ตอนที่ 339 ไขปริศนาลับต้าซือมิ่งคนที่สอง!
นั่นทำให้เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “นี่มัน…”
“เจ้าเข้าใจหรือ” เยี่ยนอวี๋รีบถาม เพราะว่านางสัมผัสบางสิ่งได้จากโลงศพโลงนี้ นางสัมผัสกลิ่นอายอันบริสุทธิ์ของคนตรงหน้าได้จากโลงศพโลงนี้! ซึ่งทำให้เยี่ยนอวี๋อดกังวลไม่ได้ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ทำให้นางมั่นใจได้ว่าคนที่อยู่ในโลงศพก็คือหรงอี้ เหมือนกับว่าจะเป็นเขาในร่างที่ตายไปแล้วและยังตกอยู่ในมือของหยวนคังฮ่องเต้?!
นี่มัน…
“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ” เยี่ยนชิงที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจ “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ เจ้าไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือ”
“นั่นน่ะสิ เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เยี่ยนจื่อเยี่ยก็งุนงงเช่นกัน
อินหลิวเฟิงก็งงงัน เขาตามสำนักชางอู๋กลับมาตำหนักซือมิ่งก็เพราะเป็นห่วงว่าเยี่ยนอวี๋จะเป็นอะไร แต่เหมือนกับว่าเขาจะคิดมากไปเอง?
“รายงานต้าซือมิ่ง อีจี้จิ่วและอาจารย์ลู่มาหาขอรับ”
“ต้าซือมิ่ง โยวตูอ๋อง เจ้าสำนักจวินมาหาขอรับ”
“ต้าซือมิ่ง เจ้าสำนักสำนักเนี่ยผานมาหาขอรับ”
…
กลุ่มคนที่เป็นห่วงเป็นใยเยี่ยนอวี๋ยกโขยงมารายงานตัวทีละกลุ่มสองกลุ่ม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดว่าเยี่ยนอวี๋เป็นอะไรไป แต่เยี่ยนอวี๋ตัวนางเองยังไม่รู้เรื่อง “เหตุใดมากันมากมายเช่นนี้”
“ก็เป็นเพราะกูไหน่ไนเจ้าทำให้พวกเขาแตกตื่นไงเล่า พวกเขาคงคิดว่าเจ้าจะบาดเจ็บ ก็เลยอาสามาช่วยเหลือเจ้ากันน่ะ” อินหลิวเฟิงกล่าวอย่างรู้ดี
เยี่ยนหงชวนพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไร เสี่ยวชิง เจ้าออกไปรับแขกกับข้า ไปชี้แจงความจริงกับพวกเขาก่อน อย่าปล่อยให้พวกเขากระวนกระวายใจ”
“เดี๋ยวสิ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เจ้าไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ” เยี่ยนชิงมองบุตรสาวอย่างพินิจพิเคราะห์
เยี่ยนอวี๋งุนงง “แน่นอน ข้าจะเป็นอะไรได้เจ้าคะ”
“รู้สึกหมดแรงอะไรแบบนี้น่ะ เจ้าไม่รู้สึกเลยหรือ” เยี่ยนจื่อเสามองน้องสาวที่ดูมีชีวิตชีวาดี เขารู้สึกประหลาดใจ สภาพนางดีเกินไปแล้ว
ท้ายสุดเอ้อร์เหมาก็สรุปประเด็นที่ทุกคนเป็นห่วง “คืออย่างนี้ขอรับ คุณหนูใหญ่ ท่านเพิ่งสู้ไปสามยก ยังโค่นล้มไปหนึ่งสำนักและกองทัพวิญญาณอสูรพันตัว ท่านไม่รู้สึกเหนื่อย หมดแรง หรือไม่สบายตรงไหนบ้างเลยหรือขอรับ”
