ตอนที่ 388 ท่านปู่ท่านย่าของเสี่ยวเป่า?
“หรงอี้!”
เยี่ยนอวี๋อุทานด้วยความตระหนก!
“ผสาน”
เสียงอันนุ่มนวลดุจเสียงเครื่องดนตรีกู่เจิงของต้าซือมิ่งกลับแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว
วิ้ง!
ยันต์ศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองปรากฏบนหน้าอกของเขาอย่างแจ่มชัดในจังหวะที่ต้าซือมิ่งผมแดงปล่อยมือลง ทำให้ ‘เขา’ และการจู่โจมทั้งหมดของ ‘เขา’ ถูกควบคุมไว้
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เจ้าตัวน้อยที่เพิ่งมุดออกมาจากอ้อมอกของท่านพ่อและท่านแม่ตะลึงงัน “พ่อ? พ่อปลอม?” พ่อสองคน? เหมือนกันมากเลย!
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่เพิ่งได้เห็นต้าซือมิ่งหัวแดงเป็นครั้งแรกก็ตะลึงกับความเท่ห์ของต้าซือมิ่งหัวแดงและต้าซือมิ่ง พวกเขาก็เหมือนกันราวกับแกะ ยกเว้นสีดวงตา สีผมและบุคลิก! ทำเอาเยี่ยนเสี่ยวเป่าเบิกตาโตมอง ‘พ่อ’ ทั้งสองไปมาไม่หยุด
เยี่ยนอวี๋อุ้มเด็กน้อยและพาลูกไก่และตี้อั้นถอยไปอยู่อีกฝั่งอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ต้าซือมิ่งแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ และนางยังกำชับต้าซือมิ่งว่า “ระวังตัวด้วย!”
“อืม” หรงอี้ขานตอบเบาๆ เขาหันไปมองร่างพลังของตนเอง ดวงตาสีแดงของฝ่ายหลังหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้น…
จู่ๆ ต้าซือมิ่งหัวแดงคนนี้ก็สลายไปดัง ปัง ทำเอาเด็กน้อยตกใจจนร้อง ‘อ้ะเนะ’ ออกมา! เยี่ยนอวี๋เองก็หรี่ตาลง “ยังไม่ใช่ ‘เขา’ ? เป็นเพียงภาพลวงตา!?”
“ใช่แล้ว” หรงอี้ยืนยัน ในขณะเดียวกันเขาก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศใช้นิ้วสลักยันต์ศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองรอบกายด้วยท่วงท่าอิสระ สีหน้าเคร่งขรึม
เยี่ยนอวี๋จึงรู้ทันทีว่าเขากำลังลงมือทำธุระสำคัญ นางจึงไม่เอ่ยรบกวนเขาอีก ในขณะเดียวกันนางก็กอดเด็กน้อยไว้แน่นและลอยตัวอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัย
ตี้อั้นมองรอบตัวที่มืดมิด มันกังวลมากว่าวงแหวนสีรุ้งที่คลุมพวกเขาไว้ชั้นนี้จะไม่มั่นคง หากโดนลอบจู่โจม มันอาจจะเป็นตัวที่ถูกฆ่าตัวแรกก็ได้ ถึงอย่างไรคนอ่อนแอกว่าก็ต้องถูกกำจัดก่อน มันยอมรับว่ามันเป็นคนที่ ‘อ่อนแอ’ ที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้ ส่วนเจ้าตัวน้อยสองคนนั่นแข็งแกร่งกว่าอสูรชั้นต่ำเช่นมันมากมายนัก
ในขณะที่ตี้อั้นคิดฟุ้งซ่านอยู่นั่นเอง ต้าซือมิ่งก็เริ่มสวดมนต์เป็นภาษาสันสกฤตโบราณออกมาเบาๆ ซึ่งเป็นบทสวดที่เยี่ยนอวี๋ไม่เคยได้ยินมาก่อน นางอดเลิกคิ้วงามของตนขึ้นไม่ได้ “มาจากที่ใดกัน”
เยี่ยนอวี๋สงสัย นางล่วงรู้ทุกอย่างในจักรวาลสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ต้าซือมิ่งคนนี้สร้างความรู้ใหม่ให้นางครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่เขาทำเป็นกลับมีหลายสิ่งที่นางไม่รู้เลยสักนิด
“อ้ะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าคิดว่าท่านแม่กำลังถามตน “แม่?”
