ตอนที่ 312 ต้าซือมิ่งทาสเมียออกโรง!
“ม้าฮวนซู!”
หยางเทียนชื่อมองเงาอสูรนั้นอย่างอ้ำอึ้ง เขารู้ว่านั่นคือม้าฮวนซูอสูรในตำนาน! เป็นม้าขี่ของปฐมราชินีศักราชหยวนชูในตำนานที่มีความรวดเร็วมาก!
และท่าร่าง ‘หายตัวไร้ร่องรอย’ ของชุ่ยชุ่ยก็มีวิวัฒนาการมาจากท่าร่างอันศักดิ์สิทธิ์ของม้าฮวนซู นางจึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ยิ่งเมื่อนางระเบิดพลังออกมาอย่างสุดกำลังในยามนี้…
ทว่าเพียงพริบตาเดียวนางก็หลีกหนีศิษย์สำนักคุนอู๋สามสิบนายไปโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ! หนึ่งลมหายใจ! เพียงแค่หนึ่งลมหายใจจริงๆ…
ในยามนี้อย่าว่าแต่ศิษย์สำนักคุนอู๋สามสิบนายจะไม่ทันไหวตัวเลย แม้แต่หยางเทียนชื่อเองก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะจับสาวใช้คนนั้นไว้ได้
“ร้ายกาจนัก!” หยางเทียนชื่ออุทาน “สาวใช้ทั้งสองของปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนล้วนเป็นคนแข็งแกร่ง นางกลับให้คนหนึ่งแสร้งเป็นคนอ่อนแอขี้แย”
“จริงตามนั้น” หยางถิงซานสีหน้าเคร่งขรึม “ทำเอาพวกข้าตั้งตัวไม่ทัน”
แต่แล้วสิ่งที่ ‘ร้ายกาจ’ ยิ่งกว่าคือ… หลังจากจัดการพวกเขาเสร็จ เมื่อชุ่ยชุ่ยยืนนิ่งแล้ว เหล่าศิษย์สำนักคุนอู๋ที่เหมือนกับว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ก็เพิ่งพบว่าเสื้อของพวกเขาขาดวิ่นหมดแล้ว? นี่มัน…
“แย่แล้ว! ป้ายชื่อของข้า?” ศิษย์สำนักคุนอู๋คนแรกที่พบว่าป้ายชื่อของตนหายไปก็รีบหันไปมองชุ่ยชุ่ย
ชุ่ยชุ่ยถือป้ายชื่อไว้เต็มสองมือตามคาด ป้ายชื่อเหล่านี้ก็คือป้ายชื่อของศิษย์สำนักคุนอู๋ทั้งสามสิบนาย ซึ่งมาจากการ ‘ขโมย’ ชั่วขณะลมหายใจเมื่อครู่นี้นั่นเอง!
ฉะนั้น…
“ไสหัวไปเถอะ!”
เมื่อชุ่ยชุ่ยบีบป้ายชื่อทั้งหมดด้วยพลังจนแตก ศิษย์สำนักคุนอู๋สามสิบนายก็ถูกส่งออกจากสนามประลองทันที พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะต่อสู้
คราวนี้กลุ่มคนจางซ่านจยาไม่ถูกด่าแล้ว ถึงตาของศิษย์สามสิบคนนี้แทน เพราะพวกเขาดันเก็บป้ายชื่อไว้ในที่เดียวกัน! ไม่ได้เก็บไว้ในถุงวิเศษ!
ในความเป็นจริงแล้ว ป้ายชื่อของกลุ่มคนจางซ่านจยาก็เก็บไว้ในอกเช่นกัน เพื่อสะดวกต่อการหยิบจับ เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และก็เป็นเพราะว่าพวกเขาทำเช่นนี้ ชุ่ยชุ่ยจึงรู้ว่าที่แท้พวกเขาเก็บป้ายชื่อไว้ในอกทั้งนั้น การจู่โจมครานี้นางจึงทำสำเร็จได้อย่างราบรื่น
“วิเศษนัก!” อินหลิวเฟิงที่ดูถึงตรงนี้ก็ตบมือชื่นชม “จู่โจมศัตรูด้วยความเร็วโดยที่ศัตรูไม่ทันไหวตัว เล็ง ‘จุดตาย’ ของพวกเขาไว้แม่น และกำจัดพวกเขาออกมาทันที”
“วิเศษจริงๆ” เยี่ยนชิงก็ไม่คิดว่าชุ่ยชุ่ยที่เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวจะเก่งกาจเพียงนี้ เพียงนางคนเดียวก็กำจัดคนสำนักคุนอู๋ไปสิบสี่คนแล้ว!
