ตอนที่ 319 พี่หรงสุดหวาน! เปิดโปงปัญหา!
เยี่ยนอวี๋ถูกกัดอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง นางร้องซี๊ดพลางผลักเขาออกไป ครั้นกำลังจะดุด่าเขา นางกลับเห็นดวงตาสีม่วงหม่นงามจรัสคู่นั้นเข้าเสียก่อน คำดุด่าจึงกลายเป็นการย้อนถามอย่างหงุดหงิดแทน “เป็นอะไรน่ะ”
แต่ต้าซือมิ่งมิได้พูดอะไร เขายื่นหน้าผากออกไปแตะหน้าผากนาง ทำให้เยี่ยนอวี๋รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังอ้อนนางอยู่ เหมือนกับเวลาที่เด็กน้อยทำความผิดแล้วเริ่มทำตัวน่ารักและออดอ้อนนาง ดูน่ารักเสียไม่มี
เยี่ยนอวี๋จึงจูบตาของเขาเบาๆ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงตามสัญชาติญาณ “ต่อไป อืม…” อันที่จริงเยี่ยนอวี๋จะบอกว่าต่อไปห้ามกัดข้าแล้ว แต่จู่ๆ นางก็รู้สึกคำพูดฟังดูทะแม่งๆ นางจึงหยุดพูดไป
“ทำไม” ต้าซือมิ่งซักไซ้
“ปล่อยข้าลง” เยี่ยนอวี๋เบือนหน้าหนี นางรู้สึกว่ารอบกายโอบล้อมไปด้วยกลิ่นอายคนผู้นี้ ถึงแม้ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด แต่ก็ทำให้นางมือไม้อ่อนไปหมด
แต่แล้วหรงอี้ที่อุ้มนางไว้อย่างมีความสุขนั้นย่อมไม่ยินยอม “ไม่ปล่อย”
“ทำไมเป็นคนแบบนี้นะ” เยี่ยนอวี๋แสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
ทว่าหรงอี้ยังคงไม่ปล่อยมือ และยังร้องขอนางว่า “จูบข้าสิ ข้าจะปล่อย”
“จูบไปแล้ว!” เยี่ยนอวี๋บอกว่าเมื่อครู่นี้จูบไปแล้ว
“จูบตรงไหน” หรงอี้เลิกคิ้วถาม
เยี่ยนอวี๋ได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเขาต้องการให้นางจูบตรงไหน แต่นางไม่ยอมจูบ “ปล่อยข้า!”
“งั้นข้าจูบ” ต้าซือมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอมยิ้มพลางเอนกายเข้าหา
“ฝันไปเถอะ!” เยี่ยนอวี๋ผลักเขาออกไปอย่างแรง ก่อนจะกระโจนออกไป “กลับแล้วนะ”
แม้ต้าซือมิ่งที่ถูกผลักออกยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากบางเย้ายวนยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏในดวงตา ความรักเอ่อล้นในคำพูด “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เจ้าหนีไม่รอดหรอก”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของเขา ต้าซือมิ่งก็หายวับไปจากที่เดิมแล้ว เมื่อเยี่ยนอวี๋กลับมาถึงตำหนักซือมิ่ง นางก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของต้าซือมิ่งอีกครั้ง
“นี่” เยี่ยนอวี๋ตบแขนของเขาเบาๆ ส่งสัญญาณว่ามีคนอยู่!
ทว่าทหารในตำหนักซือมิ่งถูกหลานชังฝึกฝนให้เป็นคนไม่วอกแวกมาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาจึงไม่เห็นนกยวนยางคู่นี้เลย ราวกับเป็นรูปปั้นที่ไม่มีชีวิตและไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
เยี่ยนชิงและคนอื่นๆ ที่ได้ข่าวก็นั่งไม่ติด พวกเขากำลังรอเยี่ยนอวี๋อยู่ในเรือน เมื่อเยี่ยนจื่อเสาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอกก็เดินนำออกไป “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์?”
