ตอนที่ 323 ปฐมราชินีเยี่ยนซัดสามสำนัก!
เยี่ยนอวี๋ที่รับรู้บางสิ่งได้ยังพบว่า เหมือนกับว่าจะมีผนึกอีกหนึ่งผนึกเพิ่มเข้ามาในร่างของหยางเซ่าเหิง?!
ที่แท้ช่วงสามวันนี้ที่สำนักคุนอู๋ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ อันที่จริงกำลังปิดซ่อนท่าไม้ตายไว้อยู่นี่เอง
ความจริงก็เป็นดังเช่นนั้น หยางเซ่าเหิงยังยิ้มเย้ยหยันให้เยี่ยนจื่อเยี่ย “เก่งจริงก็มาท้าชิงข้า ไม่งั้นก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”
“สุนัขบ้า” เยี่ยนอวี๋โต้กลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หยางเซ่าเหิงสีหน้าพลันเปลี่ยน เขามองเยี่ยนอวี๋ด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม “ปราชญ์มหาสำนักอย่าเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างพี่เจ้าและข้าเลย”
“เจ้ายั่วยุคุณชายใหญ่เพราะกลัวว่าจะถูกข้าท้าชิงล่ะสิ” เม่ยเอ๋อร์พลันเอ่ยขึ้น
หยางเทียนชื่อชะงักฝีเท้า หยางเซ่าเหิงกลับตอบอย่างเยือกเย็น “สาวใช้เช่นเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
“สาวใช้เช่นข้า… ยังกำจัดศิษย์สำนักคุนอู๋ไปตั้งร้อยกว่านาย!” ชุ่ยชุ่ยพูดเสร็จก็ไปแอบข้างหลังเม่ยเอ๋อร์ นางทำให้หยางเซ่าเหิงหน้าดำหน้าแดงในทันที
“พรวด…”
“ฮ่า!…”
เสียงกลั้นหัวเราะดังขึ้นจากรอบทิศ เหล่าผู้น้อยใหญ่สำนักคุนอู๋ที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามก็หน้าดำหน้าแดงทันที
“รอก่อนเถอะ!” หยางเซ่าเหิงทำได้เพียงพูดขู่ จากนั้นก็รีบเดินจากไป ไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาอีก เพราะกลัวว่าจะทำให้ฝ่ายตนอับอายจนเสียขวัญกำลังใจ
“ฮึ! เศษสวะ!” เม่ยเอ๋อร์กลับยังคงมองเหล่าผู้คนสำนักคุนอู๋อย่างเย็นชาและกล่าววางอำนาจ “เอาชนะไม่ได้แม้แต่ชุ่ยชุ่ยของเรา ยังกล้ามาร้องเอะอะอีก”
“นะ… นั่นน่ะสิ!” ชุ่ยชุ่ยยืนออกมาทันที “ข้าอ่อนแอเช่นนี้ยังสู้พวกเจ้าทั้งกลุ่มได้ พวกเจ้า… พวกเจ้าสำนักคุนอู๋ธรรมดามาก!”
จางซ่านจยาที่สะดุดกับคำพูดของชุ่ยชุ่ยก็อยากจะด่ากราดจริงๆ! ท่านนี่นะ? ท่านที่สามารถกำจัดวิญญาณอสูรขั้นปฐมภูมิเพียงกระบองเดียวได้ บอกว่าตนเองอ่อนแอ? ไม่ละอายใจบ้างเลยรึ!
เหล่าศิษย์สำนักคุนอู๋ที่ถูกชุ่ยชุ่ย ‘เอาชนะ’ ในรอบแรกต่างโมโหจนบาดเจ็บภายใน ขวัญกำลังใจก็หดหายลงไม่น้อย แต่ก็มีคนที่ถูกหยามจนโมโหคอเป็นเอ็น ราวกับว่าอยากจะลบล้างความอัปยศในอดีตออกไป
ในขณะเดียวกัน…
“กู้กุ้ยเฟยเสด็จ!”
“อัครมหาเสนาบดีหยาง!”
“แม่ทัพเฉิน!”
