ตอนที่ 318 เขาสั่งสอนภรรยาอีกแล้ว!
วิ้ง
หรงอี้โอบคนข้างกายหายวับไปทางสำนักศึกษาแทบจะในเวลาเดียวกับเมื่อสิ้นเสียงพูดหลานชัง!
ผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ทั้งสองก็พบขบวนอีจี้จิ่วที่ถูกซุ่มโจมตี
“อาจารย์ลู่ เกิดอะไรขึ้นหรือ” เยี่ยนอวี๋รีบสอบถามลู่หมิงที่กำลังรักษาอีจี้จิ่วทันที เห็นได้ว่าคนที่ถูกซุ่มโจมตีมีเพียงอีจี้จิ่วคนเดียวเท่านั้น อาจารย์ที่เหลือสิบท่านเหมือนว่าจะปกติดี
เพียงแต่ว่าเยี่ยนอวี๋เพิ่งถามเสร็จ อีอิ่นก็กระอักเลือดออกมา ลมปราณที่แต่เดิมยังเสถียรทลายลงในทันที อีกเพียงไม่นานก็จะสูญเสียดวงจิตแล้ว!
อาจารย์ทั้งสิบท่านตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “อาจารย์จี้จิ่ว!” พวกเขามิอาจคาดคิดเลยว่าหากอาจารย์จี้จิ่วเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไรดี
“วิชาฟื้นคืนชีพ!” เยี่ยนอวี๋แสดงเคล็ดวิชาลับไท่ชางออกมาอย่างไม่ลังเล ทำให้วิญญาณและร่างกายที่กำลังทลายของอีอิ่นค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ
นี่มัน…
อาจารย์ทั้งสิบของสำนักศึกษามีประกายแสงวาบผ่านในแววตา พวกเขาย่อมรู้ว่าเคล็ดวิชาลับที่ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนท่านนี้แสดงออกมาอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่พวกเขาก็มิได้พูดอะไร เพียงแค่ปิดกั้นพื้นที่ไว้แน่นหนากว่าเดิม เหมือนกับรู้ว่าไม่ควรปล่อยให้มีคนรู้เคล็ดวิชาของเยี่ยนอวี๋มากเกินไป ทว่าต้าซือมิ่งเร็วกว่าพวกเขา เขา ‘ปิดกั้น’ พื้นที่ตรงนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พื้นที่นี้ถูกม่านพลังครอบไว้เงียบๆ
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนอวี๋ก็ส่งกระแสจิตให้อีอิ่น “อาจารย์จี้จิ่ว ข้าจะใช้เคล็ดวิชาลับกำจัดกลิ่นอายชั่วร้ายในร่างกายของท่าน ท่านต้องช่วยข้าเสถียรไข่มุกวิญญาณและแก่นปราณไว้”
อีอิ่นมิสามารถปริปากตอบได้ แต่เขาก็ควบคุมตันเถียนและไข่มุกวิญญาณของเขาไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมความพร้อมรอแล้ว เยี่ยนอวี๋จึงกวาดพลังไปทั่วร่างกายเขาราวกับ ‘แล่เนื้อเถือหนัง’
ที่กล่าวว่า ‘แล่เนื้อเถือหนัง’ นั่นเป็นเพราะพลังของไท่ชูมีเพียงบุคคลไม่ธรรมดาที่ทานทนได้ ถึงแม้เยี่ยนอวี๋จะลดระดับพลังไท่ชูลงไปในระดับต่ำสุด ร่างของอีอิ่นยังคงมีไอหมอกสีเลือดมากมายไหลทะลักออกมา
ลู่หมิงและคนอื่นๆ ที่เห็นดังนั้นก็คิดว่าสถานการณ์แย่ลง โชคดีที่ลมปราณของอีอิ่นยังถือว่ามั่นคง พวกเขาจึงสงบอารมณ์ลงได้ มิเช่นนั้นอาจารย์เหล่านี้คงอกแตกตาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง…
“…”
เมื่อเยี่ยนอวี๋นำแสงสีม่วงอมแดงที่จับกลุ่มกันออกมาจากร่างกายของอีอิ่น อาจารย์ทั้งสิบท่านก็แสดงสีหน้าตะลึงอย่างมิอาจเก็บซ่อนได้
เพราะว่าพวกเขาสัมผัสถึงพลังของต้าซือมิ่งในกลิ่นอายเหล่านี้ หากไม่ใช่เพราะเป็นผู้เฒ่าที่มีจิตใจมั่นคงแล้ว เกรงว่าคงอดสงสัยในตัวต้าซือมิ่งไม่ได้
ส่วนเยี่ยนอวี๋ นางก็เก็บกลิ่นอายเหล่านั้นอย่างไม่ประหลาดใจนัก เพราะว่านางคาดเดาไว้แต่แรกแล้ว เพียงแต่นางไม่คิดว่าครั้งนี้จะรวบรวมกลิ่นอายได้อย่างอย่างสมบูรณ์เช่นนี้
