ตอนที่ 347 อย่าคุยเหตุผลกับพวกคลั่งน้องสาว ความน่าเกรงขามของตำหนักไท่ชาง!
เยี่ยนอวี๋แววตามืดครึ้มลงเล็กน้อยแต่กลับลอบมองไปทางพี่รองอย่างกังวล
เพี๊ยะ!
เยี่ยนจือเสาตบชือปี้เหลียนจนหน้าหัน ฝ่ายหลังที่มัวแต่เสียสมาธิไป ‘เยาะเย้ย’ เยี่ยนอวี๋ไม่ทันระวังย่อมโดนตบเข้าเต็มๆ
ชือปี้เหลียน “…”
นางที่รู้สึกว่าใบหน้าแสบร้อนยังคงอึ้งงัน แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วพลางจ้องเยี่ยนจื่อเสาด้วยความโกรธ “เจ้าทำผิดกฎ! การแข่งขันยังไม่เริ่มขึ้นเลย”
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ชือ สนามชิงชนะเลิศเมื่อทั้งสองฝ่ายก้าวขึ้นสนามก็ถือว่ายอมรับว่าเริ่มการแข่งขันแล้ว” ติ้งซีอ๋องจำต้องเอ่ยเตือนธิดาศักดิ์สิทธิ์แสนโง่เขลาของลัทธิเซิ่งเหลียนผู้นี้
เยี่ยนจือเสาเองก็ไม่ได้พูดถึงมารยาทการประลองกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ชืออีก เขาอาศัยจังหวะที่นางกำลังพูดคุยกับติ้งซีอ๋องตบนางไปอีกหนึ่งฝ่ามือ “อย่างเจ้าน่ะหรือ! ขึ้นสนามประลองแล้วยังกล้าถลึงตาใส่น้องข้า สมควรโดนแล้ว!”
“เจ้า…” ชือปี้เหลียนหลบพัลวัน
จนใจที่เยี่ยนจือเสาว่องไวมาก ดังนั้นฝ่ามือที่สองง้างขึ้นก็ยังคงตบโดนใบหน้าของชือปี้เหลียนอย่างแม่นยำ ตบจนใบหน้าซีกขวาของนางบวมขึ้นมาแล้ว!
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือนั้นก้องกังวานอย่างยิ่ง ตบเสียจนชือปี้เหลียนที่กลายเป็นหัวหมูรู้สึกสงสัยในชีวิตขึ้นมา นางคิดว่าเยี่ยนจือเสาช่างเป็นคู่แค้นแต่ชาติปางก่อนโดยแท้
แต่นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยนจือเสาตวัดฝ่ามือกลับมาตบเข้าที่ปากของชือปี้เหลียน “ใครให้เจ้าปากเน่า ชอบว่าร้ายน้องสาวข้า ปากนี่ก็ไม่ต้องเอาแล้ว”
“เจ้าบังอาจ!” ชือปี้เหลียนที่เอ่ยด่าได้ไม่ชัดรอบกายพลันระเบิดเพลิงปทุมร้อนแรง พลังป้องกันของกายเนื้อแข็งแกร่งถึงขั้นปฐมภูมิ แต่น่าเสียดาย…
เพี๊ยะ!
จากฝ่ามือกลายเป็นกรงเล็บฉีกเพลิงปทุมออกและตบเข้าที่ปากของชือปี้เหลียนอย่างแม่นยำจนนางเลือดกบปาก ฟันนับไม่ถ้วนถูกพ่นออกมาพร้อมกับเลือด
“บ้าเอ๊ย!”
“รวดเร็วและแม่นยำมาก!”
“ร้ายกาจ! ไม่รักหยกถนอมบุปผาเลยนะนั่น!” ผู้แข็งแกร่งรอบด้านล้วนถูกกระบวนท่าการตบของเยี่ยนจื่อเสาทำให้ต้องเลื่อมใสอีกฝ่าย
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องความเร็วและพลังโจมตีนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าความแข็งแกร่งของกายเนื้อเขานั้นไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยนจื่อเยี่ยเลย!
