ตอนที่ 351 ไม่ต้องกลับ! จับตุ๋นกินมันให้หมดเลย!
ข่าวกองทัพที่มาอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนที่เพิ่งสงบลงตื่นตระหนกขึ้นมา
กระทั่งต้าซือมิ่งที่อุ้มเจ้าตัวน้อยอยู่ยังเปิดตาทิพย์มองไปทางทิศใต้
“ควรตาย!” สีหน้าของเยี่ยนชิงย่ำแย่ถึงขีดสุด “เหตุใดจึงเร็วเช่นนี้!?”
เยี่ยนจื่อเยี่ยตอบอย่างเคร่งขรึม “สำนักมีการเตรียมป้องกันเอาไว้แล้วกลับยังสามารถโจมตีแนวป้องกันทางใต้แตกได้เร็วเช่นนี้ ลัทธิเซิ่งเหลียนจะต้องใช้กำลังที่เหนือว่าที่เราคาดการณ์ไว้มากแน่ๆ”
เยี่ยนอวี๋เงียบ นางกำลังฟังผู้ส่งข่าวรายงานสถานการณ์ในกองทัพ “ฝ่าบาท จากรายงาน ลัทธิเซิ่งเหลียนมีทัพใหญ่ร่างแปลงสัตว์กลุ่มหนึ่ง จำนวนประมาณสามหมื่น พลังรบน่าตกตะลึง แข็งแกร่งเกินต้าน ไม่อาจล้มได้ เมืองชางอู๋เกรงว่าจะทนได้อีกไม่นาน”
“เหลวไหล!” หยวนคังฮ่องเต้ผรุสวาทอย่างโกรธกริ้ว “สำนักชางอู๋วันนี้คือมหาสำนักพิทักษ์แคว้นอันดับหนึ่งของต้าซย่า จะต้องรบชนะสามารถกำจัดทัพใหญ่ร่างแปลงสัตว์เหล่านี้ได้แน่นอน เจ้าสำนักเยี่ยน! ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เยี่ยนชิงที่ถูกเรียกชื่อถามย่อมต้องให้สัญญา “ถูกต้อง! สำนักชางอู๋จะต้องกำจัดร่างแปลงสัตว์เหล่านี้ได้แน่ ขอฝ่าบาททรงสนับสนุนด้วย”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ติ้งซีอ๋อง เจ้ารับตำแหน่งเสนาบดีชั่วคราว วางแผนการทหาร เคลื่อนย้ายเสบียงและทรัพยากรให้สำนักชางอู๋ให้สำนักชางอู๋ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง” หยวนคังฮ่องเต้รับสั่งอย่างเด็ดเดี่ยว
ติ้งซีอ๋องเองก็รับพระบัญชาเสียงเฉียบ “กระหม่อมรับบัญชา”
หยวนคังฮ่องเต้จึงเอ่ยต่อว่า “เพราะสถานการณ์การรบค่อนข้างบีบคั้น ท่ามกลางการประสาทพรของเหล่าบรรพชนก็ให้รอจนสำนักชางอู๋ได้รับชัยชนะกลับมาค่อยเปิดศาลบรรพชนแล้วกัน ขอให้แต่ละสำนักรั้งอยู่ที่เมืองหลวงก่อนชั่วคราว เราจะออกคำสั่งให้กรมพิธีการเตรียมการให้พร้อม”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ขอบพระทัยฝ่าบาท” ทุกสำนักพากันแสดงท่าทีแต่กลับไม่ได้เอ่ยแย้งอะไร
ทุกคนครุ่นคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งที่สำนักชางอู๋แสดงออกมาในพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักใหญ่ครั้งนี้จะต้องบดขยี้ทัพใหญ่ของลัทธิเซิ่งเหลียนได้อย่างง่ายดายแน่นอนอีกทั้งคงใช้เวลาไม่นาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คัดค้านที่จะต้องอยู่เมืองหลวงต่ออีกหลายวัน
หยวนคังฮ่องเต้จึงเอ่ยต่อ “อย่างนั้นก็เชิญเจ้าสำนักเยี่ยนและผู้กล้าของสำนักชางอู๋ออกเดินทางไปพร้อมกับเฉิงคั่วและทัพใหญ่ของราชสำนักปกป้องต้าซย่าของเรา บดขยี้พวกโจรกบฏให้สิ้น!”
