ตอนที่ 378 ความในใจของเทียนตี้ ร่างพลังแยกหรงอี้อยากขึ้นตำแหน่ง!
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เยี่ยนอวี๋ใช้พลังวิเศษดั้งเดิม เทียนตี้ที่จำศีลก็รับรู้แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาคิดว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาสะท้อน เพราะว่า… ในฐานะที่เป็นเทพสร้างโลกแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า กฎเกณฑ์และระเบียบมากมายต่างถูกบัญญัติโดยเยี่ยนอวี๋ กระทั่งสามารถบอกได้ว่านางก็คือกฎเกณฑ์และระเบียบดั้งเดิมที่สุดในสวรรค์เก้าชั้นฟ้า! ดังนั้นถึงแม้นางจะดับสูญไปแล้ว กฎเกณฑ์และระเบียบดั้งเดิมก็ยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้เทียนตี้จึงคิดว่าความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้เป็นเพียงปฏิกิริยาสะท้อน เพราะว่าความเคลื่อนไหวเชิงนี้เคยเกิดขึ้นหลังจากที่เยี่ยนอวี๋จากไป ตอนนั้นเขาและเหล่าทวยเทพตำหนักไท่ชางมักจะตามหาต้นตอของความเคลื่อนไหวนั้นอย่างมีความหวัง แต่แล้วก็มักจะต้องผิดหวังกลับมาทุกครั้ง
“ครั้งนี้คงไม่ใช่แล้ว” เทียนตี้มองรูปปั้น เขาสัมผัสได้เล็กน้อยว่า ‘ปฏิกิริยาสะท้อน’ ในครานี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ เพราะว่าหลังจากที่ ‘ปฏิกิริยาสะท้อน’ ครั้งนี้เกิดขึ้นแล้ว… กฎเกณฑ์และระเบียบสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่แต่เดิมกำลังจะเกิดใหม่อีกครั้งเหมือนกับว่าจะมีสัญญาณยกเลิก สัญญาณเช่นนี้แม้จะน้อยนิดมาก แต่ในฐานะที่เทียนตี้เป็นเทพอันดับหนึ่งของสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ถึงแม้เขาจะกำลังจำศีล แต่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานของจักรวาลก็เพียงพอที่จะทำให้เขาสะเทือนไหวแล้ว
“ข้าเคยคิดว่าในเมื่อกฎระเบียบกำลังเกิดใหม่แล้ว เจ้าคงจะตายไปแล้วจริงๆ พลังพึ่งพาตนเองของจักรวาลที่เจ้าสร้างขึ้นเป็นดังเช่นที่เจ้าต้องการ มันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่อย่างเสถียรและราบรื่น…” เทียนตี้พร่ำบ่นกับตนเองถึงตรงนี้… น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลงมา
ในฐานะที่เป็นเทพที่ดำรงอยู่ตั้งแต่แรกเริ่มการสร้างโลก เขาก็เหมือนกับเหล่าขุนเขาและท้องทะเลที่มีความผูกพันธ์ลึกซึ้งกับนาง! นางคือผู้หล่อเลี้ยงและบ่มเพาะพวกเขาจนเติบใหญ่เป็นเทพรุ่นแรกด้วยตัวนางเอง
หลังจากที่ผ่านศึกสงครามทวยเทพ สงครามเทพอสูร และสงครามแห่งกฎเกณฑ์มานับไม่ถ้วน จักรวาลจึงได้มาซึ่งความสงบสุข และในปีเดียวกันนั้นเอง เยี่ยนอวี๋ก็ตั้งคำว่า ‘เยี่ยน’ เป็นแซ่สกุลของตน ซึ่งหมายถึงความสันติและสงบสุข
“หลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้อาวุโสหลายท่านก็จากไปแล้ว” เทียนตี้ทอดถอนใจ “ข้าคิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ …เหล่าขุนเขาและท้องทะเลของเจ้าต่างแยกย้ายกันกลับไปเก็บตัว หากรู้ว่าเจ้ากลับมาเกิดใหม่แล้ว พวกมันคงจะทำให้สวรรค์ปั่นป่วนอีกครั้ง”
เมื่อเทียนตี้คิดถึงเหล่าอสูรขุนเขาและท้องทะเลที่มีหน้าตาอัปลักษณ์เฉพาะตัว ดุดันงดงามและเขาที่ถูกรุมมาหลายครั้ง อันที่จริงก็รู้สึกว่ามีความสุขดี เขาหวังว่าจะได้เห็นพวกมัน ‘ร่าเริง’ เช่นนี้อีกครั้ง
ทว่าเทพที่สามารถรับรู้ได้ว่าเยี่ยนอวี๋กลับมาเกิดใหม่เหมือนเทียนตี้นั้นหามีไม่ ถึงอย่างไรก็มีเพียงเขาที่ได้สัมผัสถึงจุดสูงสุดของเยี่ยนอวี๋
แต่เทียนตี้ไม่มีทางกลายเป็น ‘เยี่ยนอวี๋’ เพราะว่าเทพผู้สร้างโลกเป็นผู้ที่ไม่สามารถมีใครมาทดแทนได้! กฎระเบียบใหม่ก็จะเกิดขึ้นใหม่ เป็นกฎระเบียบที่สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ไม่สามารถควบคุมได้
แน่นอนว่าถึงแม้ว่ากฎระเบียบใหม่เกิดขึ้นแล้ว เยี่ยนอวี๋เทพีผู้สร้างโลกยังคงมีอิทธิพลมากมายต่อมัน เพราะการเกิดขึ้นของกฎระเบียบใหม่ก็มีพื้นฐานมาจากกฎระเบียบเก่า
“เยี่ยนอวี๋…”
ในขณะที่เทียนตี้ครุ่นคิด ความคิดมากมายก็แล่นผ่าน เขายืนอยู่บนยอดท้องพระโรง มองตำหนักน้อยใหญ่ท่ามกลางเมฆหมอก มองการเปลี่ยนแปลงเกิดแก่เจ็บตาย มองเหล่าทวยเทพที่กำลังกลับสวรรค์
…
เยี่ยนอวี๋ที่อยู่ในแดนมืดวิญญาณอสูรกลับไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย แต่ขณะที่นางใช้พลังดั้งเดิมนั้น นางก็รู้แล้วว่าเทียนตี้อาจจะรู้ว่านางกลับมาเกิดใหม่แล้ว
ส่วนลูกน้องเก่าของนาง นอกจากอิงหลงที่ได้เจอนางแล้ว บางทีมันอาจจะรู้หรืออาจจะไม่รู้ เพราะมันมีระดับขั้นไม่ถึง ทำได้เพียงรับรู้ตามสัญชาติญาณ แต่ซีซีรู้แล้วแน่นอน ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เยี่ยนอวี๋กังวลมากที่สุดในยามนี้ หลังจากที่นางปลอบเด็กน้อยเสร็จแล้วก็จับลูกไก่ไว้ในมือ กำลังจะถามว่า “เจ้า…”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าคว้าลูกไก่กลับมา เขาไม่ยอมให้ท่านแม่ของเขาจับ “แม่ ข้า!”
เยี่ยนอวี๋ยิ้ม “ใช่ แม่เป็นแม่ของเสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่าเรียกแม่อีกทีซิ ให้แม่ชื่นใจหน่อย” นี่ถือเป็น ‘ผลพลอยได้’
เด็กน้อยเรียก ‘แม่’ เพี้ยนตลอด แต่ตอนนี้ดีแล้ว ถูกยั่วโมโหจนพูดชัดเสียเช่นนั้น คำก็แม่สองคำก็แม่ เสียงที่เรียกนั้นช่างนุ่มนวลและหนักแน่น น่ารักน่าชังจริงๆ
“แม่…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพบว่าตนเองเรียกถูกแล้วก็เรียกท่านแม่ของเขาอีกครั้งอย่างไร้เดียงสา เสียงยิ่งนุ่มนวลและอ่อนหวาน เห็นได้ชัดว่ากำลังออดอ้อนท่านแม่
จิ๊บๆ ลูกไก่สีเหลืองนวลที่ส่งเสียงร้องก็จิกมือของเยี่ยนเสี่ยวเป่าสองสามทีเพื่อให้เขาปล่อยมือออก แต่มันจิกไม่แรง เพราะหรงอี้กำลังมองอยู่!
