ตอนที่ 359 ความสามารถใหม่ของเสี่ยวเป่า! ล้างบาง!
“อ้ะเนะ!” เจ้าตัวน้อยมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของท่านพ่ออย่างหวาดกลัว ท่านพ่อของเขาก็ลูบหลังของเขาเบาๆ
ชือหมินหมิ่นก็คุกเข่าลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ศิษย์ลัทธิเซิ่งเหลียนแล้ว แต่เขาเกิดและโตในลัทธิเซิ่งเหลียน อันที่จริงยังมีญาติพี่น้องอยู่ที่นี่ แต่บัดนี้ไม่เหลือใครสักคนแล้ว ทุกคนจากไปหมดแล้ว
…
ต้าซือมิ่งที่กำลังปลอบเด็กน้อยก็นั่งลงพลางเอามือเกาะขอบบ่อน้ำสีเลือดไว้ “ย้อน”
แสงสีม่วงเจิดจ้าไหลเข้าไปในบ่อน้ำสีเลือดจากฝ่ามือของต้าซือมิ่งอย่างรวดเร็วไร้เสียง ภาพอันเลือนรางที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเลือดก็ปรากฏข้างหน้าเยี่ยนอวี๋และชือหมินหมิ่น
มันคือภาพบ่อน้ำสีเลือดที่ยังไม่แห้งเหือด แต่ในบ่อน้ำสีเลือดก็มีกระดูกสีขาวลอยอยู่แล้ว บนนั้นยังมีขวดโลหิตทรงดอกบัวกำลังดูดทั้งวิญญาณ พลังและเลือดจากในบ่อน้ำสีเลือดไม่หยุด
“นี่มัน…” ชือหมินหมิ่นไม่เข้าใจ
เยี่ยนอวี๋กลับเข้าใจแล้ว “ใช้ความสัมพันธ์ของจอกเพลิงปทุมและเผ่าจิ่วหลีชำระล้างและดูดจิตวิญญาณของลัทธิเซิ่งเหลียนและจิ่วหลีทั้งเผ่า เป็นวิธีที่ดีจริงๆ”
แต่เยี่ยนอวี๋ไม่เข้าใจเรื่องหนึ่ง เท่าที่นางรู้ ‘ต้าซือมิ่ง’ อีกคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องใช้วิธีชั่วร้ายเหล่านี้มาเสริมความแข็งแกร่งของตนเอง
ความจริงก็เป็นดังเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อจอกเพลิงปทุมเก็บวิญญาณ พลังและเลือดได้ครบแล้ว ก็มีภาพร่างเสมือนของฮ่องเต้หยวนคังดื่มเลือดนั้นลงไป เยี่ยนอวี๋กระจ่าง “นี่คือเหตุผลที่ฮ่องเต้หยวนคังฟื้นตัวได้รวดเร็วเช่นนี้”
ชือหมินหมิ่นคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ฮ่องเต้หยวนคังที่มีฐานะเป็นถึงกษัตริย์กลับกลั่นโลหิตของเผ่าจิ่วหลีทั้งเผ่าเป็นเลือดบริสุทธิ์แก้วหนึ่งเพียงเพื่อประโยชน์ของตน!
