ตอนที่ 338 ปกป้องสตรีของตนเองจนเป็นนิสัย!
คำพูดเหล่านี้ทำให้ติ้งซีอ๋องชะงักไปจริงๆ ถึงอย่างไรที่ชือปี้เหลียนพูดก็เพื่อปกป้องราชสำนัก หากเขาขัดนางในยามนี้และประกาศว่าเยี่ยนอวี๋ชนะการประลองก็คงไม่ดีต่อราชสำนักนัก
หยางเฟิ่งหยวนเองก็ชิงเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว! ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ถึงแม้สำนักชางอู๋ของเจ้าและสำนักคุนอู๋มีความแค้นเก่า แต่ก็ไม่สมควรกวาดล้างคุนอู๋ทั้งสำนักอย่างโหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้ อีกอย่าง ขนาดต่อหน้าราชสำนัก เจ้ายังกล้าทำเช่นนี้ เจ้ายังเห็นกฎระเบียบราชสำนักในสายตาหรือไม่ ตาแก่เช่นข้าจะถูกเจ้าฆ่าเพราะเกิดในสำนักคุนอู๋ด้วยหรือไม่”
หยางเฟิ่งหยวนกังวลเรื่องนี้จริงๆ ส่วนคนสำนักคุนอู๋ที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักเองก็กังวลเช่นกัน พวกเขาจึงสำทับขึ้นว่า “นั่นน่ะสิ ผิดหรือที่เกิดเป็นคนสำนักคุนอู๋ ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว”
“อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าได้ยินถึงตรงนี้ก็โมโห เขาทำท่าจะแย้ง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขายังพูดไม่คล่องเลย เมื่อใจร้อนขึ้นมาก็ได้แต่รัว ‘อ้ะเนะเนะ’ ทำเอาเขาหงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว
เยี่ยนจื่อเยี่ยและคนอื่นๆ เองโมโหยิ่งกว่า ครั้นพวกเขากำลังจะแย้ง แต่…
วิ้ง!
ต้าซือมิ่งสะบัดแขนเสื้อ บนท้องฟ้าพลันปรากฏภาพกองทัพชั้นยอดคุนอู๋บุกประชิดและปะทะสำนักชางอู๋ ในครานั้นศิษย์และทหารสำนักชางอู๋มากมายต้องตายเพราะการจู่โจมของกองกำลังชั้นยอดสำนักคุนอู๋
ภาพที่ในครานั้นสำนักถูกข่มเหงรังแกอย่างไรก่อนที่เยี่ยนอวี๋จะกลับมา ภาพทั้งหมดนี้ถูกฉายเป็นฉากๆ เสมือนจริง ทำให้คนที่กล่าวหาว่าเยี่ยนอวี๋โหดเหี้ยมตะลึงงัน
ชือปี้เหลียนมองไปที่ต้าซือมิ่งอย่างเดือดดาล นางรู้สึกได้ว่าบุรุษคนนี้ปกป้องสตรีของตนจนเป็นนิสัยจริงๆ! สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางหงุดหงิดและกระวนกระวายใจ
เม่ยเอ๋อร์มองไปที่ชือปี้เหลียนอีกครั้งด้วยสายตาพิฆาต นางตวาดใส่อย่างเหี้ยมเกรียม “หากคุณหนูใหญ่ของข้าโหดเหี้ยมจริงๆ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้หรือ ข้าคงฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว จะได้เอาไปให้หมากิน!”
“จิ๊ด!” ลูกหนูตัวน้อยเห็นด้วยกับวิธีของเม่ยเอ๋อร์ ฉีกนางให้เป็นชิ้นๆ ไม่ต้องให้สุนัขกินหรอก ให้หนูกินก็ได้ อย่างเช่นข้าเป็นต้น จิ๊ด!
ชือปี้เหลียน “…”
ภายใต้สายตาพิฆาตอันโจ่งแจ้งของเม่ยเอ๋อร์คู่นั้น นางก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะว่านางรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามอยากจะฉีกทึ้งนางจริงๆ และก็มีความสามารถเช่นนั้นด้วย!
ชือปี้เหลียนรู้สึกกระทั่งว่าหากนางกล้าพูดอีกสักคำ ฝ่ายตรงข้ามก็จะลงมือจริงๆ นางจึงหุบปากเงียบ ถึงอย่างไรนางคิดว่าสิ่งที่นางควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว
เม่ยเอ๋อร์เกรี้ยวกราด “ทำไมไม่พูดต่อแล้วล่ะ” ดาบเล่มใหญ่ของข้าสั่นระริกแล้ว!
ชือปีเหลียน “…”
นางทำเป็นไม่ได้ยิน
เม่ยเอ๋อร์โมโหแทบคลั่ง นางหันไปพูดกับเยี่ยนชิงว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าน้อยขอเข้าร่วมสำนักชางอู๋ตอนนี้ รอบชิงข้าน้อยขอลงแข่งเอง จะต้องให้ข้าน้อยประชันกับสตรีคนนี้ ข้าน้อยต้องฆ่านาง!”