“บุตรทั้งสามของประมุขเยี่ยนนี่ยอดจริง!” ตี๋อูหวนพูดไปก็หันไปถามผู้อาวุโสข้างกาย “เฟิ่งเอ๋อร์สำนักเราได้หมั้นหมายกับใครแล้วหรือยังนะ”
“หา?” ผู้อาวุโสสำนักเนี่ยผานตามจังหวะความคิดของเจ้าสำนักไม่ทัน ยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องพูดถึงเรื่องนี้
ตี๋อูหวนก็เอ่ยเตือนด้วยความทดท้อว่า “ข้าได้ยินมาว่า คุณชายทั้งสองของตระกูลเยี่ยนยังไม่มีสัญญาหมั้นหมาย!”
“อ๋อ!? อ้อ! อ้อๆ มี ไม่สิ! ไม่มี เฟิ่งเอ๋อร์ยังไม่ได้หมั้นหมาย เจ้าสำนักหมายความว่าพวกเราจะดองกับสำนักชางอู๋อย่างนั้นหรือ?” ในที่สุดผู้อาวุโสของสำนักเนี่ยผานก็เข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว
ตี๋อูหวนพยักหน้าเอ่ย “ลองดูได้ อย่างไรเสียก็ยังไม่มีสัญญาหมั้น เกิดสำเร็จขึ้นมาเล่า?”
ผู้อาวุโสสำนักเนี่ยผานกำลังจะเอ่ยว่าได้ก็เห็นว่ารอบกายของชือปี้เหลียนบนเวทีพลันระเบิดออกเป็นแสงสีดำแปลกประหลาด
อีกทั้งท่ามกลางแสงสีดำนั้นยังมีเงาคนวูบวาบไปมาอีกด้วย? นี่มัน…
“ปราณแค้นจิ่วหลี!” แววตาของจวินอั้นเทียนขรึมลงจำได้ในทันทีว่าพลังรอบกายของชือปี้เหลียนนั้นคือปราณแค้นมหึมาของเผ่าจิ่วหลีจากสุสานจิ่วหลี
ปีนั้นทัพใหญ่นับล้านของจิ่วหลีถูกเหล่าบรรพชนของต้าซย่าจากต้าฮวงตะวันออกเข่นฆ่าสังหารจนกลายเป็นสุสานจิ่วหลีที่เต็มไปด้วยความคับแค้น หลังจากต้าซย่าสถานปนาแคว้นก็ไม่ใช่ไม่เคยคิดอยากจัดการภัยซ่อนเร้นนี้แต่จนใจที่พลาดช่วงเวลาชำระล้างที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปแล้ว สุสานจิ่วหลีจึงไม่อาจชำระล้างได้อีกต่อไป
เพราะภายในสุสานจิ่วหลีนั้นได้สร้าง ‘โลกอีกใบ’ ขึ้น ด้านในเต็มไปด้วยปราณแค้นเข้มข้นกลายเป็น ‘กำแพงธรรมชาติ’ ที่ป้องกันคนภายนอกและภูติผีด้านในเอาไว้
หลังจากผู้ฝึกฌานเข้าไปลมปราณจะแตกซ่านจนตาย ภูตผีด้านในเองก็ไม่อาจออกมาได้ มิเช่นนั้นจะถูกแสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาจนสลายไปกลายเป็นจุดสมดุลขึ้นมาพอดี ต้าซย่าจึงไม่มีผู้ใดทุ่มเทพลังเพื่อกำจัดวิญญาณแค้นในสุสาน
แต่ตอนนี้ชือปี้เหลียนกลับโยกย้ายปราณแค้นมาใช้ได้ นี่ทำให้จวินอั้นเทียนอดสงสัยไม่ได้ว่าเผ่าจิ่วหลีอาจจะคิดกบฏและได้หาขุมกำลังเพื่อมาสนับสนุนตนเองนั่นก็คือ…สุสานจิ่วหลี!
หากเป็นเช่นนี้…
“!”
จวินอั้นเทียนมองไปทางตี้ซีอ๋องและหยวนคังฮ่องเต้ที่อยู่บนแท่นสูงกลับเห็นทั้งสองคนสบตากันด้วยสีหน้าหนักอึ้งท่าทางดูตื่นตระหนกมากเช่นกัน
ในขณะเดียวกันนั้น…
“ตายซะเถอะ!”
ชือปี้เหลียนที่ระเบิดเพลิงปทุมทมิฬสะบัดเพลิงไปทางใบหน้าของเยี่ยนจื่อเสาในทันที
ฟิ้ว!
โฮก!