“ติ้งซีอ๋องเสด็จ…”
ขันทีราชสำนักก็ประกาศด้วยเสียงแหลมสูงตามด้วยบุคคลราชสำนักทั้งสี่ท่านเดินเข้ามาพร้อมกัน สามคนที่เหลือนั่นช่างประไร แต่ ‘ติ้งซีอ๋อง’ ท่านนี้ทำให้ทุกคนเหลือบมอง! เพราะว่าติ้งซีอ๋องท่านนี้เป็นญาติสนิทมิตรสหายของหยวนคังฮ่องเต้ เทียบกับเฉาหมิงเฉิงที่ทำได้เพียงคัดเลือกสาวงามและทำงานจิปาถะแล้ว เขาท่านนี้เป็นผู้มีอำนาจและมีความสามารถอย่างแท้จริง
ดังนั้นเมื่อติ้งซีอ๋องเข้ามา สายตาหลายคู่ก็จับจ้องไปที่เขา เยี่ยนอวี๋เองก็กวาดตามองเขาและนางก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ทว่าเจ้าตัวน้อยส่งเสียงเรียก “แม” เบาๆ ทำให้เยี่ยนอวี๋รีบมองกลับมาทันที และอุ้มเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของท่านพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้ามา “อยู่นี่จ๊ะ แม่อยู่นี่ เสี่ยวเป่าไม่สบายตรงไหนหรือ”
“อุ้ม…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กอดท่านแม่ไว้ยังคงไร้ชีวิตชีวา ซึ่งต่างจากสภาพร่าเริงมีความสุขที่มาครั้งก่อนมาก ทำให้เยี่ยนอวี๋รู้สึกกังวลในใจ
ถึงแม้ต้าซือมิ่งยังคงบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เยี่ยนอวี๋ก็ยังเป็นห่วงมากอยู่ดี “เสี่ยวเป่าไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก นอนมากไปหน่อยก็เลยเฉื่อยชา” หรงอี้ตอบอย่างมั่นใจ เพราะเด็กน้อยก็นอนไปนานกว่าที่เขาคาดไว้จริงๆ เขาเพิ่งตื่นเมื่อเช้าวันนี้ ถือว่านอนไปแล้วสองวันสามคืน
เยี่ยนอวี๋จึงลูบศีรษะที่มีขนอ่อนน้อยๆ ของเด็กน้อย “เสี่ยวเป่าไม่หิวหรือ ท่านพ่อเจ้าทำอาหารไว้ให้เจ้าด้วยนะ กินสักหน่อยดีหรือไม่จ๊ะ” เสี่ยวเป่าจอมตะกละจู่ๆ ก็ไม่อยากอาหารแล้ว ดูอาการยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี
“เจ้าตัวน้อยผู้น่าสงสาร” เยี่ยนชิงมองเด็กน้อยอย่างปวดใจ “ให้ปู่อุ้มดีหรือไม่”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าส่ายศีรษะ ยังคงขดตัวอยู่ในอ้อมอกของท่านแม่ต่อไป ดวงตากลมโตของเขากึ่งปิดกึ่งเปิด ราวกับว่าจะหลับอีกแล้ว
“นอนไม่ได้แล้วนะ” เยี่ยนอวี๋หยิกแก้มน้อยๆ ของเด็กน้อย “เจ้าหนูน้อยของเจ้าล่ะ”
“จิ๊ด!” หนูน้อยที่ได้ยินเสียงเรียกก็กระโดดออกมาจากตัวเม่ยเอ๋อร์
เยี่ยนเสี่ยวเป่าปราดตามองแล้วก็อ้าปากหาวอย่างไม่รู้สึกสนใจ “แม…”
“อยู่นี่จ๊ะ” เยี่ยนอวี๋จูบเด็กน้อยเบาๆ นางยังคงมองท่านพ่อเด็กน้อยอย่างกังวล
หรงอี้จึงอุ้มเด็กน้อยไป มือข้างหนึ่งก็นำขนมที่เด็กน้อยชอบทานมากที่สุดออกมาและป้อนเขา
เยี่ยนเสี่ยวเป่าอ้าปากเคี้ยวขนม แต่กลับไม่แสดงท่าทีเอร็ดอร่อยเช่นครั้งก่อน เขายังเบ้ปากเล็กน้อยราวกับกำลังบอกว่าขนมไม่อร่อยเลย
“ลิ้นไม่รับรสหรือ” หรงอี้อุ้มเด็กน้อยมาให้เขาซบอกของตนเอง นานๆ ทีจะจูบศีรษะที่มีขนอ่อนน้อยๆของเด็กน้อย “แล้วเสี่ยวเป่าอยากกินอะไรหรือ”
เด็กน้อยที่จู่ๆ ก็น้ำตาร่วงกอดท่านพ่อของเขาไว้ “พ่อ…”
ทำเอาเยี่ยนอวี๋สงสารจับใจ “เสี่ยวเป่า…”
“แหม เสี่ยวเป่าเป็นอะไรไปหรือ” กู้หยวนซูที่กำลังเดินขึ้นไปนั่งตำแหน่งประธานก็หยุดลงไถ่ถามด้วยน้ำเสียงประหลาดราวกับกำลังเป็นห่วงเจ้าตัวน้อย
เยี่ยนอวี๋รู้สึกไม่สบอารมณ์ทันที! แต่เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับถลึงตาใส่ด้วยความโมโหและตะคอกใส่ด้วยพลังเสียงเต็มเปี่ยม “ขี้เหร่!”