หรงอี้จำเป็นต้องปล่อยมือจากเอวของเยี่ยนอวี๋ แต่เขายังคงจับมือนางไว้ เมื่อเยี่ยนจื่อเสาออกมาก็เห็นเพียงพวกเขาที่กำลังจับมือกัน “อาจารย์จี้จิ่วเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนจื่อเยี่ยก็เดินตามออกมา เมื่อเขาได้ยินคำถามนี้ก็รอคำตอบด้วยสีหน้าจริงจัง เขาก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นห่วงอีอิ่นมากที่สุดในบรรดาทุกคน
เยี่ยนอวี๋เข้าใจดี นางจึงตอบว่า “อาจารย์จี้จิ่วไม่เป็นอะไรแล้ว มิต้องเป็นห่วง”
เยี่ยนจื่อเยี่ยโล่งใจ จากนั้นเขาก็ยิงคำถามไม่หยุด “ใครเป็นคนซุ่มโจมตีอาจารย์ อาจารย์บาดเจ็บหรือไม่ อาจารย์ลู่พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“เข้าไปคุยข้างในเถอะ ท่านพ่อก็กำลังรออยู่” เยี่ยนอวี๋เสนอ
ทุกคนจึงเดินเข้าไปในเรือนก็เห็นเยี่ยนชิงที่ชะเง้อหน้ารอตามคาด หากไม่ใช่เพราะเขาอุ้มเด็กน้อยไว้ เขาคงออกไปรับหน้าเรือนนานแล้ว
เยี่ยนอวี๋มองไปที่เด็กน้อยที่นอนหลับไปแล้ว เมื่อเห็นว่าเขายังคงหลับสนิทก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์จี้จิ่วเองก็ไม่รู้ว่าคนที่ซุ่มโจมตีเขาคือผู้ใด แต่เราเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับราชสำนัก คืนนี้เราจะไปสำรวจที่นั่นดู”
“ราชสำนัก หยวนคังฮ่องเต้?” เยี่ยนจื่อเยี่ยขมวดคิ้ว “เขาลงมือเองหรือ”
“พูดยาก” ถึงแม้อีอิ่นบอกแล้วว่ารูปร่างของคนๆ นั้นคล้ายคลึงกับหยวนคังฮ่องเต้ แต่เยี่ยนอวี๋รู้ดีว่า หากวิญญาณคนตายนั่นยังอยู่ เช่นนั้นรูปร่างก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินได้
ที่เยี่ยนอวี๋คิดว่าเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เพราะว่าหรงอี้บอกไว้ว่าคืนนี้จะไปสำรวจราชสำนัก ทางฝั่งอีอิ่นก็เกิดเรื่องพอดี ทำให้สัญชาติญาณของนางบอกนางว่าสองเรื่องนี้มีส่วนข้องเกี่ยวกัน
ส่วนทางฝั่งสำนักคุนอู๋ เยี่ยนอวี๋ยังคงคิดว่าการที่สำนักคุนอู๋สร้างวิญญาณคนตายได้ เกรงว่าก็คงเกี่ยวข้องกับราชสำนัก ไม่แน่ว่าพวกเขากำลังทุ่มชีวิตทำงานให้หยวนคังฮ่องเต้อยู่ก็เป็นได้
ทว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงการคาดเดาของเยี่ยนอวี๋เท่านั้น นางต้องการหลักฐานที่จับต้องได้เพื่อยืนยันคำตัดสินของตน ต้าซือมิ่งเองก็คิดเช่นนี้เช่นกัน เขาจึงกล่าวว่า “คืนนี้ข้าและเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะไปสำรวจให้ละเอียด คงกลับมาช้า พวกท่านมิต้องเป็นห่วง ข้าจะพาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัย”
“เขากล้าลงมือแม้แต่จี้จิ่วแห่งสำนักศึกษา เจ้าแน่ใจแล้วหรือ” เยี่ยนชิงอดคลางแคลงมิได้ “ตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องสงครามกับโยวตูจากพวกเจ้า ข้าคิดว่าหยวนคังฮ่องเต้คนนี้เป็นจักรพรรดิที่มีสติฟั่นเฟือนไปแล้ว บัดนี้ยังกล้าลงมือกับสำนักศึกษา เกรงว่าคงฝึกฝนวิชาลับอะไรได้แล้ว”
“ก็ไม่แน่เสมอไป หากสำเร็จจริงๆ แล้ว เขาต้องปรากฏตัวแน่นอน คงไม่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เช่นนี้” เยี่ยนอวี๋คิดว่าไม่ว่าหยวนคังฮ่องเต้กำลังคิดสิ่งใด สิ่งนั้นต้องยังไม่สำเร็จแน่นอน