“นั่นน่ะสิ!” เยี่ยนจื่อเสาผงกศีรษะ “สภาพเจ้าดีเกินไปแล้ว เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ หรือว่าเจ้ากลัวว่าพวกข้าจะเป็นห่วงก็เลยไม่แสดงออกมา เมื่อพวกเราไปแล้วเจ้าก็จะบอกน้องเขยเพียงผู้เดียว? ฟังนะ เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เอ่อ… ประมุขหอโอสถล่ะ ให้ท่านมาดูอาการให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์หน่อย แล้วก็ใครก็ได้ช่วยไปสำนักหมอหลวงเชิญเหวยสู่เจิ้งมาด้วย อย่าหาว่าข้าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ น้องสาวเป็นถึงปราชญ์มหาสำนักแห่งสำนักหมอหลวง แต่ตั้งแต่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เข้าเมืองหลวง เหวยสู่เจิ้งท่านนี้ไม่เคยมาหาเลย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปเชิญมาเดี่ยวนี้! ข้าน้อยยังถือว่าคุ้นเคยกับสำนักหมอหลวงดี” เอ้อร์เหมาได้รับคำสั่งก็ทำท่าจะพุ่งตัวออกไป แต่กลับถูกเม่ยเอ๋อร์ห้ามไว้ก่อน
เยี่ยนอวี๋ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี นางกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” แค่ปลวกไม่กี่ตัวนั่นจะทำอะไรนางได้เล่า หากไม่ใช่เพราะต้องการค้นหาแดนมืดวิญญาณอสูรและความเชื่อมโยงระหว่างชั้นลอยและโลกปัจจุบัน นางคงส่งพวกเขาไปสู่ความตายตั้งแต่แรกแล้ว
“จริงหรือ” อันที่จริงเยี่ยนชิงดูออกว่าบุตรสาวสุดที่รักไม่เป็นอะไรจริงๆ เขาเองก็เชื่อในตัวภรรยาผู้ล่วงลับเช่นกัน แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี ถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรสาวที่ถูกประคบประหงมดั่งไข่ในหินตั้งแต่เล็ก เขากลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดคิดจริงๆ
ทว่าเยี่ยนจื่อเยี่ยก็ลากท่านพ่อไปแล้ว “ท่านพ่อไปเถิด ดูแล้วเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่นางคงมีธุระจำเป็นต้องปรึกษากับว่าที่น้องเขย พวกเราออกไปสงบอารมณ์ของคนที่ห่วงใยเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ก่อนค่อยกลับมาดีกว่า”
เยี่ยนชิงจึงเดินออกไป คนที่เหลือก็แยกย้ายกันไปพร้อมเยี่ยนชิง เหลือเพียงครอบครัวเยี่ยนอวี๋ เด็กน้อยกำลังมองท่านพ่อรูปงามของเขาด้วยดวงตากลมโต “อ้ะเนะ?”
เยี่ยนอวี๋ก็มองไปที่ต้าซือมิ่ง “ข้าเห็นอักษรรโบราณบนโลงศพแล้วเหมือนจะมีความหมายศักดิ์สิทธิ์บางอย่างซ่อนเร้น อีกทั้งยังไม่ใช่อักษรหรือภาษาโบราณของสวรรค์เก้าชั้นฟ้าของข้าด้วย อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยเห็น”
“อืม” หรงอี้พยักหน้า “ลายอักษรเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวโยงกับสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจริงๆ เพราะมันเป็นอักษรที่ข้าเขียนเอง”
“เจ้า?” แม้เยี่ยนอวี๋เดาได้แต่แรกแล้ว แต่ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดี
“ตามข้ามา” ต้าซือมิ่งหรงยื่นมือไปจูงภรรยา จากนั้นก็รับเด็กน้อยเข้ามา เขาพาทั้งสองไปที่ห้องหนังสือของเขา
เยี่ยนอวี๋มาที่นี่เป็นครั้งแรก ทว่านางไม่มีกะจิตกะใจสำรวจรอบๆ ยามนี้นางกำลังจับจ้องไปที่กระดาษที่ต้าซือมิ่งกางออก เพราะเขากำลังเขียนลวดลายอักษรลักษณะพิเศษ อักษรเหล่านี้แม้จะไม่ค่อยเหมือนกับอักษรที่นางเห็นบนโลงศพเหล่านั้น แต่ก็ดูออกว่าเป็นอักษรที่มีต้นกำเนิดเดียวกันและยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เมื่อต้าซือมิ่งเขียนเสร็จ เยี่ยนอวี๋ก็ถามขึ้นว่า “นี่คืออักษรอะไรหรือ”