“พรวด!” อินหลิวเฟิงที่มาร่วมวงด้วยก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
กู้หยวนซู “…”
นางจะกระอักเลือดอยู่แล้ว!
แต่เดิมคิดว่าเจ้าเด็กนี่ไม่สบาย ดูท่าจะอาการหนักด้วย นางอยากจะระบายความโกรธที่ยังค้างคาอยู่เสียหน่อย ไม่คิดว่า…
“เชอะ!” ความประหลาดของกู้หยวนซูทำให้เด็กน้อยที่ไร้ชีวิตชีวากลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทว่าเขายังคงซบท่านพ่อของเขาอย่างรักใคร่
ต้าซือมิ่งลูบศีรษะเด็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาปลอบ “เสี่ยวเป่าไม่โกรธนะ คนอัปลักษณ์ชอบก่อกวน”
กู้หยวนซู “…”
นางจะกระอักเลือดจริงๆ แล้ว!
ทว่าติ้งซีอ๋องก็เดินเข้ามา “ต้าซือมิ่งสบายดีหรือ”
“สบายดี” ต้าซือมิ่งหรงที่มองไปที่ติ้งซีโหวยังคงเป็นต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซือมิ่งผู้สูงส่งมิอาจเอื้อมถึงดุจทวยเทพ
เนื่องจากติ้งซีอ๋องมีหน้าตาคล้ายหยวนคังฮ่องเต้ แต่เขาหน้าตาดีกว่า เยี่ยนอวี๋จึงมองเขาได้นานกว่าหยวนคังฮ่องเต้ นางสัมผัสได้ว่าฌานตบะของคนๆ นี้ไม่ธรรมดา ราวกับว่าจะแข็งแกร่งกว่าหยวนคังฮ่องเต้ด้วย
“ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน” ติ้งซีอ๋องย่อมสังเกตเห็นสตรีงามงดเยี่ยนอวี๋ เมื่อเห็นว่านางกำลังมองตนเองก็พยักหน้าทักทายด้วยใบหน้าสดใส ดวงตาคล้ายลูกปัดสีฟ้า ดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าตาเหมือนคนต่างแดนและรูปร่างงาม
เยี่ยนอวี๋พยักหน้าเล็กน้อย “ติ้งซีอ๋อง” นางจำได้ว่าเม่ยเอ๋อร์เคยบอกว่าหยวนคังฮ่องเต้มีน้องชายคนหนึ่ง แม้จะต่างมารดา แต่ก็เป็นที่ไว้วางใจของหยวนคังฮ่องเต้เป็นอย่างมาก ดูท่าท่านนี้คงคือติ้งซีอ๋อง
เหอซงเองก็เดินเข้ามาเรียนแจ้งพระประสงค์ของหยวนคังฮ่องเต้ “ฮ่องเต้ทรงกังวลว่ากู้กุ้ยเฟยประสบการณ์ยังน้อย ต้าซือมิ่งท่านก็ไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยว ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการจัดพิธี พระองค์จึงทรงสั่งให้ติ้งซีอ๋องแห่งราชสำนักคอยสังเกตการณ์ และให้อัครมหาเสนาบดีหยางและท่านแม่ทัพเฉินเป็นผู้ช่วย”
“อืม” หรงอี้ขานตอบอย่างขอไปที
เยี่ยนเสี่ยวเป่าอ้าปากให้เขา จ๊อกๆ…
“หิวแล้วหรือ” หรงต้าซือมิ่งที่เริ่มป้อนข้าวให้เด็กน้อยก็แสดงท่าที ‘ไม่รับแขก’
เหอซงจึงทำได้เพียงเดินนำติ้งซีอ๋องขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่ง กลัวว่าต้าซือมิ่งท่านนี้จะหงุดหงิดแล้วจะเล่นพิเรนทร์อีก
ติ้งซีอ๋องและคนอื่นๆ ก็กล่าวลาอย่างรู้มารยาท ไม่มีผู้ใดกล่าวคัดค้านการกระทำของต้าซือมิ่ง เพราะพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์และสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้
หลังจากทุกคนจากไปแล้ว เยี่ยนอวี๋ก็กระซิบถามข้างหูต้าซือมิ่ง “หรือว่าจะตายจริงๆ แล้ว” จึงส่งน้องชายมาแทน?