เมื่อเยี่ยนอวี๋มองดวงตากลมโตแสดงความสงสัยของเด็กน้อย นางก็จูบเด็กน้อยเบาๆ และอธิบายเสียงเบาว่า “ไม่ได้ถามเจ้า แม่แค่กำลังคิดว่าท่านพ่อของเจ้ามาจากที่ไหน”
“?” ในหัวของเยี่ยนเสี่ยวเป่าปรากฏเครื่องหมายคำถามมากมาย จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะได้คำตอบว่า “พ่อ แม่ของพ่อ!”
เยี่ยนอวี๋ประหลาดใจ แต่ก็เข้าใจคำตอบของเด็กน้อย
เจ้าตัวน้อยกลับคิดว่าท่านแม่ของเขาไม่เข้าใจจึงใช้มืออวบอ้วนชี้พลางพูดว่า “คือว่า พ่อ แม่คลอดเป่า นั้น เป่ามากจากพ่อแม่ พ่อ ก็มาจากพ่อ แม่ของพ่อ?”
หลังจากคิดเรียบเรียงได้เช่นนี้แล้ว เด็กน้อยเองก็มึนงงไปเองแล้ว “พ่อ แม่ของพ่อ?” คือใคร? ทำไมเสี่ยวเป่าไม่รู้จักล่ะ เสี่ยวเป่าเคยเห็นแค่พ่อแม่ของแม่ แต่คำถามของเยี่ยนเสี่ยวเป่า เยี่ยนอวี๋ก็มิอาจให้คำตอบได้ อีกทั้งนางยังสงสัยว่าพ่อของเด็กน้อยคนนี้มีพ่อแม่หรือไม่ อย่างเช่นนาง อันที่จริงนางไม่มี นางเกิดขึ้นจากธรรมชาติ ดังนั้นเยี่ยนอวี๋ทำได้เพียงอธิบายว่า “หากท่านพ่อของเจ้ามีพ่อแม่ เช่นนั้นพวกเขาก็จะเป็นท่านปู่และท่านย่าของเจ้า แต่แม่เองก็ไม่เคยเห็น ต้องถามพ่อเจ้านะ”
เมื่อพูดจบ เยี่ยนอวี๋ก็เพิ่งพบว่าอันที่จริงนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนี้เลย นางไม่เพียงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขา อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเขามีครอบครัวหรือไม่ ถึงแม้นางเคยให้เม่ยเอ๋อร์สืบเกี่ยวกับคนๆ นี้ แต่กลับสืบอะไรไม่ได้เลย เวลาผ่านไปนางก็ค่อยๆ ยอมรับชายคนนี้ แต่กลับไม่เคยศึกษาเขาอย่างจริงจัง นางไม่เคยแม้แต่จะถามว่าเขามีครอบครัวหรือไม่ หรือเรื่องอื่นๆ ในจิตใต้สำนักของนางอาจจะมองว่าเขาเกิดขึ้นจากธรรมชาติเหมือนกับนาง
“ขอรับ!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ได้คำตอบก็กระจ่างในทันใด “ปู่ ย่า?” เด็กน้อยพูดคำว่าย่าได้อย่างถูกต้อง ดวงตาของเขาพลันโค้งหยาดเยิ้มเป็นพระจันทร์เสี้ยว หัวเราะ คิกๆ ออกมาแล้ว
“หัวเราะอะไรหรือ” เยี่ยนอวี๋ประหลาดใจ
“ขนมไหน่เกาเกา…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าคิดถึงขนมไหน่เกาหวานๆ เขาล้วงมือเข้าไปในถุงใบน้อยของตน ในนั้นมี ‘เสบียง’ น้อยๆ ที่ท่านพ่อเตรียมไว้ให้เขา
จากนั้นเด็กน้อยก็หยิบขนมไหน่เกาสีขาวผ่องชิ้นหนึ่งออกมาและเอาเข้าปากอย่างมีความสุข “ไหน่! หวาน! หอม! เป่า ชอบ…”
เยี่ยนอวี๋ “…”
เหมือนกับว่าเด็กน้อยจะเข้าใจคำว่า ‘ไหน่[1]’ ผิดไปนะ แต่เยี่ยนอวี๋ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรจึงคิดว่ารอให้เจอจริงๆ ก่อนค่อยว่ากันแล้วกัน
ขณะที่เยี่ยนอวี๋ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ นางก็คอยจับตามองต้าซือมิ่งตลอดเวลา นางพบว่าขณะที่ฝ่ายหลังสวดมนต์นั้น เขายังสลักลายลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ซับซ้อนกว่าเดิมออกมา
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะ” ตี้อั้นไม่เข้าใจ “เราควรจะรีบหาคนให้เจอ รีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วรีบกลับไม่ใช่หรือ ทำไมมานั่งเขียนยันต์โง่ๆ อยู่ตรงนี้และยังร้องเพลงอีกด้วย?”