เยี่ยนชิง “…”
หากเขาทำได้ เขาเองก็อยากทำเช่นนี้!
“เม่ยเอ๋อร์อย่าโกรธเลย ถึงอย่างไรข้าลงสนามเองก็คงไม่ต่างกัน โอกาสที่ข้าจะได้ปะทะกับสตรีนางนี้ในรอบชิงมีสูงมาก” เยี่ยนจื่อเสากล่าว เขาเองก็อยากจะฉีกทึ้งธิดาศักดิ์สิทธิ์ลัทธิเซิ่งเหลียนคนนี้จริงๆ! กล้าดีอย่างไรมากล่าวหาเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์
“เจ้าไม่ต้อง ให้ข้าจัดการเอง!” เม่ยเอ๋อร์โมโหกว่าเดิม นางถูกเยี่ยนจื่อเสาตัดหน้าทุกครั้ง นางรู้สึกเดือดจนจะระเบิดอยู่แล้ว
เยี่ยนจื่อเยี่ยพูดขึ้นว่า “พอได้แล้ว กฎกติกาตั้งไว้ว่าห้ามเข่นฆ่าศัตรูด้วยเจตนาร้าย ยกเว้นรอบท้าชิง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยี่ยนจื่อเยี่ยก็เอ่ยขึ้นต่อหน้าทุกคน หลังจากที่น้องเขยหรงฉาย ‘เรื่องราวที่เกิดขึ้น’ เสร็จแล้ว “ก่อนหน้านี้ที่สำนักคุนอู๋ส่งศิษย์ทั้งหมดในสำนักลงประลอง ตอนที่ท่านคิดว่าน้องสาวข้าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์โหดเหี้ยม พวกท่านได้กล่าวอะไรไหม และกล่าวอะไรอีกหรือไม่ครั้นสำนักคุนอู๋ส่งกลุ่มผู้อาวุโสสองรุ่นออกมาเมื่อครู่นี้ เมื่อสำนักคุนอู๋อัญเชิญกองทัพวิญญาณอสูรออกมา ท่านที่คิดว่าน้องสาวข้าโหดเหี้ยมพูดว่าอะไรบ้าง ในยามนั้นเหตุใดจึงไม่เห็นพวกท่านออกตัวห้ามปรามสำนักคุนอู๋อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจและพลังเช่นยามนี้เลย บัดนี้น้องสาวข้าจู่โจมกลับด้วยพลังความสามารถของตนเอง เอาคืนสำนักคุนอู๋ด้วยวิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน พวกท่านดันยกเรื่องความยุติธรรม คุณธรรมและมนุษยธรรมมาพูดกับข้ารึ”
“…”
ผู้ส่งเสียงร้องปาวๆ เมื่อครู่นี้ต่างเงียบกริบ พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรแล้ว ประเด็นคือพวกเขาขี้ขลาดอยู่แล้ว แต่เมื่อครู่นี้มีหัวโจกชือปี้เหลียน พวกเขาจึงกล้าร้องปาวๆ! ถึงอย่างไรกฎหมายไม่ลงโทษเสียงส่วนใหญ่ คงไม่ฆ่าพวกเขาเพียงเพราะพวกเขาระบายความโกรธและทำตามกระแสหรอก อีกอย่างสิ่งที่พูดเมื่อครู่นี้ก็เป็นความจริงทั้งนั้น
ทว่าตอนนี้ชือปี้เหลียนเงียบไม่พูดอะไรแล้ว พวกเขาจึงไม่กล้าพูดอีก อีกทั้งปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเองก็มีหลักฐานชัดเจน ดูเหมือนว่าสำนักคุนอู๋จะทำเกินไปจริงๆ
“ฮึ” เยี่ยนจื่อเยี่ยที่มองพวกเขาออกทะลุปรุโปร่งไม่ชายตามองพวกเขาด้วยซ้ำ เขาเอาแต่มองไปที่หยางเฟิ่งหยวนที่อยู่บนตำแหน่งประธาน “ท่านอัครมหาเสนาบดีหยาง พูดตามความจริง ข้าน้อยคิดว่าท่านไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี”
หยางเฟิ่งหยวนสีหน้าพลันเปลี่ยน “เจ้า…”
“ส่วนเรื่องที่ว่าท่านจะตายด้วยหรือไม่ น้องสาวข้าไม่สนใจด้วยซ้ำ! วันนี้น้องสาวข้าเผาคุนอู๋ก็เป็นเพราะต้องการเอาคืนสำนักคุนอู๋ในครานั้นที่ใช้วิธีสกปรกทำให้ท่านแม่ของข้าสิ้นชีพและยังบุกรุกสำนักข้า หรือก็คือนี่เป็นเพียงผลกรรมที่เกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือของสำนักคุนอู๋ น้องสาวข้าและสำนักข้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ขอเพียงพวกท่านไม่มาหาเรื่องสำนักข้า พวกข้าก็ย่อมไม่อยากยุ่งกับพวกท่าน” คำพูดของเยี่ยนจื่อเยี่ยหนักแน่นและทรงพลัง ทำให้ไม่มีผู้ใดโต้แย้งได้ ได้แต่ยอมรับความจริง