“อ้ะเนะ?” เจ้าตัวน้อยเองก็ถามขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน เขายังยื่นมืออวบอ้วนของตนออกไปอย่างประหลาดใจ เขาอยากจะจับอักษรเหล่านั้น เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังอันคุ้นเคยจากอักษรเหล่านั้น
ต้าซือมิ่งเองก็ไม่ได้ห้ามเด็กน้อย ฝ่ายหลังจึงใช้มือจับลูบอักษรเหล่านั้นจนมือดำปี๋…
เยี่ยนอวี๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือให้เด็กน้อย “ดูเจ้าสิ มือเลอะเทอะอีกแล้ว”
“ฮี่…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเอาใจท่านแม่ของเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำเอานางอดจูบไม่ได้
ต้าซือมิ่งวางพู่กันลง “มันเป็นอักษรที่มีพลังและกฎเกณฑ์เหมือนกับอักษรโบราณของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า หากข้าจำไม่ผิด อักษรบนโลงศพที่เจ้าให้ข้าดูหมายถึงการทำลายล้าง ซึ่งเขียนด้วยอักษณเทพคำว่า ‘จี้’ ”
“เช่นนั้นข้างในนั่น…” เยี่ยนอวี๋ชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่ชายตรงหน้าอย่างกังวล
ต้าซือมิ่งกลับยื่นแขนออกไปโอบนางเข้ามาในอ้อมอก เขากอดนางและเด็กน้อยไว้ “ในนั้นน่ะคงจะมีข้าอีกคนหนึ่งนอนอยู่ โลงศพนี้ยังได้แยกสายสัมพันธ์ระหว่างข้าและ ‘เขา’ ”
“เจ้าก็เลยสัมผัสได้ แต่มองไม่เห็น ใช่หรือไม่” ในที่สุดเยี่ยนอวี๋ก็คาดเดาความจริงได้
ต้าซือมิ่งพยักหน้ายืนยัน “ตัวอักษรที่ข้าเขียนตอนนี้เป็นอักษรโบราณคำว่า ‘หยิ่น’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘จี้’ หากพวกมันประกอบเข้าด้วยกันก็จะสามารถเปิดพื้นที่ว่างเปล่าเพื่อซ่อนทุกอย่างได้”
“ก็เหมือนกับอภิญญาณอำพรางที่เจ้าใช้เมื่อพาข้าไปราชสำนักหรือ” เยี่ยนอวี๋พูดอีกก็ถูกอีก
ต้าซือมิ่งอดจูบหน้าผากของนางไม่ได้ เขาอมยิ้มพูดว่า “แม้เจ้าจะมองไม่เห็นลายอักษรซ่อนเร้น แต่เจ้าก็ได้กลิ่นอายของพวกมันแล้วหรือ”
“เจ้าอย่าหัวเราะสิ จริงจังหน่อย! เช่นนั้นตอนนี้เราควรทำอย่างไร” เมื่อเยี่ยนอวี๋เห็นสิ่งเหล่านี้ก็เริ่มร้อนใจ แต่ต้าซือมิ่งกลับทำหน้าทะเล้น
“อ้ะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ฟังไม่เข้าใจก็ถามขึ้นว่า “อ้ะเนะเนะ?” ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย ข้าอยากฟังอีก
“ไปราชสำนักก่อน ข้าพอจะรู้แล้วว่าต้องแก้อย่างไร” ต้าซือมิ่งที่มีแผนการในใจแล้วก็ดูไม่รีบร้อนเท่าไร เขายังจูบภรรยาด้วยความรักเปี่ยมล้น “ไม่ต้องกังวลหรอก”
เพียงแต่ว่า… ต้าซือมิ่งที่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถูกใบหน้าตุ้ยนุ้ยที่จู่ๆ แทรกเข้ามาขัดจังหวะ “ข้า!” เด็กน้อยบอกว่าท่านพ่อจูบท่านแม่สองคราแล้ว แต่ยังไม่จูบเสี่ยวเป่าเลย!