ลูกไก่สีเหลืองไม่คิดมากเช่นนั้น มันเพียงคิดว่า “ดูดีจังเลย!”
ตี้อั้น “…”
เอาเถิด โลกของลูกพี่เป็นโลกที่ตัวน่าสงสารไร้ที่พึ่งเช่นเขาเข้าไม่ถึงอยู่แล้ว อันที่จริงจนถึงบัดนี้มันยังตั้งสติไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวที่มันพาบรรทุกมาเหตุใดจึงกลายเป็นครอบครัวจักรพรรดิอสูรไปหมด
ไม่เพียงจักรพรรดิอสูรน้อยมีความเกี่ยวโยงกับจักรพรรดิอสูร ทั้งตัวน้อยตัวใหญ่ล้วนเกี่ยวโยงกัน มันไม่เข้าใจเลยจริงๆ…
ปัญหาเหล่านี้ยังเกินกว่าขอบเขตของสมองที่ยังถือว่าฉลาดของมันจะคิดได้ ดังนั้นมันจึงตัดสินใจไม่คิดแล้ว อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ถึงอย่างไรมันก็คัดค้านอะไรไม่ได้
…
ในขณะเดียวกัน ปีศาจแฝงฝันที่ถูกนำตัวไปวังใต้ดินก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ทว่าคิเมียราไม่ได้อยู่ที่นั่น มันไปจัดการอสูรโง่เขลาเหล่านั้นแล้ว เมื่อจัดการอสูรโง่เขลาเหล่านั้นเสร็จ พวกมันจึงยอมแยกย้ายแต่โดยดี
ทว่าครั้นคิเมียรากำลังจะกลับเข้าไปในขุมนรกแห่งความมืดก็ถูกปีศาจแฝงฝันที่ปรากฏกายกลางอากาศดักไว้แล้ว “เมื่อครู่นี้เจ้าเป็นคนพาข้าออกมาหรือ” นางได้กลิ่นอายของคิเมียราบนตัวร่างตนเอง
“ใช่แล้ว” คิเมียราตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะทำท่าจะจากไปอย่างไม่อยากสนใจปีศาจแฝงฝัน
“ช้าก่อน!” ปีศาจแฝงฝันรั้งมันไว้ “พบอะไรผิดปกติหรือไม่ ข้าหมายถึงบริเวณที่ข้าสลบไปน่ะ”
“ไม่มี” คิเมียราตอบรวบรัด แต่ยังทิ้งท้ายว่า “เจ้าทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง ไม่ต้องไปขุมนรกแห่งความมืดมิดแล้ว ข้าและพิกซีจะไปเฝ้าที่นั่นเอง”
“ไม่ใช่นะ ข้า…” ปีศาจแฝงฝันที่อยากจะบอกว่า “ข้าไม่ได้ทำ” ก็คิดถึงบทลงโทษก่อนหน้านี้ของฝ่าบาท ทำให้นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีจึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “เรื่องไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น ไม่ใช่ฝ่าบาทลงโทษข้า ข้าจึงสลบไป แต่ข้าถูกขุมนรกแห่งความมืดจู่โจม”
“หมายความว่าอย่างไร” คิเมียราที่มีสมองไม่พอใช้ไม่เข้าใจ
ปีศาจแฝงฝันรู้ว่าแม้ฝีมือการต่อสู้ของคิเมียราจะแข็งแกร่งกว่านาง แต่มันไม่ค่อยฉลาดนัก นางจึงอธิบายอย่างละเอียดว่า “ตอนนั้นข้ากล่าวลาฝ่าบาทไปแล้ว กำลังจะออกจากที่นั่น แต่จู่ๆ ขุมนรกแห่งความมืดก็จู่โจม เหมือนกับว่ายังควบคุมข้าไว้ด้วย ข้ากังวลว่าฝ่าบาทอาจจะตกอยู่ในอันตราย เพราะว่าการจู่โจมครั้งนี้ของขุมนรกแห่งความมืดทำให้ข้ารู้สึกต่างออกไป ข้าก็เลยถามเจ้าว่าพบสิ่งผิดปกติอะไรหรือไม่ ฝ่าบาทยังสบายดีหรือไม่”