ในขณะเดียวกัน ภาพที่ต้าซือมิ่งใช้วิชาอภิญญาฉายออกมาก็เปลี่ยนแปลงไป หลังจากฮ่องเต้หยวนคังแล้ว โลงศพประหลาดโลงหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ทว่าครั้นโลงศพปรากฏขึ้น บ่อน้ำสีเลือดก็แห้งหมดแล้ว ภาพเสมือนของฮ่องเต้หยวนคังก็หายไป โลงศพกลับจมหายเข้าไปในบ่อน้ำสีเลือดที่แห้งเหือด
“นี่มัน…” เยี่ยนอวี๋สื่อจิตสัมผัสออกไปจะจับตำแหน่งของโลงศพนั้น
ต้าซือมิ่งกลับดึงพลังกลับคืน มือข้างหนึ่งก็โอบเอวบอบบางของปฐมราชินีไว้ พานางและเด็กน้อยหายวับลงไปในบ่อน้ำสีเลือด เหลือเพียงชือหมินหมิ่นที่เหม่อลอยอยู่ที่เดิม
…
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนอวี๋ที่ลงไปในความมืดก็สัมผัสได้ว่า “ชั้นระหว่างมิติของแดนมืดวิญญาณอสูรและแดนมนุษย์อีกแล้ว ทั้งยังใหญ่กว่าของสำนักคุนอู๋อีกด้วย”
“อืม” หรงอี้ตอบ “ข้าน่าจะพอรู้จุดประสงค์ของ ‘ข้า’ คนนั้นแล้ว”
เยี่ยนอวี๋รีบถามขึ้นทันที “คืออะไรหรือ” นางรู้ว่าการควบคุมฮ่องเต้หยวนคังและการเป็นศัตรูกับต้าซือมิ่งคนนี้ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของ ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้น
หรงอี้ที่ในที่สุดก็เดาออกในบัดนี้พูดขึ้นว่า “เขาต้องการทำลายล้างต้าซย่า”
“เพราะอะไร” เยี่ยนอวี่ไม่เข้าใจ
หรงอี้กลับเข้าใจแล้ว “เพราะว่า ‘เขา’ มาจากส่วนของร่างโหดเหี้ยมในตัวข้า สัญชาติญาณของมันคือการทำลายล้าง โลงศพนั่นน่าจะเป็นโลงศพผนึกที่ข้าสร้างไว้เพื่อขังร่างโหดเหี้ยมนี้ในตอนที่ข้ายังไม่ ‘สูญเสียความทรงจำ’ ”
แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ‘เขา’ ก็มีจิตนึกคิดของตนเองแล้ว ส่วนข้าก็ลืมเรื่องการดำรงอยู่ของร่างโหดเหี้ยมนี้เพราะ ‘สูญเสียความทรงจำ’ ไปอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำให้ ‘เขา’ ได้โอกาสควบคุมฮ่องเต้หยวนคัง และใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ฮ่องเต้หยวนคังก่อ ค่อยๆ บรรลุ ‘ความปรารถนา’ ของตนเอง
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยี่ยนอวี๋จึงกระจ่างในเรื่องราวทั้งหมด “ดังนั้นเขาจึงไปแดนมืดวิญญาณอสูร เตรียมจะเปิดแดนมืดวิญญาณอสูรและกวาดล้างต้าซย่าให้สิ้น”
“อืม ‘เขา’ ไปแดนมืดวิญญาณอสูรเพื่อทำลายโลงศพและคลายผนึก มิเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถเปิดแดนมืดวิญญาณอสูรที่ถูกเจ้าผนึกไว้ได้” ต้าซือมิ่งคาดการณ์เช่นนี้
“ดูท่าพวกเราต้องไปแดนมืดวิญญาณอสูรเพื่อจับ ‘เขา’ กลับมา” เยี่ยนอวี๋จำเป็นต้องยอมรับว่าความอันตรายของ ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้นไม่ธรรมดา
แต่แล้ว…
วิ้ง!
จอกสีเพลิงใบหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพวกเขา และปกคลุมพวกเขาไว้อย่างรวดเร็ว มันยังแผ่ซ่านกลิ่นคาวคละคลุ้ง
“จอกเพลิงปทุม” เยี่ยนอวี๋ที่จำมันได้ก็ยกมือขึ้นปล่อยลำแสงสีม่วงออกไป ทำให้จอกเพลิงปทุมที่ขยายใหญ่เหนือศีรษะพวกเขากลายเป็นจอกเหล้าขนาดธรรมดาใบหนึ่ง
“อ้ะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองจอกปทุมสีเพลิงที่อยู่บนฝ่ามือของท่านแม่เขาอย่างฉงน ดวงตากลมโตของเขายังเป็นประกาย “แม?”
เยี่ยนอวี๋รู้ว่าเด็กน้อยกำลังถามว่ามันคืออะไร นางจึงตอบว่า “นี่คือจอกเพลิงปทุมที่กลายสภาพเป็นมาร น่าเสียดาย อันที่จริงมันเป็นอาวุธวิเศษ แต่กลับถูกใช้ในทางที่ผิดจึงถูกทำลายความศักดิ์สิทธิ์ไป”
“ข้า!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายื่นมือไปทำท่าจะจับเพลิงของจอกปทุมทีมีกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ซ่าน เขาอยากเล่นกับมัน
เยี่ยนอวี๋ยกมือขึ้นห้ามไว้ นางย่อมไม่ปล่อยให้เด็กน้อยจับมัน แต่จู่ๆ จอกเพลิงปทุมใบนั้นก็สั่นไหวก่อนจะตกลงไปในมืออวบอ้วนของเด็กน้อย นี่มัน…
เยี่ยนอวี๋ชะงัก เพราะว่านางสัมผัสได้ว่า ไม่ใช่เพราะจอกเพลิงปทุมหลุดพ้นจากพันธนาการของนาง แต่เพราะเด็กน้อยเมินเฉยต่อพันธนาการของนาง ทำให้จอกเพลิงปทุมถูก ‘ดูด’ ไปแล้ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยนอวี๋ตกตะลึงยิ่งกว่าคือ เมื่อจอกเพลิงปทุมตกลงบนมืออวบอ้วนของเด็กน้อยแล้ว ความชั่วร้ายในจอกก็มลายหายไปทันที?