ภายใต้การกระตุ้นของชือปี้เหลียนปราณแค้นนับไม่ถ้วนของเผ่าจิ่วหลีพุ่งไปทางเยี่ยนจื่อเสาไม่ขาดสาย ไม่เพียงทำลายพลังที่เขาโจมตีออกมาเท่านั้นยังกลืนกินการป้องกันของเขาด้วย ตอนนี้กำลังจะกลืนกินมาถึงตัวเขาแล้ว
โบร๋ว!
ในนาทีนี้เองเสียงหอนของจิ้งจอกก็ดังหวีดหวิวออกมาจากภายในร่างของเยี่ยนจื่อเสาพร้อมพายุสีขาวพร่างพรายเข้าบดขยี้ปราณแค้นนับไม่ถ้วนนั้นทันที
“เชอะ!” หัวหมูชือปี้เหลียนเห็นดังนี้กลับแค่นเสียง ในดวงตาทั้งคู่ผุดเปลวเพลิงประหลาดสีน้ำเงินราวกับเพลิงภูติผีมากกว่าเดิมและ…
“บรรพชนจิ่วหลี! คุ้มครองข้าด้วย” ชือปี้เหลียนอธิษฐานเสียงแหลม รอบกายมีเพลิงประหลาดสีน้ำเงินปะทุขึ้นไม่หยุดทำให้เสื้อผ้าเส้นผมของนางไหม้ไปไม่น้อย
แต่ในเวลานี้ไม่มีใครมีกะใจไปมองร่างกายของชือปี้เหลียนเพราะทุกคนถูกโครงกระดูกที่เริ่มปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างท่ามกลางเพลิงประหลาดของชือปี้เหลียนดึงดูดความสนใจไปจนหมด!
“สวรรค์!”
“นี่ นี่มันอะไรกันน่ะ!”
“ทัพโครงกระดูกงั้นหรือ!?” ผู้แข็งแกร่งแต่ละฝ่ายพากันขนหัวลุกรู้สึกหวาดผวาตามสัญชาตญาณ เพราะกลางเวทีประลองเต็มไปด้วยโครงกระดูกนับร้อย
และโครงกระดูกเหล่านี้ แต่ละตัวล้วนแผ่พลังที่ใกล้เคียงกับขั้นวิญญาณปฐมภูมิออกมา!? นี่มัน…
“สมควรตาย!” สีหน้าอินหลิวเฟิงย่ำแย่ “ถึงแม้กายเนื้อของพี่รองจะใกล้เคียงกับขั้นวิญญาณปฐมภูมิแต่เกรงว่าคงไม่อาจสู้กับศัตรูมากขนาดนี้ได้ วิธีชั่วร้ายเช่นนี้ของลัทธิเซิ่งเหลียนเหตุใดไม่เคยเห็นมาก่อน”
“แต่ก่อนยังไม่มี” ชือหมินหมิ่นในฐานะที่เป็นอดีตศิษย์ของลัทธิเซิ่งเหลียนกล้าพูดได้เลยว่า “วิธีชั่วร้ายเช่นนี้เป็นการท้าทายอำนาจราชวงศ์แท้ๆ ลัทธิของข้าไม่มีทางกล้าฝึกแน่”
“ในที่ลับเล่า?” เยี่ยนอวี๋พลันถาม
ชือหมินหมิ่นสะอึกไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงยืนยัน “ผู้อาวุโสในลัทธิส่วนมากล้วนไม่สนับสนุนวิธีการท้าทายราชวงศ์เช่นนี้เพราะลัทธิเซิ่งเหลียนไม่ได้อยากจะต่อต้านอำนาจของภาคกลางอยู่แล้ว เผ่าจิ่วหลีหากไม่อยากถูกฆ่าล้างก็ควรจะเฝ้ารักษาถิ่นฐานอันน้อยนิดเอาไว้ พยายามรักษาชีวิตให้ดี”
“เจ้าก็พูดเองว่าแค่ผู้อาวุโสส่วนมาก แสดงว่ายังมีพวกส่วนน้อยหัวรุนแรงอยู่ และดูจากสภาพของชือปี้เหลียนในตอนนี้พวกส่วนน้อยหัวรุนแรงคงกุมอำนาจไปแล้วเรียบร้อย” เยี่ยนชิงพูดถึงตรงนี้ก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของสำนักขึ้นมา
เพราะอย่างไรเสียชายแดนสำนักชางอู๋ก็อยู่ติดกับจิ่วหลี เมื่อเผ่าจิ่วหลีตัดสินใจที่จะก่อกบฏอย่างนั้นที่จะถูกเข้าปะทะเป็นที่แรกก็คือชายแดนสำนักชางอู๋! แต่นี่เอาไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เยี่ยนชิงเป็นกังวลมากที่สุดคือลูกชายตัวน้อยของเขา “จื่อเสา!”