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้ต้าซือมิ่งอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขาโอบนางเข้ามาใกล้ และพูดกระซิบข้างหูนางเช่นกันว่า “ไม่ใช่หรอก”
“หืม?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าบอกว่าไม่ได้ยินท่านพ่อท่านแม่คุยอะไรกัน
เยี่ยนอวี๋ลูบเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะยืดตัวนั่งตรง มิได้กระชิบกระซาบอะไรกับต้าซือมิ่งต่อ เพราะว่านางพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว การประลองก็เริ่มขึ้นหลังจากกู้หยวนซูประกาศเปิดงานและกฎกติกา
ทว่าการแข่งขันครั้งนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักชางอู๋ ถึงอย่างไรการท้าชิงการแข่งขันรอบรองก็ต้องรอจนกว่าการแข่งขันรอบรองสิ้นสุดจึงจะส่งคำท้าชิงได้ อีกทั้งคนที่ท้าชิงท้าได้เพียงสามสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรก
การแข่งขันรอบรองนี้จึงดำเนินไปอย่างราบเรียบ โดยเฉพาะสำนักนิรนามม้ามืดที่ได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันรอบแรกกลับมิได้เก่งกาจเช่นนั้น พวกเขาได้เพียงอันดับที่เก้า ทำให้ผู้ชมต่างเบื่อหน่ายจนรู้สึกง่วงนอน
“ผลการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ อันดับที่หนึ่ง สำนักคุนอู๋ อันดับที่สอง สำนักเหยาไถเซียน อันดับที่สาม สำนักชิงเหลียน อันดับที่สี่ สำนักจวินจื่อ อันดับที่ห้า สำนักเนี่ยผาน อันดับที่หก นิกายเซิ่งเหลียน…”
กู้หยวนซูประกาศผลด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนกับใบประกาศผลใบนี้ที่ ‘ไร้สีสัน’ นอกจากสำนักชางอู๋ไม่อยู่ในนี้แล้ว ที่เหลือก็เหมือนกับรุ่นที่แล้วทั้งหมด
ทว่ากู้หยวนซูก็ประกาศต่อไปว่า “ต่อจากนี้เป็นการท้าชิงรอบชิงชนะเลิศ สำนักที่ได้รับรางวัลสำนักยอดเยี่ยมในรอบแรกมีโอกาสท้าชิงสำนักสามอันดับแรกในรอบรองชนะเลิศ กติกาของการแข่งขันครั้งนี้คือสำนักที่ขอท้าชิงส่งศิษย์คนหนึ่งท้าชิง แต่สำนักที่รับคำท้าสามารถปรับกลยุทธ์การต่อสู้ของตนเองได้ สามารถเลือกเองได้ว่าจะส่งกำลังหนึ่งคนหรือกี่คนก็ได้ นอกจากนี้ผู้ท้าชิงต้องเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักเท่านั้น ส่วนผู้รับคำท้าสามารถส่งผู้อาวุโส กระทั่งอดีตผู้อาวุโสได้ ดังนั้นขอให้สำนักไตร่ตรองให้รอบคอบ หากยืนหยัดจะท้า จะต้องเซ็นใบยินยอม”
เมื่อสิ้นเสียงพูด…
“…”
ทุกคนในเหตุการณ์เงียบสงัด ถึงแม้ทุกคนจะรู้ว่าการท้าชิงมีกฎเกณฑ์เข้มงวดกับผู้ท้าชิงมาก แต่ว่า… แต่ว่านี่มันไร้ความยุติธรรมเกินไปหน่อยแล้ว!
คนที่ไม่ค่อยเข้าใจกลไกการแข่งขันท้าชิงเท่าไรก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะกู้หยวนซูจงใจทำให้สำนักชางอู๋ลำบากหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรกุ้ยเฟยท่านนี้ก็มีแค้นกับปราชญ์มหาสำนัก
แต่แล้วสำนักชางอู๋ต่างรู้ดีว่ากติกาการท้าชิงเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ทว่าจู่ๆ เยี่ยนชิงก็คิดได้ว่าสำนักคุนอู๋อาจจะส่งอดีตผู้อาวุโสออกมาอย่างไร้ยางอายก็ได้ ถ้าเช่นนั้นห้ามให้…
“เยี่ยนจื่ออวี๋สำนักชางอู๋ขอท้าประลอง” ในขณะที่ทุกอย่างเงียบสงัด เยี่ยนชิงเองก็กำลังครุ่นคิด เสียงของเยี่ยนอวี๋ก็ดังก้องไปทั่วทั้งลานสนามประลอง