ลูกไก่ตัวสั่นมองหรงอี้แวบหนึ่งก่อนจะรีบมุดเข้าไปในมือของเด็กน้อย ไม่กล้ามองต้าซือมิ่งอีก เห็นได้ชัดว่ามันกลัว ‘พ่อไก่’ ท่านนี้มาก
ส่วนเยี่ยนอวี๋ที่อุ้มพลางปลอบเด็กน้อยก็ถามต่อว่า “เจ้าลูกเจี๊ยบ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“จิ๊บๆ! ดี!” ลูกไก่มุดหัวออกมาตอบเสร็จก็มุดกลับเข้าไป ในที่สุดก็ทำให้เจ้าตัวน้อยลดอคติลง เขากะพริบดวงตากลมโตมองมันแล้ว
แต่ว่า…
“แค่ก!”
อสูรตี้อั้นรับไม่ได้ “มัน… มัน ‘ฟัก’ ออกมาจากไข่ใบนั้นหรือ” ที่บอกว่ากลิ่นอายจักรพรรดิอสูร อาจจะเป็นจักรพรรดิอสูรน้อย เหตุใดจึงกลายเป็นลูกไก่อ่อนตัวหนึ่งล่ะ!
ตัวนี้น่ะหรือ…
ตี้อั้นลองใช้กระแสจิตสัมผัสดูแล้ว มันเป็นลูกไก่อ่อนแอตัวหนึ่งจริงๆ มันไม่ได้กลิ่นอายของจักรพรรดิอสูรจากฝ่ายตรงข้ามอีกแล้ว กระทั่งไม่รู้สึกเกรงกลัวอีกแล้ว!?
หรือว่ากลิ่นอายของจักรพรรดิอสูรรวมกันอยู่ในเปลือกไข่ใบนี้?!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ตี้อั้นก็มองเปลือกไข่เหล่านั้น จากนั้น…
จิ๊บ!
ลูกไก่สีเหลืองกระโดดออกจากมือของเยี่ยนเสี่ยวเป่าทันที ตอนนี้มันยืนอยู่ข้างหน้าเปลือกไข่พลางจ้องอสูรตี้อั้นตาเขม็งแล้ว จากนั้น…
อาการสั่นระริกอันแสน ‘คุ้นเคย’ กลับมาอีกครั้ง! ใช่แล้ว มันคือจักรพรรดิอสูรน้อย
แต่แล้วหลังจากที่ลูกไก่สีเหลืองตัวนี้มองอสูรตี้อั้นเสร็จแล้ว มันก็หันไปกินเปลือกไข่ของตนเองด้วยความรวดเร็วและช่ำชองมาก! ในที่สุดก็เปิดเผยศักยภาพของ ‘อสูรไม่ธรรมดา’ ออกมา
“อ้ะ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองลูกไก่สีเหลืองกำลังกินเปลือกไข่ เขาก็รู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองไปหยิบมากินสักชิ้น แต่ว่ามืออวบอ้วนของเขาเพิ่งจะยื่นออกไปก็ถูกท่านแม่ของเขาคว้าไว้แล้ว
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองท่านแม่ของเขาอย่างน่ารักน่าชัง “เป่า กิน?”
“แมวเหมียวจอมตะกละ เพิ่งกินข้าวอิ่มไม่ใช่หรือ” เยี่ยนอวี๋หยิกขาของเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะส่งเด็กกลับไปให้ท่านพ่อของเขาอีกครั้ง “ป้อนข้าวเขาอีกหน่อยเถอะ จะได้เลิกอยากกินอะไรที่ไม่สมควรกิน”
“ขอรับ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าตอบเองเสียก่อน เขาซบเข้าไปในอ้อมอกของท่านพ่อรอให้เขาป้อนข้าวแล้ว
ระหว่างนี้ลูกไก่สีเหลืองก็กินเปลือกไข่มากมายที่ตนเองทำแตกจนหมด ซึ่งเป็นเปลือกไข่ที่แข็งแรงมาก…
เอิ๊กกก…
ไก่อ่อนสีเหลืองเรอเสร็จก็นอนกางพุงอย่างพออกพอใจ มันยังขดขาทั้งสองข้างเข้าไปอย่างสบายๆ ราวกับลูกนกน้อยที่นอนตาย ‘ใบหน้า’ ของมันยังแสดงความพึงพอใจประหลาด
“สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิอสูรน้อย” อสูรตี้อั้นจึงคิดว่าลูกไก่ตัวนี้และเด็กน้อยคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่เก่งกาจตั้งแต่เล็ก มันคงหาเรื่องพวกเขาไม่ได้แล้ว