“รับพระบัญชาฝ่าบาท” หลังจากเยี่ยนชิงรับคำสั่งก็ให้ประมุขหอราชทัณฑ์ไปยังค่ายใหญ่ซีซานเพื่อติดต่อกับเฉิงคั่ว
หลังจากหยวนคังฮ่องเต้ประกาศให้แยกย้าย พระองค์ก็รีบร้อนกลับวังไปภายใต้การคุ้มครองของติ้งซีอ๋อง
ราชเลขากรมพิธีการก็รีบจัดการปัญหาเรื่องที่พักของแต่ละสำนักอย่างสุดความสามารถทำให้สำนักน้อยหลายสำนักล้วนคิดว่าสวัสดิการที่ได้รับนี้ยังดีกว่าการมาเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักใหญ่เสียอีกเพราะพวกเขาไม่ต้องไปเบียดเสียดแย่งโรงเตี๊ยมเอง
…
ขณะเดียวกันเยี่ยนอวี๋กำลังเอ่ยถามชายหนุ่มที่อยู่ข้างกาย “เป็นเช่นไรบ้าง?”
หรงอี้ที่เก็บสายตากลับมาแววตาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “กลับตำหนักซือมิ่งก่อนค่อยคุยกันอีกที”
“ได้” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า
พวกเยี่ยนชิงเองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก คนสำนักชางอู๋ทั้งหมดรีบกลับตำหนักซือมิ่งทันที
อินสวินอี้เดิมอยากตามไปด้วยแต่คนคิดมากอย่างเขาสุดท้ายก็ยังตัดสินใจหยุดการกระทำเอาไว้ไม่ตามไป จวินอั้นเทียนเองก็คิดเช่นเดียวกัน
ตี๋อูหวนแห่งสำนักเนี่ยผานคิดไปคิดมาก็ไม่ตามไปตำหนักซือมิ่ง ให้คนของกรมพิธีการจัดการเรื่องที่พักให้
และแน่นอนว่าการตัดสินใจของพวกเขาล้วนรายงานไปยังหยวนคังฮ่องเต้ทำให้ฝ่ายหลังหัวเราะเสียงเย็น “โยวตูอ๋องเจ้าเล่ห์ที่สุดแล้ว เพราะโยวตูของเขาเองก็ยังวุ่นวายอยู่แน่นอนว่าไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“แต่สำนักชางอู๋จะสามารถปราบลัทธิเซิ่งเหลียนได้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ติ้งซีอ๋องกังวลใจเป็นอย่างมาก “โจรกบฏจิ่วหลีดุดันกร้าวแกร่ง เกรงว่าจะมั่นใจมาก”
แต่หยวนคังฮ่องเต้กลับไม่คิดเช่นนั้น “ไม่เป็นไร สำนักชางอู๋ยังมีของดีอยู่นี่! เขยขวัญนั่นอย่างไร! อีกอย่างเราก็ส่งเฉิงคั่วล่วงหน้าไปแล้ว”
“กระหม่อมเข้าใจแล้ว” ติ้งซีอ๋องไม่เอ่ยคำใดอีกแต่รีบไปตระเตรียมกำลังเสริมให้สำนักชางอู๋จริงๆ
หยวนคังฮ่องเต้เองก็ไม่ได้ห้าม แต่เมื่อติ้งซีอ๋องจากไป แววตาของเขาก็ดูซับซ้อนขึ้นหลายส่วน ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นแฝงความสนุกสนาน
ในตำหนักหันกวงพลันเงียบสงัดลง เหอซงเองยังไม่กล้าหายใจเสียงดังและยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการอยู่รับใช้ในตำหนักเลย
ย้อนกลับมาดูทางตำหนักซือมิ่งกลับยังคงสงบเงียบ
แม้ว่าทุกคนและเยี่ยนชิงล้วนร้อนใจแต่ระดับสูงของสำนักชางอู๋ก็ยังรอคอยให้ต้าซือมิ่งเอ่ยปากอย่างสงบขนาดเจ้าตัวน้อยยังซบอยู่ในอ้อมกอดของท่านพ่อนิ่งๆ เพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นบางครั้ง
“ถอนใจอะไรกัน” ต้าซือมิ่งเก็บความคิดกลับมาลูบหัวเจ้าตัวน้อย ฝ่ายหลังก็ยิ้มแย้มสดใส “พ่อ!”
