตกลงบนพื้นเพราะดีใจเกินเหตุอีกครั้ง…
ในขณะเดียวกัน…
ขันทีราชสำนักก็ประกาศ “กู้กุ้ยเฟยเสด็จ!”
กู้หยวนซูเป็นคนแรกที่มาถึงราชสำนัก แต่นางกลับมิได้เสด็จมาพร้อมหยวนคังฮ่องเต้ นางนั่งเกี้ยวของตนเองมา ทว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายนางกลับเป็นเหอซง หัวหน้าผู้ดูแลราชสำนัก!?
นี่มัน…
คนไม่น้อยที่รู้สถานะของเหอซงดีต่างมองกู้หยวนซูอย่างตะลึงงัน ฝ่ายหลังหลังจากลงจากเกี้ยวแล้วกลับเดินตรงไปหาต้าซือมิ่ง
เยี่ยนอวี๋หรี่ตาลงเล็กน้อย นางเห็นกู้หยวนซูเดินตรงเข้ามาและทักทายอย่างมีมารยาท “คารวะต้าซือมิ่ง”
ไม่เพียงเท่านี้…
หลังจากที่กู้หยวนซูคารวะหรงต้าซือมิ่งแล้ว นางยังพยักหน้าน้อยๆ อย่างอ่อนโยนให้เยี่ยนอวี๋ “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน”
“เนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่ารู้สึกงุนงงไปหมด เขาจำได้ว่าคนๆนี้ เป็นคนเลวนี่นา!
กู้หยวนซูกลับยื่นมือไปหาเด็กน้อย “น่ารักจริงๆ เลย ข้าอุ้มหน่อยได้หรือไม่จ๊ะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองมือที่ยื่นออกมาอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะกะพริบตาปริบ สุดท้ายเขาก็ยื่นมืออวบอ้วนน้อยๆ ของตนออกไปเช่นกัน
เมื่อกู้หยวนซูเห็นดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้นทันที แววตาปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน ทึกทักไปเองว่าแผนของตนจะสำเร็จ! แต่แล้วครั้นกู้หยวนซูก้มตัวลงจะอุ้มเสี่ยวเป่า…
“เนะ!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับหมุนตัวกลับเข้าไปในอ้อมอกของท่านพ่อ ก่อนจะตดใส่กู้หยวนซูเสียงดังป้าด