ตอนที่ 390 เป็นเทพหรือเป็นมาร ต้าซือมิ่งกำหนดเอง!
ทั่วทั้งขุมนรกแห่งความมืดเต็มไปด้วยเสียงคำรามในบัดนี้
กรร!
โฮก…
เสียงคำรามที่ดังขึ้นต่อเนื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนล้วนตระหนักได้ว่าในขุมนรกแดนมืดราวกับรวบรวมอสูรร้ายโหดเหี้ยมทุกรูปแบบไว้ อย่างน้อยพิกซีที่บินลงไปในขุมนรกแห่งความมืดก็คิดเช่นนี้ ทว่ามันที่ค่อยๆ ดำดิ่งลงไปก็พบว่าตนเองถูกแสงสีม่วงเจิดจ้ากั้นไว้แล้ว?!
“นี่มัน…” พิกซีอ้อยอิ่งอยู่พักใหญ่ มันได้กลิ่นอายของจักรพรรดิอสูรของพวกมัน แต่ก็ได้กลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งด้วย!?
“เหตุใดจึงมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์?” พิกซีไม่เข้าใจ ในขุมนรกแห่งความมืดกลับมีคลื่นกระแสน้ำพุ่งออกมา เสียงคำราม กรร ดังขึ้นไม่หยุด ทำเอาชั้นสีม่วงอร่ามสั่นสะเทือนไม่หยุด
เสียงสวดภาษาสันสกฤตโบราณดังขึ้นพร้อมกัน เสียงนั้นดังก้องไปทั่ว ยิ่งเสียงนั้นดังขึ้นเท่าไหร่แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ทำเอาสนั่นหวั่นไหวไปทั่วขุมนรกแห่งความมืดราวกับเป็นเสียงเพลงของเทพธิดาที่คลอเคล้าไปด้วยสียงบรรเลงเพลงสันสกฤต
แต่หากตั้งใจฟังก็จะรู้ได้ว่าความจริงแล้วเป็นเพียงเสียงที่กำลังสวดท่องภาษาโบราณของผู้เก่งกาจไร้เทียมทาน เสียงราวกับพิณและเส้อ[1]บรรเลงเหมือนขับร้องและสวดท่องเป็นทำนองด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว
ในขณะเดียวกัน…
“ผนึกแล้ว”
เยี่ยนอวี๋เพิ่งรู้ว่าขณะที่ต้าซือมิ่งกำลังสลักยันต์ศักดิ์สิทธิ์นั้น เขายังผนึกทางเข้าขุมนรกแห่งความมืดไปพร้อมกันด้วย
แม้ขุมนรกแห่งความมืดจะไร้ขอบเขต แต่ทางเข้ามีเพียงหนึ่ง นั่นก็คือใต้พระจันทร์สีเลือด ในหุบเขาปีศาจซึ่งก็คือตำแหน่งข้างหลังของวังจักรพรรดิแห่งนี้ หรือบางทีเขาอาจจะผนึกทางเข้าไว้ตั้งแต่ที่พวกเขาลงมาแล้ว แต่นางกลับไม่รู้ตัวเลย?
“จิ๊บๆ” ลูกไก่สีเหลืองถามอย่างเป็นกังวล “นายท่านเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ”
เยี่ยนอวี๋สั่นศีรษะ “ไม่หรอก” ดูจากสภาพตอนนี้ของต้าซือมิ่งแล้วราวกับว่าทุกอย่างยังคงปกติดี ถึงแม้เขาจะสูญเสียพลังไปมากก็ตาม แต่เขาสามารถดูดกลืนพลังของขุมนรกแห่งความมืดได้ ดังนั้นแม้เขาจะสูญเสียพลังไปมาก แต่พลังเติมเต็มของเขาไม่มีปัญหา ตอนนี้สิ่งที่นางสงสัยคือ ‘ค่ายกล’ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาราวกับกลายเป็นภาษาโบราณแน่นหนาจะสามารถเรียก ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้นที่ผสานรวมกับขุมนรกแห่งความมืดออกมาได้จริงๆ หรือ
เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่มีความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้ เขายังคงนอนหลับปุ๋ยและยังดูดปากตัวเองเป็นครั้งคราว ราวกับฝันว่ากำลังกินขนมอยู่
แต่แล้ว…
วิ้ง!