“ข้าไม่เห็นฝ่าบาทและก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ” เมื่อคิเมียราพูดจบ มันยังเตือนว่า “พิกซีก็คิดว่าเจ้าทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง เจ้ากลับไปพักผ่อนดีกว่า”
“ไม่ใช่…” ปีศาจแฝงฝันอธิบายอย่างไรมันก็ไม่เข้าใจ “ข้าจะไปถามพิกซีเอง”
คิเมียราก็ไม่ได้ห้ามไว้ ทว่ามันเองก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแต่เมื่อมันและปีศาจแฝงฝันเข้าไปถึงบริเวณขุมนรกแห่งความมืดแล้ว ทั้งสองก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป!
พิกซีที่บินออกมาก็พูดด้วยความระแวดระวังว่า “ขุมนรกแห่งความมืดผิดปกติไป พวกเราเตรียมตัวให้ดี”
“มีความเคลื่อนไหวผิดปกติจริงๆ ด้วย!” ปีศาจแฝงฝันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าขอลงไปดูเอง เผื่อว่าฝ่าบาทจะเป็นอะไรไป”
“ไม่ได้!” พิกซีกลับห้าม “เจ้าทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง ไม่สมควรลงไป เจ้าและคิเมียราเฝ้าที่นี่ ข้าจะลงไปเอง”
“แต่ว่า…” ปีศาจแฝงฝันอยากจะพูดอะไร แต่พิกซีก็ไม่พูดพล่ามอีก มันหายวับเข้าไปเหลือเพียงเงาภาพ
และในขณะเดียวกันนั้น…
ทั่วทั้งบริเวณที่ขุมนรกแห่งความมืดแผ่รังสีออกมากลับปรากฏแสงสีแดงเลือนราง! แสงสีแดงนั้นกระจุกตัวแน่นหนากันในขุมนรกแห่งความมืด ส่วนเหนือขุมนรกยังถือว่ามีไม่มากนัก ดังนั้น…
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ตี้อั้นมองขุมนรกแห่งความมืดที่กลายเป็นสี ‘แดง’ อย่างงงงวย
เยี่ยนอวี๋เดาบางอย่างได้ นางมองไปที่ชายที่ยังคงเขียนยันต์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ไม่ไกลอย่างตกใจ บัดนี้เขาไม่ได้สวดมนต์แล้ว แต่กำลังสลักยันต์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเร็วยิ่งกว่าเดิม
หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนอวี๋มีสายตาเฉียบคม นางคงไม่อาจเห็นท่าทางของชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นเจ้าตัวน้อยที่มองไม่ชัดในตอนนี้ “อ้ะ? พ่อข้า?” ทำอะไรอยู่น่ะ เสี่ยวเป่าเวียนหัวไปหมดแล้ว!
เยี่ยนอวี๋หรี่ตาลงเล็กน้อยพูดว่า “เกรงว่าเขากำลังอัญเชิญ ‘เขา’ ” หากนางรับรู้ได้ถูกต้อง ชายคนนี้คงกำลังอัญเชิญ ‘ร่างพลัง’ ของตนเอง
หากเป็นเช่นนี้… แสงสีแดงเหล่านี้คงหมายถึง…
———————————————
[1] ขนมไหน่เกา พ้องเสียงกับคำว่า ไหน่ไน ที่แปลว่าย่าในภาษาจีน