เยี่ยนอวี๋เองก็ถอนหายใจเบาๆ มองต้าซือมิ่ง นางรู้ดีว่ากระทั่งระหว่างทางที่กลับมาเขาก็ยังคอยแผ่จิตไปทางทิศใต้อยู่ตลอดอีกทั้งนางยังรู้สึกได้ว่าทิศใต้ทั้งหมดถูกปราณลึกลับครอบอยู่ชั้นหนึ่ง!
“ทัพร่างแปลงสัตว์ราวสามหมื่นเดินทัพมาถึงเมืองแล้วจริงๆ สำนักยังคงต้านทานเอาไว้ได้ชั่วคราวแต่ว่าพวกเราต้องรีบไปให้เร็วที่สุด” ต้าซือมิ่งที่ไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนานรายงานสถานการณ์การรบออกมา
“ที่ลัทธิเซิ่งเหลียนจะต้องมีช่องว่างของมิติแบบเดียวกับสำนักคุนอู๋อย่างแน่นอน พวกเขาใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ดึงเอาพลังของแดนมืดวิญญาณอสูรออกมาปะปนในมิติมนุษย์ ดังนั้นตอนนี้พวกเราจึงไม่สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนเวหากลับไปยังสำนักชางอู๋โดยตรงได้”
“อย่างที่คิดเลย” เยี่ยนอวี๋เข้าใจดี นี่ก็คือปราณลึกลับที่นางสัมผัสได้แต่ว่านางมีวิธีสลายมัน “พวกเราไปที่โยวตูก่อนได้ เข้าไปในผนึกแล้วค่อยเดินทางต่อจากภายในผนึก”
“ใช่แล้ว” หรงอี้พยักหน้า “เจ้าสลักค่ายกล ข้าจะไปสำนักศึกษาสักหน่อย”
เยี่ยนอวี๋รีบถาม “มีปัญหาอะไรหรือ”
“จะให้อีจี้จิ่วคอยดูหยวนคังฮ่องเต้ไว้หน่อย” หรงอี้ตอบ
คราวนี้เยี่ยนชิงต้องถามแล้ว “เขามีส่วนด้วยหรือ สมคบคิดกับจิ่วหลีมาก่อกบฏตัวเองเนี่ยนะ!?”
“ถึงแม้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงก็ต้องคอยกวนขี้อยู่เบื้องหลังแน่” เยี่ยนจื่อเสาเอ่ยเยาะ
“พอได้แล้ว เห็นภาพชัดแจ๋วแล้วเนี่ย” เยี่ยนจื่อเยี่ยกลับคิดไม่ถึงว่าคำนี้จะออกมาจากปากเจ้ารองคนเซ่อ
เยี่ยนจื่อเสากลอกตา “หรือว่าสำนักชางอู๋ของพวกเราโดนเขาก่อกวนไม่บ่อยพอหรือไง พูดว่าอะไรนะโดนสำนักคุนอู๋บีบคั้น ข้าไม่เชื่อหรอก! อย่างเขาเนี่ยนะจะโดนบังคับ?”
“อย่างไรก็ต้องระวังเอาไว้ ก่อนจะกลับสำนักทุกคนอย่าออกจากตำหนักโดยเฉพาะจื่อเสา” เยี่นหงชวนเอ่ยกำชับ “ตอนนี้คนพวกนั้นกำลังรอให้ในหมู่พวกเรามีคนแตกกลุ่มจะได้จับตัวมาข่มขู่เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์กับต้าซือมิ่ง”
“มารดามันเถอะต่ำช้านัก! หากไม่ใช่เพราะข้ายังถือว่าหนังเหนียว ครั้งนี้คงเสร็จลัทธิเซิ่งเหลียนไปแล้ว!” เยี่ยนจื่อเสาพูดแล้วก็โมโห ยังรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่เลย
“เจ้าต้องของคุณท่านพ่อที่ตีเจ้าบ่อยมากพอ” เยี่ยนจื่อเยี่ยตบไหล่น้องชาย “คนพวกนี้ชอบมาหาเรื่องเจ้าทุกครั้งเห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนที่อ่อนที่สุดในบ้านเรา ต้องระวังให้มากหน่อยนะ”
เยี่ยนจื่อเสา “…”
เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ! หลายครั้งคนที่โดนอัดมักเป็นเขา
กระทั่งเสี่ยวเป่ายังพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่!”
เยี่ยนจื่อเยี่ยจึงยิ้มลูกผมนุ่มฟูของหลานชาย “น้องเขย พวกเรากลับสำนักศึกษากันสักครั้งเถอะ”
“ได้” ขณะรับคำต้าซือมิ่งก็กำลังส่งเจ้าตัวน้อยไปให้ภรรยา
เจ้าตัวน้อยรีบคว้าชายเสื้อของท่านพ่อเขาเอาไว้แน่นทันที “ไม่! เป่า ไป!”
