ตอนที่ 360 พลังจิตของต้าซือมิ่ง! ฮ่องเต้หยวนคังพ่ายแพ้!
เมื่อสิ้นเสียง กองกำลังทั้งหมดรวมถึงเจ้าสำนักแห่งสำนักเนี่ยผานที่ระเบิดตนเองก็ถูกพลังอันทรงอานุภาพพัดม้วนไปหมดแล้ว
สวบ!
เถาวัลย์สีเลือดที่พุ่งมากลางอากาศก็ตาม ‘การจู่โจม’ นี้ไม่ทัน
“บัดซบ!”
ในขณะเดียวกันฮ่องเต้หยวนคังในตำหนักก็ตวาดอย่างโกรธแค้น! ทำเอาผู้รับใช้คุกเข่าลง เหอซงกลับรีบถอยไปข้างหลังอย่างรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง
ในขณะเดียวกัน…
ตู้ม!
แสงสีเลือดที่สว่างวาบขึ้นในห้องบรรทมของฮ่องเต้ก็ ‘ยิง’ ผู้รับใช้ทุกคนจนเกิดเสียงดัง แซ่ด ควันโขมง พวกเขากลายเป็นกองเลือดที่ไม่เหลือแม้แต่ร่างทันที
เหอซง “!”
เขาแทบจะกึ่งคลานกึ่งกลิ้งหนีออกจากตำหนัก
…
ในขณะเดียวกัน อินสวินอี้ จวินอั้นเทียนและคนอื่นๆ ที่ถูกพาเข้าไปในสำนักศึกษาก็เพิ่งรู้ว่าคนที่ช่วยเหลือพวกเขาไว้คืออีจี้จิ่ว “ขอบคุณอาจารย์จี้จิ่ว”
จี้จิ่วอาวุโสผู้ผ่ายผอมก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง เหล่าอาจารย์อาวุโสในสำนักศึกษาก็เริ่มรักษาผู้คนที่บาดเจ็บ แต่เทียบกับบาดแผลบนลำตัวแล้ว สิ่งที่สำนักเนี่ยผานอยากรู้มากกว่าคือ “ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักของพวกข้า เขา…”
ถึงแม้สถานการณ์ในครานั้นจะวุ่นวายมาก แต่คนสำนักเนี่ยผานไม่น้อยก็เห็นว่าเจ้าสำนักของพวกเขาถูกพามาด้วยกันเช่นกัน แต่กลับไม่เห็นเขาในยามนี้ แน่นอนว่าพวกเขารู้ดีว่าเจ้าสำนักของพวกตนระเบิดตนเองไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นเจ้าสำนักที่สมบูรณ์แบบ แต่ว่า…
ผู้อาวุโสสำนักเนี่ยผานท่านหนึ่งอดถามไม่ได้ว่า “เขายังดีอยู่หรือไม่”
“ข้าทำได้เพียงผนึกการระเบิดตนเองของเขาไว้ ไม่สามารถช่วยเขาไว้ได้ ตอนนี้คงต้องรอปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนกลับมาแล้วดูอีกครั้ง” อีอิ่นได้เพียงตอบเช่นนี้
“พอแล้ว พอแล้วล่ะ…” น้ำตาที่ไหลลงมาของเหล่าผู้อาวุโสต่างคิดว่าเพียงพอแล้ว “อย่างน้อยเจ้าสำนักไม่ตายในที่แบบนั้นก็พอแล้ว”
พวกเขายังไม่รู้จักฝีมือการรักษาของเยี่ยนอวี๋จึงไม่ได้ตั้งความหวังไว้มาก เพียงแค่คิดว่าอีจี้จิ่วสามารถผนึกการระเบิดตนเองไว้ได้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยพวกเขายังมีโอกาสได้เห็นเจ้าสำนักที่ ‘สมบูรณ์แบบ’