“ศิษย์น้องชุ่ยชุ่ยช่วยแก้แค้นให้พวกเราแล้ว” จ่านเผิงที่มีสีหน้าขาวซีดทอดถอนใจ เขารู้สึกละอายใจนัก “หากพวกเราระวังตัวกว่านี้…”
“ช่างเถอะ ใครจะไปคิดว่าคนสำนักคุนอู๋จะต่ำช้าเช่นนี้! ไม่เพียงแต่วางแผนชิงความได้เปรียบ ยังหน้าด้านวางยาอีกด้วย” เยี่ยนชิงกลัวว่าสำนักคุนอู๋จะไม่ได้ยิน เขาจึงพูดตะโกนออกมา
“ใครกันแน่ที่หน้าด้าน!” หยางถิงซานไม่พอใจ “พวกเจ้าเสแสร้งให้ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งเป็นคนขี้แย พวกเจ้าไม่ละอายรึไง”
“ชุ่ยชุ่ยของเราเป็นคนขี้แยอยู่แล้ว” เม่ยเอ๋อร์โต้กลับอย่างโมโห!
หยางถิงซานจุก “งั้นก็เป็นขี้แยที่แข็งแกร่ง!”
“ขี้แยแล้วไง จะแข็งแกร่งไม่ได้รึไง พวกเจ้าตาบอดเอง ยังมีหน้ามาหาว่าชุ่ยชุ่ยขี้แยอีก?” เอ้อร์เหมาเองก็รู้สึกว่าสำนักคุนอู๋ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
หยางถิงซานจุกกว่าเดิม หยางเซ่าเหิงจึงโต้กลับอย่างเยือกเย็น “มิต้องพูดให้มากความแล้ว พวกเจ้าภาวนาให้ขี้แยคนนี้ของพวกเจ้าอยู่จนถึงสุดท้ายให้ได้เถอะ! มิเช่นนั้นสำนักชางอู๋ของพวกเจ้าก็จะถูกถอนชื่อออกจากต้าซย่า!”
“คนที่ควรภาวนาคือเจ้ามากกว่า นางอยู่ถึงสุดท้ายได้แน่นอน” เยี่ยนอวี๋เอ่ย เสียงใสดั่งสายน้ำ เย็นยะเยือกสู่ใจคน ทำเอาคนที่ได้ยินต่างเสียวสันหลังวาบ
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หยางเซ่าเหิงจ้องเยี่ยนอวี๋เขม็ง “หรือว่าหากนางออกมาไม่ได้ เจ้าจะให้ต้าซือมิ่งเหยียบสำนักข้าให้ราบเป็นหน้ากลองรึ ฮึ หากเป็นเช่นนี้ สำนักคุนอู๋ก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ต้าซือมิ่งหากเป็นคนไร้คุณธรรมจริงๆ เขาก็ไม่คู่ควรเป็นต้าซือมิ่ง!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเช่นนี้ต้องการปิดทางต้าซือมิ่ง! และยังเป็นการเตือนและข่มขู่ต้าซือมิ่ง
แต่แล้ว…
“ข้าอยากเป็นต้าซือมิ่งหรือ?” ต้าซือมิ่งเลิกคิ้วถาม ทำเอาทุกคนสะดุ้ง!
หยางเซ่าเหิงหน้าซีดกว่าผู้ใด เพราะว่าการถามกลับเช่นนี้หมายถึงต้าซือมิ่งเขาไม่สนใจตำแหน่งต้าซือมิ่งแม้แต่น้อย! หรือก็คือไม่ว่าจะเป็นต้าซือมิ่งหรือไม่ เกรงว่าเขาก็ยังคงมีพลังวิเศษ
หยางเซ่าเหิงและคนอื่นๆ ของสำนักคุนอู๋จึงหุบปากแต่โดยดี แต่พวกเขาไม่มีทางรู้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการทำให้เยี่ยนอวี๋โมโห! และเยี่ยนอวี๋ในตอนนี้เองก็ถูกยั่วโมโหแล้วจริงๆ
นางผู้ที่อยู่สูงส่งจนเคยชิน ย่อมไม่เคยต้องการยื้อแย่งสิ่งใด และนางก็เข้าใจดีว่า หากต้องการให้สำนักชางอู๋เจริญรุ่งโรจน์อย่างแท้จริง ก็ต้องมีคนรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมและมีพลังของตัวสำนักเอง อันที่จริงนางก็ไม่ได้อยากลงมือ แต่ว่า…
เยี่ยนอวี๋หรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นอายเยือกเย็นแผ่ซ่าน ทำเอาเจ้าตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ มองไปที่ท่านแม่ของเขาด้วยสัญชาติญาณ “แม!”