เยี่ยนอวี๋ตกใจจนรีบปัดจอกเพลิงปทุมออก กลัวว่าความชั่วร้ายจะบุกรุกเข้าไปในร่างของเด็กน้อย แต่ต้าซือมิ่งก็ห้ามนางไว้ “ใจเย็นๆ”
เด็กน้อยที่ถือจอกเพลิงปทุมใบเล็กไว้ เขาก็ไม่เป็นอะไรเลย เพราะว่าหลังจากความชั่วร้ายเหล่านั้นสลายไปแล้ว มันก็หายไปในทันที ไม่เพียงไม่ได้โจมตีเด็กน้อย แต่ยังราวกับว่าถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์แล้ว
“อ้ะเนะ!” เด็กน้อยยังลูบจอกเพลิงปทุมด้วยความชื่นชอบ เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับของเล่นชิ้นนี้ที่แดงขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ กลับมาเป็นสีใสกระจ่างบริสุทธิ์
เยี่ยนอวี๋ตะลึงงัน “เสี่ยวเป่ากำลังชำระล้างมันหรือ”
“ดูเหมือนจะใช่” หรงต้าซือมิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยมีความสามารถเช่นนี้ด้วย เพราะจอกเพลิงปทุมนี้ถูกพลังความชั่วร้ายกัดกินมานานมากแล้ว ตามหลักแล้วมันควรจะกลายเป็นอาวุธชั่วร้ายโดยสมบูรณ์ไปแล้ว
ก่อนที่จอกใบนี้จะถูกชำระล้างพลังมารคนทั่วไปย่อมไม่สามารถใช้มันได้อีก มิเช่นนั้นมีแต่จะถูกจอกครอบงำ แต่หลังจากที่เด็กน้อย ‘เล่น’ กับมันครู่หนึ่ง จอกเพลิงปทุมทั้งร่างและจิตของมันก็ถูกชำระล้างความชั่วร้ายไปจนสิ้น
ไม่เพียงเท่านี้…
วิ้ง
จอกเพลิงปทุมที่ค่อยๆ เปล่งแสงสีเพลิงออกมากลับส่งเสียงขึ้นว่า “รีบห้ามฮ่องเต้หยวนคังเอาไว้ เขาจะกลั่นเลือดของนักฝึกฌานทุกคนที่เข้าร่วมพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนัก”
ครานี้เอง…
“อ้ะเนะ!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าโยนจอกเพลิงปทุมออกไปทันที เขารีบมุดเข้าไปในเสื้อผ้าของท่านพ่อ เพราะเขาไม่เคยเห็น ‘สิ่งของ’ ที่พูดได้มาก่อน ทำเอาเด็กน้อยตกใจแทบแย่
…
ในขณะเดียวกัน ณ บริเวณด้านล่างของเรือนรับรองในเมืองหลวง เหล่ากองกำลังที่ถูกสำนักนิรนามขวางทางไว้ก็ไม่มีทางหนีแล้ว
“เจ้าสำนักนิรนาม!” จวินอั้นหยวนมองเจ้าสำนักชุดดำข้างหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ยังอดถามไม่ได้ว่า “ปล่อยพวกข้าไปไม่ได้รึ”
“ไม่ได้” ขณะที่เจ้าสำนักแห่งสำนักนิรนามยกมือขึ้น คนสำนักนิรนามกว่าหมื่นนายที่อยู่ข้างหลังก็ชักดาบออกมาแล้ว หากจวินอั้นหยวนเดินขึ้นหน้ามาอีก พวกเขาย่อมไม่ไว้ชีวิต
เสียงสวบๆ อันน่าหวาดกลัวที่ดังอยู่ข้างหลังกลุ่มคนจวินอั้นหยวนก็ตามอาวุโสมือกระบี่มา มันไล่ล่ามาอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขากลับถูกขวางเอาไว้หมดแล้ว
“ฆ่า!” จวินอั้นหยวนเรียกกระบี่เล่มใหญ่ออกมาก่อนจะตวัดเข้าไปยังเจ้าสำนักนิรนามทันที
“ฆ่า!” เหล่าผู้คนที่ไม่มีทางเลือก ได้แต่ทะยานตัวเข้าไปปะทะกับคนสำนักนิรนาม ถึงแม้น้ำน้อยจะแพ้ไฟ แต่จะให้นั่งรอความตายเช่นนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน
อาวุโสมือกระบี่ที่เหินวับมาก็ใช้ท่าไม้ตายอีกครั้ง “หมื่นกระบี่ทะลวงสวรรค์!”