“เจ้าสำนักตี๋เป็นคนเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก” จวินอั้นเทียนที่ยังบาดเจ็บได้แต่กล่าวเช่นนี้ ในนาทีสุดท้าย เขาสู้ตี๋อูหวนไม่ได้ ฝ่ายหลังสละชีวิตตัวเอง คนสำนักเนี่ยผานที่เหลือร้อยกว่านายร้องไห้ระงม พวกเขารู้ว่าเจ้าสำนักสละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องพวกเขาไว้
ผู้โชคดีที่เหลือรอดร้อยกว่านายของสำนักจวินจื่อและสำนักอื่นๆ อีกร้อยกว่านายต่างไว้อาลัยให้เงียบๆ พวกเขาต่างเป็นคนที่ตี๋อูหวนช่วยไว้ บุญคุณนี้พวกเขาจะจดจำไปชั่วชีวิต
“อย่าได้กังวล ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนมีวิชาการแพทย์เก่งกาจ อีกทั้งตัวนางยังมีสายเลือดของหงส์เพลิง ใช่ว่าจะไม่สามารถช่วยเจ้าสำนักตี๋ได้” ลู่หมิงที่เห็นว่าเหล่าคนสำนักเนี่ยผานไร้ซึ่งความหวังก็อดปลอบประโลมไม่ได้
ซ่งเฉินฟางที่ได้ประจักษ์ฝีมือการแพทย์ของเยี่ยนอวี๋ก็พยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว ยังมีปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน”
“ก่อนอื่นต้องแก้ปัญหาให้ได้ก่อน” อาวุโสมือกระบี่ที่พักได้ครู่หนึ่ง เขาก็มองไปที่อีอิ่น “หากข้าดูไม่ผิด สถานการณ์ของสำนักศึกษาก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนักใช่หรือไม่”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” อินสวินอี้ที่แต่เดิมยังนอนอยู่ก็ลุกนั่งขึ้น “สำนักศึกษาเป็นอะไรไปหรือ เรามาถึงสำนักศึกษากันแล้ว ยังไม่ปลอดภัยอีกหรือ!?”
“ไม่ปลอดภัย” อีอิ่นจำเป็นต้องพูด “โลกไร้ตัวตนที่สำนักศึกษาตั้งอยู่ถูกเถาวัลย์สีเลือดที่จู่โจมพวกเจ้าในตอนท้าย ‘จองจำ’ ไว้แล้ว พวกมันกำลังกลืนกินโลกไร้ตัวตน ในเวลาอีกหนึ่งก้านธูปเป็นอย่างมากสุด โลกไร้ตัวตนจะถูกทำลาย”
“ทำได้อย่างไร!” จวินอั้นเทียนรู้สึกเหลือเชื่อ “โลกไร้ตัวตนสร้างขึ้นโดยบรรพชนหวงตี้ มีพลังอำนาจในตัวมันเอง ย่อมมั่นคงมากมิใช่หรือ!”
แต่อีอิ่นจำเป็นต้องพูดว่า “ฮ่องเต้หยวนคังใช้พลังที่เหนือกว่าบรรพชนหวงตี้ เป็นพลังที่มาจากแดนมืดวิญญาณอสูร ยิ่งกว่านั้นคือพลังของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า”
“สวรรค์! เก้า! ชั้น! ฟ้า!” อินสวินอี้สีหน้าดูไม่ดียิ่งนัก แดนมืดวิญญาณอสูรนั่นก็ช่างปะไร หลังจากที่ได้ผ่านพ้นความวุ่นวายของโยวตูมา เขาก็พอจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่สวรรค์เก้าชั้นฟ้านี้คืออะไรกัน
เพียงแต่ว่า… อีอิ่นไม่ทันได้อธิบาย
ครืน!