“อื้ม” เยี่ยนอวี๋ชายตามองเด็กน้อย
เยี่ยนเสี่ยวเป่ายื่นมืออวบอ้วนของตนออกมา “อุ้ม…”
เยี่ยนอวี๋ที่แต่เดิมโมโหอยู่ก็รีบยื่นมือออกไปอุ้มเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมอกก่อนจะจูบเบาๆ “ทำไมจู่ๆอยากให้แม่อุ้มล่ะ”
“ชอบ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายิ้มตาหยี บอกว่าชอบท่านแม่ที่สุด!
เยี่ยนอวี๋ยิ้ม “เมื่อครู่นี้กินอะไรไปจ๊ะ ปากจึงหวานเช่นนี้”
“ขนม!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองท่านพ่อของเขาอย่างมีความสุข บอกว่า เสี่ยวเป่าอยากกินอีกชิ้น
ต้าซือมิ่งก็ยื่นให้ ถือเป็นรางวัลให้เด็กน้อยที่เกลี้ยกล่อมภรรยาให้หายโกรธได้
“เย้…” เยี่ยนเสี่ยวเป่ารับขนมมาพลางส่งเสียงดีใจ ทำเอาเยี่ยนอวี๋ยิ่งรื่นเริง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความเคืองที่มีต่อสำนักคุนอู๋ของนางจะมลายหายไปด้วย
ต้าซือมิ่งรับรู้ถึงความโมโหที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในใจของภรรยา เขาก็ยื่นมือออกไปจับมืออ่อนนุ่มของนางไว้แล้ว จากนั้นก็ยกขึ้นมาจูบเบาๆ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ความรักเอ็นดูที่เอ่อล้นออกมาก็ทำเอาคนไม่น้อยรู้สึกหวานเลี่ยนไปหมด
อินหลิวเฟิงคนหนึ่งแล้วที่รู้สึกปวดฟัน เขาทนดูต่อไปไม่ไหวจึงหันศีรษะไปดูชุ่ยชุ่ยต่อดีกว่า!
“คราวนี้คนสำนักคุนอู๋หาชุ่ยชุ่ยไม่เจอแล้วแน่!” เอ้อร์เหมาที่คอยจับตามองชุ่ยชุ่ยมาตลอดก็เอ่ยขึ้น “นางวิ่งเร็วเช่นนี้ คนสำนักคุนอู๋ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องแย่แล้ว!”
ทว่าเม่ยเอ๋อร์กลับพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ก็ไม่แน่ มีคนเลวอยู่!”
“ไหน” เอ้อร์เหมาถ่างตามอง
อินหลิวเฟิงสายตาคมกริบ เขาจึงเห็นทันที “ในกอหญ้า! เฮ้อ! ร้ายจริงๆ! ในกอหญ้ามีคนซ่อนอยู่จริงด้วย คนนั้นคือใคร เม่ยเอ๋อร์ เจ้าดูออกหรือ”
เม่ยเอ๋อร์มิได้ตอบ ในสนามประลอง คนๆ นั้นซ่อนตัวอยู่ในกอหญ้าตั้งแต่แรก เมื่อเขาเห็นว่าชุ่ยชุ่ยชิงป้ายชื่อของศิษย์สำนักคุนอู๋ไปอย่างไรแล้วก็คลานออกมาจากกอหญ้า
เครื่องแต่งกายสีเงินระยิบระยับ ต่างจากการแต่งกายของจงหยวน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคือศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียน! และศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนคนนี้ก็หายวับไปทางกลุ่มคนหยางไป่หมิง เห็นได้ชัดว่าเขาไปบอกข่าวแล้ว
“ให้ตายเถอะ! เลวจริงๆ!” เอ้อร์เหมาผู้ที่เป็นคนอารมณ์ดีเช่นนี้ยังโมโหจนด่าคำหยาบ
อินหลิวเฟิงเองก็จุกจนพูดไม่ออก “เลวจริงๆ!”