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนอวี๋ทั้งครอบครัวก็เข้าไปในเขตใจกลางแดนมืดวิญญาณอสูรแล้ว ผืนทรายที่แห้งแล้งโดยรอบกลายเป็นที่ราบสีน้ำตาลแดง รอบๆ ที่ราบมีภูเขาขนาดมหึมาเรียงทับซ้อนด้วยรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป บางลูกเป็นภูเขารูป ‘ซาน[1]’ ปกติ บางลูกกลับแยกออกเป็นหลายหน่อบนยอดเขา กลายเป็นรูปร่างคล้าย ‘ต้นไม้’[2]
ภูมิประเทศเช่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะของเขตใจกลางแดนมืดวิญญาณอสูร เนื่องจากการกัดกร่อนของพลังวิญญาณอสูร ภูเขาที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าเหล่านี้จะถูกกัดกร่อนกลายเป็นลักษณะแปลกประลาด หลงเหลือเพียงส่วนที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนที่ไม่สามารถกัดกร่อนได้จึงทำให้ภูเขาบางลูกดูเหมือนปะการังขนาดยักษ์
“ถึงใจกลางแดนมืดตามที่พวกเจ้าต้องการแล้ว ข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่” หลังจากที่อสูรตี้อั้นเสร็จสิ้นภารกิจแล้วก็อยากจะหนีพวกเขาไป
อย่าเห็นว่าก่อนหน้านี้มันตอบตกลงอย่างรวดเร็ว อันที่จริงมันเองก็หวาดกลัว เพราะมันรู้ดีว่าหากถูกพวกเดียวกันเห็นว่ามันบรรทุกคนหรือเทพ มันต้องถูกดูแคลน อาจจะไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว
“ได้” เยี่ยนอวี๋เองก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ “เจ้าไปเถอะ”
อสูรตี้อั้นไม่คิดเลยว่าเยี่ยนอวี๋จะตกลงง่ายๆ เช่นนี้ มันถึงกับชะงักเล็กน้อย “จะปล่อยข้าไปจริงๆ หรือ พวกเจ้าไหวหรือไม่ พื้นที่ในเขตใจกลางนั้นวุ่นวายกว่าข้างนอกอีกนะ พวกเจ้า… เอาเถอะ ไม่เกี่ยวกับข้าเสียหน่อย ข้าไปนะ!”
อสูรตี้อั้นที่ตั้งสติได้ก็กำลังจะหนี แต่แล้ว…
วี้ด!
วี้ด!…
เสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติดังขึ้นจากรอบข้าง ทำให้อสูรตี้อั้นไม่กล้าหนีไปไหน!
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนอวี๋และหรงอี้ก็เห็นว่ารอบกายพวกเขามีลมม้วนสีเลือดหมุนวนแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ และมันกำลังเคลื่อนตัวเข้าหาพวกเขา เหตุการณ์เช่นนี้…
“บ้าเอ๊ย! พายุมิติ!”
อสูรตี้อั้นตื่นตระหนก ถึงแม้มันจะมีปฏิกิริยาไวต่อมิติ สามารถหลบหลีกช่องว่างและความปั่นป่วนในมิติได้ แต่ความปั่นป่วนที่ก่อให้เกิดพายุมิติได้ย่อมไม่สามารถหลบหลีกได้ง่ายดายเช่นนั้น
“โชคร้ายขนาดนี้เลยหรือ! มาถึงก็เจอพายุมิติเลย!” อสูรตี้อั้นจะร้องไห้อยู่แล้ว ในขณะเดียวกันก็ตะโกนขึ้นอย่างผู้มีประสบการณ์ว่า “พวกเจ้ายืนนิ่งอยู่ทำไม รีบมากับข้า!”
ในขณะเดียวกัน ณ บริเวณหนึ่งในเขตใจกลางแดนมืด ดวงตาสีแดงโหดเหี้ยมคู่หนึ่งก็กำลังจ้องมองสถานที่ที่ครอบครัวเยี่ยนอวี๋ทั้งสามคนอยู่ เสียงอันเหี้ยมเกรียมดั่งเสียงพิณดังออกมาจากปากเขา “ทำลาย”
[1] อักษรซาน หรือภูเขา山
[2] อักษรซู่ หรือ ต้นไม้ 树