สำนักศึกษาที่ทุกคนอยู่สั่นไหวเล็กน้อย
นี่มัน…
“จี้จิ่ว!?” ลู่หมิงมองตะลึงไปที่อีจี้จิ่ว ฝ่ายหลังสีหน้าเคร่งเครียด “มาแล้ว ฮ่องเต้หยวนคังที่เดือดปะทุ คงจะไม่อยากรอแล้ว”
“มาโจมตีแล้วหรือ!” สีหน้าอินสวินอี้ไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร ติดต่อต้าซือมิ่งหรือปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนได้หรือไม่”
“ไม่ได้” ซ่งเฉินฟางจำพูดขึ้นจากข้างๆ “ตอนนี้เมืองหลวงทั้งเมืองตัดขาดจากโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว พวกเราถูกกระแสมืดของแดนมืดวิญญาณอสูรปกคลุม คล้ายกับถูกบังคับเข้าไปอยู่ในชั้นระหว่างมิติ อธิบายง่ายๆ ก็คือ หากมองจากด้านนอกเมืองหลวง เมืองหลวงทั้งเมืองหายสาบสูญไปภายในชั่วข้ามคืนแล้ว ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แล้ว”
“ว่าไงนะ!?” ทุกคนที่เพิ่งรอดชีวิตมาได้ตะลึง นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอมาก่อน! หลายๆ คนถึงกับไม่เข้าใจว่าชั้นระหว่างมิติคืออะไร แต่ว่าพวกเขาเข้าใจว่า ‘หายไปในชั่วข้ามคืน ไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์’ หมายถึงอะไร
อีกทั้งซ่งเฉินฟางยังพูดว่า “หมายความว่าถึงแม้ต้าซือมิ่งและปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนรู้ว่าเราตกอยู่ในอันตราย แต่พวกเขาก็คงไม่รู้ว่าต้องลงมือช่วยจากที่ไหน ไม่รู้ว่าจะหาพวกเราจากที่ใด เพราะตอนนี้พวกเราอาจจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมของเมืองหลวงอีกแล้ว”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…” จวินอั้นหยวนรู้สึกว่าความคิดของเขาล้มเหลว “ท่านหมายความว่า ฮ่องเต้หยวนคังมีความสามารถในการเปลี่ยนเมืองหลวงได้ทั้งเมืองแล้วหรือ”
“จะเข้าใจเช่นนี้ก็ได้” ซ่งเฉินฟางกล่าว
ผู้โชคดีที่เหลือรอดต่างล้มนั่งกองกับพื้น พวกเขาไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกตนเองอย่างไรแล้ว อินสวินอี้กลับพูดแทนพวกเขาว่า “เช่นนั้นเท่ากับว่าพวกเราหนีเสือปะจระเข้?”
“…จะเข้าใจเช่นนี้ก็ได้” ซ่งเฉินฟางได้แต่พูดเช่นนี้
ทว่าลู่หมิงก็ปลอบใจทุกคน “อย่าสิ้นหวังเกินไปเลย ก่อนต้าซือมิ่งจากไป เขาทิ้งร่างพลังจิตไว้ให้สำนักศึกษา สำนักศึกษายังต้านทานได้อีกเล็กน้อย อาจจะยังพอมีโอกาสเกิดการจุดพลิกเปลี่ยนได้”
เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่ลู่หมิงเพิ่งพูดจบ อีอิ่นก็ลุกพรวด ทำเอาทุกคนตกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ตามข้ามา” อีอิ่นพูดเสร็จก็เดินออกจากห้องโถง
จวินอั้นเทียนสั่งให้คนในสำนักรออยู่ที่เดิม ส่วนเขาเดินตามอีอิ่นไปพร้อมกับจวินอั้นหยวน อินสวินอี้ ผู้อาวุโสสำนักเนี่ยผาน และอาวุโสมือกระบี่
“ช้าก่อน กู้หยวนหมิง เจ้ามาด้วย” จวินอั้นเทียนคิดว่ากู้หยวนหมิงอาจจะช่วยอะไรได้
กู้หยวนหมิงที่ถูกเรียกก็ลุกขึ้นทันที เขาที่แต่เดิมอยากจะกลับสำนัก ตอนนี้คงไม่มีโอกาสให้กลับไปแล้ว
…
ทุกคนไปถึงเรือนของอีอิ่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกเขาก็เดิมตามเขาเข้าไปในเรือน
อีอิ่นจึงหยุดลง “ทุกท่านเชิญนั่ง โปรดรอสักครู่”
ทุกคนจึงนั่งลง ต่างคิดในใจว่าอีจี้จิ่วเรียกพวกเขามาทำไม
อีอิ่นเองก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขารอนาน เขาเชิญ ‘ต้าซือมิ่ง’ ขนาดเท่าไข่ไก่องค์หนึ่งออกมาจากข้างในอย่างรวดเร็ว ทำเอาทุกคนตะลึงงัน!