“แค่ก!” อีอิ่นกระอักเลือดสีดำออกมา บาดแผลบนร่างกายก็ผสานกันอย่างช้าๆ จนทุกอย่างเหมือนจะหายดี
เยี่ยนอวี๋จึงเก็บมือ สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ต้าซือมิ่งโอบนางเข้ามาไว้ทันที “พักสักหน่อยเถอะ”
“อืม” เยี่ยนอวี๋ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลับตาลงเริ่มปรับลมปราณ การใช้พลังไท่ชูโดยที่ไม่มีกระบี่ไท่ชางยังคงเป็นเรื่องที่กินแรงสำหรับนางมาก
หรงอี้รู้เรื่องนี้ดี เขาจึงโอบนางแน่นขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าโอบแน่นเกินไป กลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ริมฝีปากบางๆ ของเขากลับเม้มไว้แน่นมาก
ผ่านไปครู่หนึ่ง อีอิ่นที่ฟื้นตัวได้ก่อนก็ลืมตาขึ้น ซ่งเฉินรีบถามทันที “อาจารย์จี้จิ่ว ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” อีอิ่นกล่าวพลางโบกมือ เสื้อสีครามของเขาแม้จะเปื้อนเลือด แต่สติและลมปราณของเขาฟื้นตัวแล้ว ดูแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรมากแล้ว
ซ่งเฉินและคนอื่นๆ จึงถอนหายใจโล่งอก และมองไปที่ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนที่อยู่ในอ้อมแขนของต้าซือมิ่งอย่างซาบซึ้งใจ พวกเขารู้ว่าหากวันนี้ไม่มีนางช่วยเหลือไว้ อาจารย์จี้จิ่วสำนักศึกษาของพวกเขาคงมิอาจรอดชีวิตได้
อีอิ่นเองก็รู้เรื่องนี้ดี เขาจึงรีบประสานมือโค้งคำนับจากใจจริงเมื่อเยี่ยนอวี๋ลืมตาขึ้น “ขอบคุณปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนที่ช่วยชีวิตข้าไว้”
“ขอบคุณปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน!” ซ่งเฉินฟาง ลู่หมิงและท่านอื่นก็โค้งคำนับอย่างสุภาพ
“อาจารย์จี้จิ่วและอาจารย์ทุกท่านมิต้องขอบคุณ” เยี่ยนอวี๋อยากจะประคองอีอิ่นขึ้นมา แต่กลับไม่สามารถหลุดออกมาจากอ้อมแขนของต้าซือมิ่งได้ ฝ่ายหลังโอบนางไว้แน่นมาก
เยี่ยนอวี๋รู้ว่าเขาเป็นห่วงจึงมิได้ออกแรงผลักออกไป นางเพียงแค่ยกมือขึ้นมาจับมือเขาไว้ เพื่อเป็นสัญญาณบอกเขาว่ามิต้องเป็นห่วง นางไม่เป็นอะไรแล้ว
เมื่อนางปลอบต้าซือมิ่งหรงแล้ว เขาจึงยอมปล่อยมือให้เยี่ยนอวี๋ประคองอีจี้จิ่วที่กำลังโค้งคำนับ “อาจารย์จี้จิ่วรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ซุ่มโจมตีท่านเมื่อครู่นี้คือใคร”
“ช่างน่าละอายใจนัก ข้าเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่รูปร่างนั่น…” อี้อิ่นหยุดไปครู่หนึ่งราวกับกำลังรื้อฟื้นความทรงจำ คำตอบที่ให้กลับทำให้เยี่ยนอวี๋ตะลึงมาก
“เหมือนฮ่องเต้” อีอิ่นตอบ
“ฮ่องเต้!?” เยี่ยนอวี๋รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
หรงอี้กลับไม่ประหลาดใจนัก สีหน้าของเขาปกติมาก
“ฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วยิ่งนัก และอันที่จริงเป้าหมายของเขามิใช่ข้า ข้าจึงไม่มั่นใจนัก บอกได้เพียงว่าเหมือนบางส่วน” อีอิ่นเล่า
“มิใช่ท่านงั้นหรือ” ซ่งเฉินฟางอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
อีอิ่นพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่แล้ว เป้าหมายของเขาคือขวดน้ำเต้า”
ทุกคนจึงเพิ่งเห็นว่าขวดน้ำเต้าที่แขวนไว้บนตัวอีอิ่นหายไปแล้ว!?