“ลัทธิเซิ่งเหลียน!” เยี่ยนจื่อเสาจ้องไปที่ตำแหน่งของลัทธิเซิ่งเหลียนอย่างเคียดแค้น
ชือปี้เหลียนที่อยู่ทางนั้นก็บิดเอวสะดีดสะดิ้งเล็กน้อย ยิ้มกล่าวว่า “บางคนน่ะคิดอยากจะพลิกตัวกลับมาแสดงความสามารถ น่าเสียดาย คงไม่มีทาง!”
“เจ้า!” เยี่ยนจื่อเสาเกือบจะไปฆ่านางแล้ว!
เยี่ยนจื่อเยี่ยดึงเขาไว้ “ก็แค่สุนัขร่านตัวหนึ่ง อย่าไปโต้เลย”
“เจ้าบอกว่าใครสุนัขร่าน!” ชือปี้เหลียนเดือด!
อินหลิวเฟิงกางพัดออก ท่าทีสง่างาม ฝีปากเราะร้าย “ใครตอบก็คนนั้นแหละ บางคนยังธิดาศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ กลิ่นอายสำส่อนแผ่ซ่านไปทั้งตัว ไม่รู้ว่านอนกับผู้อาวุโสในสำนักไปกี่คนแล้ว จุ๊ๆ”
“นายท่านน้อยอิน ท่านพูดถูกแล้ว ชือปี้เหลียนเลื่องชื่อในความไร้ยางอายนัก ข้าไม่คิดเลยว่าหลังจากชือหมิ่นซิงตายไป หญิงสำส่อนเช่นนางจะกลายเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ได้ ปทุมศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเซิ่งเหลียนคงคลื่นไส้แย่แล้ว” ชือหมินหมิ่นกล่าวอย่างคนรู้ข่าววงใน
“เจ้า…” ชื่อปี้เหลียนลุกขึ้นยืนอย่างโมโห
หยางเซ่าเหิงกลับเอ่ยเสียงดัง “บางสำนักรู้ตัวว่าอ่อนก็เลยกลั่นแกล้งสำนักที่อ่อนแอกว่า ความสามารถล้นเหลือจริงๆ”
“เรื่องความสามารถน่ะ อย่างน้อยก็มีดีกว่าหลิงหยางจวิน ข้ามีคนสนิทหญิงในต้าซย่าไม่น้อย ไม่เหมือนหลิงหยางจวินที่มีคนสนิทหญิงเพียงหนึ่งเดียวคนนี้” อินหลิวเฟิงมองไปที่หยางเซ่าเหิงและชือปี้เหลียนอย่างมีความนัย
“เจ้า!” หยางเซ่าเหิงจะปะทุแล้ว!
ชือปี้เหลียนอยากจะโต้กลับ แต่แล้ว…
“ดูนั่นสิ!”
“นั่นอะไรน่ะ!”
ผู้ชมที่กำลังตั้งใจดูสนามประลองพลันส่งเสียงตกใจ! เพราะว่าในขณะที่ชุ่ยชุ่ยกำลังวิ่งหนีนั้น นางก็กระโดดขึ้นไปบนตัวเหยี่ยวนกเขาตัวใหญ่ นางบินไปพร้อมกับเหยี่ยวตัวนั้นแล้ว และยังบินไปไกลมาก
คราวนี้เอง…
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ!” เอ้อร์เหมาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ความสามารถเก่งกาจเพียงใด แผนการชั่วร้ายไร้ยางอายเพียงใด ข้าว่าก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น ข้าจะรอดูว่าคนสำนักคุนอู๋จะตามยังไง!”
สำนักคุนอู๋ “…”
มารดามันเถอะ! ใครก็ได้ช่วยบอกพวกเขาหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น
“นางขี่อสูรเป็นหรือ” เม่ยเอ๋อร์ถามขึ้น นางอยากรู้จริงๆ ว่าชุ่ยชุ่ยยังมีความสามารถอะไรที่นางไม่รู้อีก!