“นี่มัน…” อินสวินอี้ชี้ไปที่ต้าซือมิ่งตัวจิ๋วนั่นด้วยดวงตาเบิกโพลง “นี่คือร่างพลังจิตของต้าซือมิ่งหรือ!? เล็กจังเลย!”
“ไม่อยากจะเชื่อ!” จวินอั้นหยวนเองก็ตะลึง
อาวุโสมือกระบี่กลับสัมผัสถึงพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจคาดเดาได้จากสิ่งมีชีวิตตัวน้อยตัวนี้ ทำให้เขากล่าวโดยไม่รู้ตัวว่า “อย่าดูถูกที่เขาตัวเล็ก”
อีอิ่นก็พยักหน้าพูดต่อว่า “ใช่แล้ว บัดนี้ที่สำนักศึกษายังต้านทานไหวล้วนเป็นเพราะร่างพลังจิตที่ต้าซือมิ่งทิ้งไว้ เพียงแต่ว่า…”
“ ‘เขา’ จะทนไม่ไหวแล้ว?” อินสวินอี้มิได้พูดมั่ว สายตาอันเฉียบแหลมของเขาเห็นว่าต้าซือมิ่งแสนงดงามตัวเล็กองค์นี้ ถึงแม้จะกำลังเปล่งแสงรัศมีศักดิ์สิทธิ์ แต่หน้าผาก ‘เขา’ เหมือนว่าจะมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว
ทุกคนก็เห็นว่า ‘เขา’ กำลังเหงื่อซึมผ่านแสงสีม่วงที่ปกคลุมต้าซือมิ่งตัวน้อยไว้ ดูเหมือนว่าจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
อีอิ่นเองก็คิดเช่นนั้น สีหน้าของเขาจึงเคร่งเครียดกว่าเดิม “ดูท่ารอไม่ได้แล้ว มีเพียงวิธีเดียว”
“วิธีอะไรหรือ” อินสวินอี้ที่ยังคงมองต้าซือมิ่งตัวน้อยถามขึ้น
อีอิ่นตอบว่า “เปิดโลกไร้ตัวตน หลบหนี”
เมื่อสิ้นเสียง…
“อะไรนะ!”
อย่าว่าแต่จวินอั้นเทียนและคนอื่นๆ ตกตะลึง แม้แต่อาจารย์อาวุโสเช่นซ่งเฉินฟางและลู่หมิงก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “สำนักศึกษาหลบหนีได้ด้วยหรือ!”
อีอิ่นพยักหน้า “ได้”
“ข้อแลกเปลี่ยนล่ะ?” อาวุโสมือกระบี่ถามอย่างมีไหวพริบ
อีอิ่นก็มิได้ปิดบัง “ข้าจะกลายร่างเป็นสำนักศึกษา กลายเป็นวิญญาณของสำนักศึกษา”
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้!” อาจารย์อาวุโสสำนักศึกษาต่างคัดค้าน!
อินสวินอี้กลับตะโกนขึ้น “พวกเจ้าดูนั่นสิ! ต้าซือมิ่งลืมตาแล้ว!”
ทุกคนมองไปที่ ‘ต้าซือมิ่งตัวน้อย’ ทันที แล้วพวกเขาก็เห็นว่าฝ่ายหลังลืมตาขึ้นจริงๆ แต่กลับเป็นดวงตาสีแดงสดเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม!
นี่มัน…