โครม!
แครก แครก!
เยี่ยนจื่อเสาที่ถูกโครงกระดูกล้อมเอาไว้แม้แนวป้องกันจะไม่ถูกทำลายแต่ว่าเยี่ยนชิงก็รู้ว่านี่แค่รอเวลาเท่านั้น นี่ทำให้เขาคิดถึงขั้นให้ลูกชายยอมแพ้เสีย
แต่เยี่ยนอวี๋กลับส่งเสียงออกไป “พี่รอง พยายามเข้านะ!”
เมื่อคำนี้เอ่ยออกไป…
เยี่ยนจื่อเสาที่อยู่ในสนามก็หัวเราะออกมา “ได้เลย!”
เขาพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนเด็กๆ ที่เขาต่อยตีกับคนที่มารังแกน้องสาวของเขา น้องสาวก็จะคอยตะโกนให้กำลังใจอยู่ด้านข้างเช่นนี้ เป็นเช่นนี้มาตลอดและเขาเองก็ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อนด้วย
ยามนี้ก็เช่นกัน!
“อัญเชิญ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง”
การสื่อสารกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั้นต้องใช้พลังจิตวิญญาณทั้งหมดและไม่ใช่แค่เลือดจากหัวใจเท่านั้น เยี่ยนจื่อเสาที่อัญเชิญจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั้นทำให้ทุกคนในสนามงุนงงกันไปหมด
เพราะวิธีอัญเชิญที่เยี่ยนจื่อเสาใช้นั้นไม่เหมือนกับของพวกเขาเลยสักนิด มีเพียงเยี่ยนจื่อเยี่ยที่แววตาเคร่งขรึมลง “ที่น้องรองใช้คือคาถาอัญเชิญวิญญาณเกิ้งกู่”
“คาถาอัญเชิญของตำหนักไท่ชาง!” อินหลิวเฟิงเอ่ยออกมาพร้อมกับในใจสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เพราะเขามั่นใจแล้วว่าคัมภีร์ ‘พื้นฐานนักอัญเชิญศักดิ์สิทธิ์’ ที่คุณหนูใหญ่เยี่ยนเคยให้มาก่อนหน้านี้ เป็นต้นฉบับของตำหนักไท่ชางจริงแท้แน่นอน ดังนั้น…
โฮก!
เมื่อแสงสีขาวราวกับน้ำตกไหลทะลักลงมาจากฟากฟ้านั้น จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเสมือนจริงตนหนึ่งก็เหินลงมาจากอากาศนำพารัศมีศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพแผ่ซ่านเต็มสนาม
ภายใต้แสงแห่งจิตวิญญาณที่สาดส่อง เห็นได้ชัดว่าทัพโครงกระดูกที่กำลังฟื้นฟูความแข็งแกร่งและส่งเสียง ‘แครกคราก’ นั้นล้วนถูกแสงศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมอิทธิฤทธิ์แห่งเทพนี้สาดส่องจนต้องหดกายกลับด้วยร่างสั่นเทา
นี่ยังไม่เท่าไหร่…
สิ่งที่ทำให้ทั้งสนามตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือเมื่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเหินลงมาที่ข้างกายของเยี่ยนจื่อเสานั้นได้เอ่ยเรียกคำหนึ่ง “นายท่าน”
“บ้าไปแล้ว!”
“มันพูดว่าอะไรนะ?”
“นาย นายท่าน?”
“อะไร!?”
…
ทั้งสนามส่งเสียงเซ็งแซ่ไม่อยากเชื่อออกมากลบเสียงกรีดร้องโหยหวนของปราณแค้นที่ทัพกระดูกส่งออกมา
ชือปี้เหลียนมองเยี่ยนจื่อเสาและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางด้านหลังของเขาอย่างเหลือเชื่อ แต่กลับได้รับสายตาเหมือนมองคนตายจากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
“ฆ่านางเสีย!” เยี่ยนจื่อเสาสีหน้าขาวซีดจ้องมองชือปี้เหลียน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นเป็นครั้งแรกที่ได้รับการอัญเชิญอย่างจริงจังและได้รับคำสั่งจากเยี่ยนจื่อเสา จากนั้น…