“นี่มัน…”
“เพราะอะไรกัน” อาจารย์หลายท่านไม่ค่อยเข้าใจ
ลู่หมิงกลับเดาออกว่า “หรือเกี่ยวกับยาสกัดตี้ซินนั่น”
“เขาอยากได้ยาสกัดตี้ซิน?” ซ่งเฉินฟางแสดงความประหลาดใจ
เพราะอีอิ่นให้ยาสกัดตี้ซินแก่เยี่ยนเสี่ยวเป่าไปแล้ว ดังนั้นขวดน้ำเต้าของอีอิ่นเป็นเพียงขวดเปล่า หัวขโมยนั่นเอาไปแล้วคงผิดหวังน่าดู
“ก็คงเป็นเช่นนั้น” อีอิ่นพยักหน้า “หากไม่ใช่เพราะวันนี้ข้าป้อนยาสกัดตี้ซินให้เสี่ยวเป่าไป เกรงว่าคงต้องเสียให้คนสารเลวนั่นแล้ว หากเป็นเช่นนั้นข้าคงปวดใจนัก”
“ช่างบังเอิญจริงๆ!” ลู่หมิงอดพูดขึ้นไม่ได้ “แสดงว่าเจ้าคนนั่นไม่ได้อยู่ในลานสนามราชสำนัก?”
“ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตอนที่อาจารย์จี้จิ่วป้อนเสี่ยวเป่าทานยาสกัดตี้ซิน ท่านปิดกั้นพื้นที่ไว้ คนข้างนอกมองไม่เห็น ก็เลยพูดยาก”
“ก็ไม่แน่หรอก คนๆ นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ ยังซุ่มโจมอาจารย์ได้อย่างแม่นยำขณะที่พวกเราอยู่ข้างกายอาจารย์จี้จิ่ว และยังแย่งขวดน้ำเต้าไปได้ด้วย ใช่ว่าจะไม่สามารถมองทะลุค่ายกลสกัดกั้นได้” เหล่าอาจารย์ต่างแสดงความเห็นของตน
ต้าซือมิ่งกลับพูดอย่างมั่นใจว่า “ตอนนั้นเขาไม่อยู่ มิเช่นนั้นข้าย่อมสัมผัสได้”
“ต้าซือมิ่ง?” ซ่งเฉินฟางมองต้าซือมิ่งอย่างประหลาดใจ “ท่านหมายความว่า…”
“ทุกท่านก็น่าจะเห็นแล้ว กลิ่นอายโจมตีของคนๆ นี้เหมือนกับกลิ่นอายของข้า หากเขาปรากฏตัว ข้าต้องรู้” หรงอี้ตอบอย่างมั่นใจ
ทว่าเยี่ยนอวี๋ไม่คิดเช่นนั้น “ก็ไม่แน่ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าวิญญาณคนตายในครานั้น เจ้าพบเขาหลังจากที่ทำเขาบาดเจ็บและได้เลือดของเขาแล้ว”
ต้าซือมิ่งที่ถูกแย้งก็เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาชายตามองเยี่ยนอวี๋ที่อยู่ข้างกาย “เอาเป็นว่า เรื่องนี้เรายังต้องตรวจสอบ หากมีความคืบหน้าจะบอกทุกท่าน”
“ทางฝั่งข้าเองก็จะพยายามนำข่าวที่เป็นประโยชน์มาให้” อันที่จริงอีอิ่นก็มีความคิดบางอย่าง แต่ตอนนี้เขายังไม่ค่อยมั่นใจ ต้องกลับไปตรวจสอบให้ละเอียดก่อน
“เช่นนั้นขออำลาตรงนี้” เยี่ยนอวี๋รู้ว่าตรงนี้อยู่ไม่ไกลจากสำนักศึกษามากนัก อีกทั้งหากมีใครลงมืออีกก็คงไม่เลือกลงมือในเวลานี้