ต้าซือมิ่งที่ถูกขัดจังหวะก็จูบเด็กน้อย ฝ่ายหลังจึงพิงอกของท่านพ่ออย่างพอใจและฟังท่านพ่อท่านแม่เงียบๆ เขายังกอดท่านพ่อแน่นเป็นครั้งคราว ไม่รู้ว่าตื่นเต้นเรื่องอะไร
ต้าซือมิ่งรวบผ้าห่อตัวให้เด็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างละเอียดว่า “ ’เขา’ เองก็คงแอบข้าโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นทุกครั้งที่ไปวังใต้ดิน เราจึงมองไม่เห็น ‘เขา’ เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่า ‘เขา’ ซ่อนตัวอย่างไร แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว เราย่อมหาเขาเจอ”
“เช่นนั้นเราไปกันตอนนี้เลยหรือไม่” เยี่ยนอวี๋ยังคงเป็นกังวล “ตอนที่ข้าเก็บวิญญาณกู้หยวนซู มีพลังกลุ่มหนึ่งแทรกแซงกะทันหัน ข้ากลัวว่าจะทำให้ ‘เขา’ ตื่น”
“อืม” เมื่อหรงอี้พยักหน้า เขาก็พาภรรยาและลูกหายวับไปทางราชสำนักแล้ว
ผ่านไปเพียงไม่นาน ทั้งสามก็มาถึงวังใต้ดินในราชสำนัก
เยี่ยนอวี๋ “…”
เราเข้ามากันง่ายดายเช่นนี้ และยังพาลูกน้อยมาด้วย จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่งุนงงไปครู่หนึ่งก็ทำท่าจะส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ แต่เขาก็ถูกท่านแม่ปิดปากไว้ “ชู่ว์ เสี่ยวเป่าไม่พูดนะ พวกเราจะถูกคนอื่นพบไม่ได้นะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ารีบปิดปากทันที ดวงตากลมโตของเขากลับเปล่งประกายเต็มไปด้วยความระทึก ทำเอาเยี่ยนอวี๋กลัวว่าเด็กน้อยจะดีใจจนลืมตัวส่งเสียงออกมา
ต้าซือมิ่งมองภรรยาในอ้อมแขนที่แสดงท่าทาง ‘ลับๆล่อๆ’ และกำลังปิดปากเด็กน้อยอย่างหาดูได้ยาก เขาก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “มิต้องกังวลหรอก”
“ชู่ว์!” เยี่ยนอวี๋ถลึงตาใส่ต้าซือมิ่ง พูดเสียงเบาว่า “เจ้าพาเสี่ยวเป่ามาด้วยก็ต้องระวังตัวหน่อย!”
“ชู่ว์! ชู่ว์…” เยี่ยนเสี่ยวเป่ารีบปิดปากท่านแม่ของเขาไว้ทันที พลางส่งเสียง ชู่ว์ๆ ดังไม่หยุด เขาจึงถูกท่านแม่ปิดปากไว้อีกครั้งแล้ว
ต้าซือมิ่งจูบคนตัวโตแล้วก็จูบคนตัวเล็ก ในดวงตาสีม่วงของเขาเต็มไปด้วยความขบขัน น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความรักและความอ่อนโยน “อืม ระวังหน่อย”
เยี่ยนอวี๋อุ้มเด็กน้อยเข้ามา มือปิดปากเด็กน้อยไว้ตลอดเวลา นางใช้สายตาส่งสัญญาณให้ต้าซือมิ่งรีบทำธุระ ฝ่ายหลังเองก็ไม่ได้ชักช้า
เส้นลายอันศักดิ์สิทธิ์ถูกต้าซือมิ่งดึงออกมาจากปลายนิ้ว มันเปล่งประกายแสงสีม่วงอัศจรรย์ ราวกับว่าทุกเส้นลายมีกฎเกณฑ์พิเศษในตัวมันเอง เยี่ยนอวี๋มองดูด้วยแววตาเคร่งขรึม
เมื่อลายเส้นถูกดึงออกมาหมดแล้ว หรงอี้ก็ประกอบลายเส้นเหล่านี้ให้กลายเป็นอักษรโบราณอันลึกลับและซับซ้อน ทันใดนั้น เยี่ยนอวี๋ก็สัมผัสถึง…
วิ้ง!
แคร่ก!…