“เสี่ยวเป่าเด็กดี ไปกับแม่ไม่ดีหรือจ๊ะ” เยี่ยนอวี๋ก้าวไปปลอบลูกน้อย จะอุ้มเขามาจากอ้อมกอดของท่านพ่อเขา
เจ้าตัวน้อยกลับไม่เห็นด้วย “ไป! กับ พ่อ! บินบิน”
เยี่ยนอวี๋ยังอยากเอ่ยปลอบ…
ต้าซือมิ่งบางคนกลับโน้มกายเข้ามาจูบหน้าผากของนางแล้ว “งั้นให้เสี่ยวเป่าไปกับข้า เจ้ารอข้ากลับมา”
“แปะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าเองก็เข้าไปหอมท่านแม่ทีหนึ่ง “แม! รอ”
เยี่ยนอวี๋ที่โดนหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหอมเสร็จแล้วจะทำอย่างไรได้อีกทำได้เพียงตามใจพวกเขา “รีบไปรีบกลับนะ” นางกลัวว่าทางสำนักจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะอย่างไรนั่นก็คือรากฐานของสำนัก หากถูกทำลายไป ทั้งต้าซย่าก็คงไม่อาจหาสถานที่ที่ดีและเหมาะสมกับสำนักชางอู๋ได้อีกเป็นแห่งที่สองแล้ว
…
และในเวลาเดียวกัน
นอกประตูเมืองทางใต้ของสำนักชางอู๋
โฮก!
วี้ด
“…”
เสียงหอนโหยหวนดังสนั่นทำให้เหล่าทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองตกใจมาก! แต่ต่อให้กลัวอย่างไรพวกเขาก็ไม่ถอย
ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นหน้าที่ แต่เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของประมุขหอสรรพสัตว์ เป็นแนวหน้าในการรักษาประตูเมือง พวกเขาจับจ้องทัพใหญ่น่าหวาดผวาด้านล่างตาไม่กะพริบ
และด้านหลังของทัพใหญ่นี้จึงจะเป็นทหารของลัทธิเซิ่งเหลียน ผู้นำย่อมเป็นเจ้าลัทธิเซิ่งเหลียนซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำเหนือใครเจาะห่วงที่จมูก
“สำนักชางอู๋! จงอย่ามาขวางทางของข้า ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าบดขยี้สำนักพวกเจ้าแล้วเอาพวกเจ้าทั้งหมดมาเป็นเสบียงให้ทหารทัพเทพของข้า!” เจ้าลัทธิเซิ่งเหลียนเอ่ยกับประมุขหอสรรพสัตว์เสียงเหี้ยม
โฮก!
วี้ด
แนวหน้าทัพร่างแปลงสัตว์ของลัทธิเซิ่งเหลียนให้ความร่วมมือด้วยการระเบิดเสียงคำรามน่ากลัวออกมา พวกมันแต่ละตนล้วนมีดวงตาสีแดงฉานรอบกายโอบล้อมไปด้วยไออำมหิตเข้มข้น! รูปร่างก็แปลกประหลาด แทบจะเหมือนกับอสูรร้ายในคัมภีร์ภูเขาและทะเลไม่มีผิด!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทัพใหญ่เช่นนี้แม้ว่าสำนักชางอู๋จะกระตุ้นค่ายกลใหญ่ป้องกันเมืองเอาไว้แล้ว แต่หลายคนก็ยังสัมผัสได้ถึงคลื่นรังสีอำมหิตที่ลอยเข้ามาจากด้านนอกทำเอาหลายคนขนหัวลุก ตัวสั่นเทาตามสัญชาตญาณ
แต่ว่า…
“ไสหัวพวกเจ้าไปซะ!”
จ่านเลี่ยงซานประมุขหอสัตว์บรรพกาลด่ากราด “กับอีแค่ทัพใหญ่สัตว์เดรัจฉานดาษดื่นก็ยังกล้าตั้งชื่อทัพเทพ ไม่ขอปิดบัง ข้าเป็นมืออาชีพด้านการฝึกสัตว์อสูร ตัวที่เชื่อฟังก็อยู่ต่อได้ แต่ตัวที่ไม่เชื่อฟังก็จับเอาไปตุ๋นกินมันให้หมด!”
โฮก!