ติ้งซีอ๋องจึงถือโอกาสพูดขึ้นว่า “พอแล้ว ความตั้งใจเดิมของพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักคือการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างพวกเจ้า ทำให้ต้าซย่าผนึกกำลังเป็นหนึ่งและสร้างความรุ่งโรจน์ ไม่ใช่ให้พวกเจ้าข่มกันไปมาเช่นนี้ การกระทำก่อนหน้านี้ของสำนักคุนอู๋แม้จะมีส่วนผิด ที่ผ่านมาราชสำนักเองก็ไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องภายในของแต่ละสำนัก ขอเพียงเจตนาพื้นฐานของสำนักคือการทำเพื่อราชสำนักก็พอแล้ว ส่วนการกระทำของปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน เรื่องผลกรรมข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีก ผิดชอบชั่วดีย่อมรู้แก่ใจ แน่นอนว่าราชสำนักยังคงหวังว่าหลังจากนี้ทุกสำนักจะรักใคร่กลมเกลียว ร่วมมือกันทำเพื่อต้าซย่า ความบาดหมางและเข่นฆ่ากันเองเช่นวันนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย”
“ใช่แล้ว!” เฉิงคั่วเองก็ลุกขึ้นกล่าวหวังคลายสถานการณ์ “ตามกฎกติกาแล้ว วันนี้ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนได้รับชัยชนะ ดังนั้นสำนักชางอู๋สามารถเข้าแทนที่คุนอู๋ได้โดยสมบูรณ์ และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศพร้อมกับเก้าสำนักที่เหลือ”
“ยินดีกับปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและสำนักชางอู๋” เฉิงคั่วกล่าวเสริม
เหอซงจึงประกาศอย่างรู้หน้าที่ “การแข่งขันรอบรองในวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว อีกห้าวันให้หลังจะเป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเจ็ดสำนัก ซึ่งจะจัดขึ้นที่ศาลบรรพชนต้าซย่า ทุกท่านโปรดเตรียมตัวให้ดี”
จากนั้นติ้งซีอ๋องก็ประกาศจบพิธี กองกำลังแต่ละฝ่ายต่างลุกยืนขึ้นมา แต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกจากลานสนามในทันที ต่างกำลังมองเยี่ยนอวี๋ที่กำลังเดินลงมาจากเวที
สำนักอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ดีไม่น้อยกับสำนักชางอู๋ก็กำลังจะขึ้นไปกล่าวแสดงความยินดี
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์” เยี่ยนชิงเป็นคนแรกที่กอดบุตรสาวไว้ “เจ้าทำให้พ่อหัวใจจะวายแล้ว”
เยี่ยนอวี๋ปลอบท่านพ่อ สายตากลับมองหาต้าซือมิ่ง เพราะนางมีเรื่องด่วน!
ต้าซือมิ่งเองก็เหมือนจะรับรู้ได้ เขาถามขึ้นว่า “ทำไมหรือ”
“กลับไปค่อยคุยเถอะ” เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม
ทำเอาเยี่ยนชิงตกใจ “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ! รีบกลับกันเถอะ”
คนสำนักชางอู๋จึงเดินออกจากลานสนามอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ทันได้ทักทายสำนักอื่นๆ ทำให้ผู้คนอดคาดเดาไม่ได้ว่า หรือว่าเป็นเพราะหลังจากปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเฉิดฉายไป ร่างกายก็ไม่ค่อยดีเสียแล้ว
แม้แต่อีอิ่นและลู่หมิงเองก็คิดเช่นนั้น พวกเขาจึงตามไปที่ตำหนักซือมิ่งด้วย คิดว่าอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง ทว่าพวกเขาคิดผิดแล้ว
ที่เยี่ยนอวี๋มีสีหน้าเคร่งขรึมก็เป็นเพราะนางควบคุมร่างวิญญาณมารที่หลงเหลือของกู้หยวนซูไว้ได้แล้ว และยังได้เห็นความทรงจำที่สำคัญไม่น้อย! นางรู้เรื่องโลงศพนั่นแล้ว
เมื่อถึงตำหนักซือมิ่ง เยี่ยนอวี๋ก็นำร่างวิญญาณมารของกู้หยวนซูออกมา ก่อนจะรวบเข้าไปในอนุสติของต้าซือมิ่ง “เจ้าลองดูเอง”
ภาพแต่ละภาพที่ถูกเยี่ยนอวี๋ดึงออกมาก็ฉายเป็นภาพนิมิตในอนุสติของต้าซือมิ่ง ทำให้เขาไม่เพียงเห็นโลงศพอย่างชัดเจน เขายังพบสิ่งที่สำคัญที่สุด
เขาเห็นว่าบนโลงศพโลงนั้นสลักลายอักษรที่มีเพียงเขาที่อ่านรู้เรื่อง และความหมายของอักษรเหล่านี้…