ทว่าบัดนี้พวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องบางเรื่อง ยังถือเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป หยวนคังฮ่องเต้นั่นต้องทำสำเร็จก่อนแน่ๆ! แต่หากจะปลิดชีวิตเขาทิ้งเสียตอนนี้ก็ไม่สามารถขจัดปัญหาได้อย่างถอนรากถอนโคนอยู่ดี
พวกเขายังคงไม่รู้ว่าสิ่งที่นำพาความเปลี่ยนแปลงให้หยวนคังฮ่องเต้จนทำให้เขากล้าทำลงมือกระทำสิ่งเหล่านี้คืออะไร และชั้นลอยอวกาศในเขตต้องห้ามสำนักคุนอู๋คืออะไรกันแน่ แล้วก็… วิญญาณคนตายที่มีกลิ่นอายหรงอี้ร่างนั้นและการโจมตีที่มีพลังของหรงอี้ในการซุ่มโจมตีครั้งนี้คืออะไรกันแน่ คำถามเหล่านี้ทำให้เยี่ยนอวี๋ปวดเศียรเวียนเกล้า
“อาณาจักรต้าซย่าอันน้อยนิดกลับซ่อนเร้นความลับไว้มากมายเพียงนี้” เยี่ยนอวี๋พึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว อันที่จริงทั้งหมดนี้สรุปเป็นสองประเด็น นั่นก็คือปัญหาชั้นลอยอวกาศและปัญหาพลังของหรงอี้ที่ถูกขโมย
ตามสัญชาติญาณของเยี่ยนอวี๋ การเปลี่ยนแปลงของหยวนคังฮ่องเต้คงจะมาจากพลังที่ขโมยมาจากหรงอี้ ส่วนปัญหาชั้นลอยอวกาศก็เหมือนกับปัญหาของโยวตู เกี่ยวข้องกับแดนมืดอสูรวิญญาณและไข่ที่นางได้รับฟองนั้น
“อะไรนะ” เยี่ยนชิงได้ยินสิ่งที่เยี่ยนอวี๋พูดไม่ชัด แต่เยี่ยนจื่อเยี่ยได้ยินชัดเจนแล้ว ทว่าเขาในตอนนี้ก็มิได้คิดอะไรมาก เพราะว่าเขายังตกอยู่ในความสะเทือนใจที่อาจารย์ของเขาถูกซุ่มโจมตี
แม้อีอิ่นเป็นเพียงจี้จิ่วในสำนักศึกษาแห่งต้าซย่า ย่อมไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องของราชสำนักและสำนักต่างๆ แต่ก็เป็นเพราะเช่นนี้ ตำแหน่งของอีอิ่นจึงสูงส่งเป็นพิเศษ บัดนี้…
“หากราชสำนักกล้าลงมือแม้แต่อาจารย์ เช่นนั้นต้าซย่าคงต้องตกอยู่ในความโกลาหลแน่ๆ” เยี่ยนจื่อเยี่ยรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า เรื่องนี้เป็นการเริ่มต้นความโกลาหลของราชสำนัก
สีหน้าเยี่ยนชิงก็เคร่งขรึมลง “จื่อเยี่ย เจ้าส่งจดหมายให้ประมุขหอจ่าน ให้เขาเตรียมพร้อมศึกสงคราม หากราชสำนักสั่นคลอน สำนักชางอู๋ของเราก็จะเอาตัวเองรอดอย่างเดียวโดยไม่สนใจผู้อื่นมิได้”
“ขอรับ” เยี่ยนจื่อเยี่ยนเข้าใจดี
เยี่ยนอวี๋หวังว่าคืนนี้ทุกอย่างจะราบรื่น ยุติความวุ่นวายก่อนจะเกิดความโกลาหล ไม่ให้เหล่าประชาตกอยู่ในความทุกข์เวทนา เหล่าสามัญชนผู้อ่อนแอเหล่านั้นไม่ควรต้องมาพานพบสิ่งเหล่านี้
แม้เยี่ยนจื่อเสาจะมีความรู้สึกช้า แต่บัดนี้เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดแล้ว จึงถามขึ้นว่า “เช่นนั้นพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักจะยังคงจัดต่อไปได้หรือไม่”
“ตอนนี้ข้าคิดว่าได้แน่นอน” เยี่ยนจื่อเยี่ยมั่นใจในเรื่องนี้มาก “ถึงแม้จะวุ่นวายก็คงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้หรอก เราต้องใช้โอกาสนี้กำจัดสำนักคุนอู๋เสีย! ข้าทนพวกเขามานานมากแล้ว”
“ใช่แล้ว หลายปีแล้ว สำนักคุนอู๋สารเลวนั่นคอยอ้างว่าบรรพชนของเราเคยเป็นคนสำนักคุนอู๋ เอาแต่กดขี่ข่มเหงสำนักชางอู๋ของเรา ถึงเวลาแก้แค้นแล้วล่ะ!” เยี่ยนจื่อเสาเองก็เคืองแค้นสำนักคุนอู๋มาก!