ถึงอย่างไรคนเมื่อครู่ที่โจมตีได้ เป็นเพราะอีอิ่นเพิ่งอัญเชิญสนามประลองต้าฮวงมา เขาจึงยังไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์นัก และเขาโจมตีไม่สำเร็จ ทำให้คนทั้งขบวนอีอิ่นระวังตัวแล้ว หากจะโจมตีอีกคงไม่ง่ายเช่นนั้น มิหนำซ้ำต้าซือมิ่งก็ยังอยู่ที่นี่
ทว่าเมื่ออีอิ่นและอาจารย์ท่านอื่นจากไป ต้าซือมิ่งก็โอบเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ร่างบอบบางเข้ามาก่อนจะงับใบหูของนาง “หักหน้าข้าต่อหน้าคนอื่นรึ”
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกกัดติ่งหูไม่ทันตั้งตัว นางก็สะดุ้งจนหดตัวเหมือนปลาน้อยตัวนุ่มนิ่มขดตัวอยู่ในอ้อมอกของต้าซือมิ่ง หูก็แดงไปหมด
ปฏิกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ย่อมทำให้ต้าซือมิ่งรู้สึกทึ่งในความงาม เขาอดกอดนางแน่นกว่าเดิมไม่ได้ ยังหมั่นเขี้ยวทำท่าจะกัดอีกคำ
ทว่าเยี่ยนอวี๋ปิดใบหูไว้แล้ว “เจ้าบ้า!” นางไม่เคยถูกลอบจู่โจมเช่นนี้มาก่อน! เจ้าคนนี้…
“ฮึ” หรงอี้หัวเราะออกมาเบาๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู “ครั้งหน้ายังกล้าทำเช่นนี้อีกรึไม่”
เยี่ยนอวี๋เงียบไม่พูดอะไร ร่างของนางยังคงขดอยู่ในอ้อมอกของชายคนนี้ราวกับปลาน้อยที่กำลังออดอ้อนเจือความผยองเล็กน้อยราวกับกำลังบอกว่า ‘ไม่ยุ่งกับเจ้าด้วยแล้ว’
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ในตอนนี้ทำให้หรงอี้ใจสั่นไปหมด แสงสีม่วงในตาของเขาก็วูบไหวเป็นระลอกคลื่นเล็กน้อย มือของเขาประคองคอเรียวยาวและขาวเนียนของนางไว้ ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยคำใด
ทั้งสองจ้องตากันเงียบราวกับนกยวนยางอาลัยรักอยู่พักใหญ่ เยี่ยนอวี๋จึงขยับตัวเหมือนกับเพิ่งตั้งสติได้ นางรู้สึกเขินอายจนอยากจะผละออก
“อย่าขยับ” หรงต้าซือมิ่งที่มีเสียงไพเราะดั่งพิณไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ เขาโน้มศีรษะลงไปซอกคอของนาง ก่อนจะกระซิบกระซาบข้างใบหู “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์”
เยี่ยนอวี๋รู้สึกจั๊กจี้จนอยากจะหนีชายคนนี้ไป นางสัมผัสถึงลมหายใจเย็นยะเยือกของเขาที่รดบนซอกคอตน ซึ่งต่างจากการถูและออดอ้อนของเสี่ยวเป่า นางจึงรู้สึกไม่ค่อยชินนัก
แต่แล้ว…
“ซี๊ด!”