“หงส์เพลิงนิพพาน!” ตี๋อูหวนจุดเพลิงปฐมภูมิจนลุกโชน
“เจ้าสำนัก!” ผู้อาวุโสสำนักเนี่ยผานสีหน้าพลันเปลี่ยน แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่า ในยามนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงพากันคำรามสุดเสียง “หงส์เพลิงนิพพาน!”
“กระบี่สวรรค์ยิ่งใหญ่! กระบี่ดั่งใจข้า พุ่งกำราบมาร! พิทักษ์จวินจื่อ” จิตวิญญาณแห่งกระบี่ที่ถอดร่างออกมาจากจวินอั้นเทียนก็กลายเป็นหมื่นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ตัวเขาเองก็กลายเป็นปราณกระบี่ ปกคลุมเหล่าสำนักจวินจื่อเพื่อฝ่าออกไป
ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนัก ตี๋อูหวนและจวินอั้นเทียนต่างก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อพาศิษย์สำนักตน พร้อมทั้งคนของสำนักอื่นออกไปอย่างไม่ละเลยหน้าที่ พวกเขาทะยานตัวออกไปแล้ว
ทำเอาเหล่าสำนักนิรนามที่ถูกจู่โจมจนตั้งตัวไม่ทัน เพราะพวกเขาไม่คิดว่าเจ้าสำนักของสองสำนักนี้จะเผาฌานตบะของตนเพื่อพาศิษย์ของตนออกไปอย่างห้าวหาญเช่นนี้
ทว่าเถาวัลย์ที่ไล่ตามมาก็ใกล้จะแทงเข้าไปในปราณดาบที่จวินอั้นเทียนสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วแล้ว มันหมายจะเอาชีวิตคนที่ถูกปราณดาบเหล่านั้นปกป้องไว้
มีหนึ่งย่อมมีสอง หงส์เพลิงนิพพานที่สำนักเนี่ยผานและเหล่าผู้อาวุโสเรียกออกมาก็ถูกแทงทะลุแล้ว! เถาวัลย์สีเลือดเหล่านั้นไม่เกรงกลัวเปลวเพลิงและพลังอันยิ่งใหญ่แม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียว คนกว่าร้อยคนก็ตายไป… อีกเพียงไม่นานทุกคนก็ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปแล้ว
“หงส์เพลิงสาบสูญ!”
ตี๋อูหวนที่จู่ๆ ระเบิดพลังเสียงสะท้านสวรรค์ก็ระเบิดตนเองแล้ว
เพลิงนิพพานอันศักดิ์สิทธิ์แผดเผาเถาวัลย์สีเลือดทั้งหมดทันที
“เจ้าสำนัก!”
เหล่าสำนักเนี่ยผานร้องตะโกน แต่เจ้าสำนักของพวกเขาก็ระเบิดเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาสะเทือนจนพวกเขากระเด็นออกไป รวมถึงคนของสำนักจวินจื่อและคนที่เหลือรอดต่างก็ลอยกระเด็นออกไปแล้ว
“เจ้าสำนัก…”
เหล่าสำนักเนี่ยผ่านน้ำตาไหลพราก พวกเขายังไม่ทันได้กล่าวอำลาเจ้าสำนักของพวกเขา กลิ่นอายจางๆ อันทรงพลังก็ปกคลุมพวกเขาไว้อย่างรวดเร็ว
จากนั้น…
“มา”