สองพี่น้องรู้ดีที่มารดาของพวกเขาเสียชีวิตก่อนวัยอันควรล้วนเป็นเพราะสำนักคุนอู๋! ทำให้พวกเขาไม่มีวันได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก ตระกูลจางเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของสำนักคุนอู๋เท่านั้น
ศัตรูคู่แค้นสังหารมารดา ย่อมอยู่ร่วมโลกมิได้!
ในครานั้นพวกเขายังเด็ก ยังไม่สามารถทำอะไรได้ บัดนี้พวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถในระดับหนึ่ง แค้นที่เก็บไว้นานหลายปีถึงเวลาต้องระเบิด ไม่มีทางให้อภัยได้! และไม่ยอมให้อภัยแน่นอน!
“เกรงว่าสำนักคุนอู๋จะกลายเป็นเต่าพันปีไร้ยางอาย พวกเขาอาจจะไม่ยอมเข้ารอบหนึ่งในสามในรอบรองเสียอย่างนั้น หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องรอรอบชิงชนะเลิศค่อยจัดการพวกเขา” เยี่ยนจื่อเสากังวล
เยี่ยนจื่อเยี่ยกลับไม่ใส่ใจนัก ไม่ว่ารอบรองหรือรอบชิง อย่างไรก็ต้องได้เจอ คนสำนักคุนอู๋อย่าคิดจะได้สุขสบาย! เพียงแต่ว่า…
“ไม่ว่าผลการแข่งขันรอบรองของสำนักคุนอู๋จะเป็นอย่างไร รอบท้าชิงข้าขอเป็นผู้ท้าเอง” เยี่ยนจื่อเยี่ยรู้ว่าการท้าชิงนั้นไม่ง่าย เขาจึงไม่อยากให้น้องรองของเขาเป็นผู้ท้า
ทว่าเยี่ยนจื่อเสาไม่ยินยอม “ไม่ได้! ต้องเป็นข้า ข้าทำได้แน่นอน พี่ใหญ่ท่านต้องเข้าไปสู้รอบชิงชนะเลิศ”
“ข้าคิดว่าให้เม่ยเอ๋อร์เป็นผู้ท้าน่าจะดีกว่า” เยี่ยนชิงคิดว่าเม่ยเอ๋อร์เหมาะสมที่สุด นางไม่แพ้แน่นอนและจะไม่เกิดเหตุการณ์ผิดคาดใดๆ แน่นอน
“ใช่เจ้าค่ะ! ให้ข้าไปเอง!” เม่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเงียบๆ ส่งเสียงขึ้น นางทราบกติกาของการแข่งขันรอบรองชนะเลิศแล้ว นั่นก็คือการปะทะสามสำนักเพียงลำพัง! นางชอบเรื่องพรรค์นี้ที่สุดเลย
แต่แล้ว… เยี่ยนอวี๋ก็ปริปาก “ข้าเอง”
ครานี้เอง…