แสงสีแดงนับไม่ถ้วนผสานรวมเป็นหนึ่ง! ขุมนรกแห่งความมืดทั้งขุมพลันกลายเป็นขุมนรกสีแดง
“อ้ะเนะ!”
เด็กน้อยสะดุ้งตื่นจากความฝันทันที เขากอดคอท่านแม่ของเขาไว้แน่นด้วยสัญชาติญาณเพราะเขาได้กลิ่นอายของ พ่อ ‘ตัวปลอม’ อันเข้มข้นคนนั้นแล้ว! “พ่อปลอม! ร้าย อย่ามา!”
“เสี่ยวเป่าไม่กลัว” เยี่ยนอวี๋ที่คิดว่าเด็กน้อยฝันร้ายก็ลูบหลังเด็กน้อยเบาๆ และคอยจับตามองต้าซือมิ่งที่แทบจะถูกลวดลายอักษรศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นคลุมหมดทั้งตัวแล้ว
เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับกอดท่านแม่ของเขาไว้แน่น ดวงตากลมโตของเขาสอดส่ายไปรอบทิศ เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายแต่ก็คุ้นเคยนั่นได้จากแสดงสีแดงเหล่านั้น “พ่อปลอม?”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋เพิ่งรู้ว่าเด็กน้อยตื่นจริงๆ นางจูบขนอ่อนบนศีรษะเด็กน้อยเบาๆ “เสี่ยวเป่าเห็นอะไรหรือ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าส่ายหน้าจ้ำม่ำของตน “มอง ไม่เห็น”
“เดี๋ยวสิ เราควรถอยออกไปมิใช่หรือ” ตี้อั้นเสนอขึ้นอย่างวิตกกังวล มันไม่เข้าใจเลยว่าในเมื่อที่นี่อันตรายเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่หนีไป
ลูกไก่สีเหลืองก็พูดจาเหยียดหยามมัน “นายท่านยังอยู่ที่นี่เลย พวกเราไปแล้วใครจะมาปกป้องนายท่านเล่า”
“…ไม่ใช่สิ จักรพรรดิอสูรยังต้องมีคนปกป้องอีกหรือ” ตี้อั้นไม่เข้าใจ ขุมนรกแห่งความมืดถูกจักรพรรดิอสูรทำจนเป็นเช่นนี้แล้ว จักรพรรดิอสูรยังต้องมีคนคอยพิทักษ์อีกหรือ
“อะไรก็เกิดขึ้นได้” ลูกไก่สีเหลืองพูดพลางจะบินลงบน ‘ศีรษะล้าน’ ของเด็กน้อย แต่เสียดายที่มันยังไม่ทันทรงตัวได้ก็ถูกเด็กน้อยไล่ออกไป “ไม่ได้! ห้ามเล่นหัว!”
ลูกไก่สีเหลืองจึงรีบลงมาอยู่บนไหล่ของเด็กน้อย “ข้าแค่คิดว่าหัวโล้นน้อยๆ ของเจ้าใหญ่ดี ข้ายืนง่ายหน่อย”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าโมโหขึ้นมาทันที “ไม่ใช่! หัวโล้นน้อยๆ!”
“อ้อๆๆ หัวโล้นใหญ่ๆ”
“ไม่ใช่!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไล่ลูกไก่สีเหลืองออกไปอย่างถมึงทึง “ไม่เล่นกับเจ้า ไปเล่นเอง”
ทุกครั้งที่โมโห เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็จะพูดจาได้คล่องแคล่ว เขาเองยังไม่เห็นว่าลูกไก่ตัวนี้ยังมี ‘ประโยชน์’ เช่นนี้อยู่ด้วย แต่เยี่ยนอวี๋กลับเห็นแล้วเพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีเวลามาหยอกล้อลูก เพราะนางสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายโหดเหี้ยมรอบๆ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่า ‘ร่าง’ ของ ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้นกำลังจะปรากฏตัวแล้ว!
และในขณะเดียวกัน ‘ค่ายกล’ ที่ต้าซือมิ่งสร้างขึ้นใกล้จะผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว แดนมืดวิญญาณอสูรก็สั่นสะเทือนไม่หยุดเพราะความไม่สงบในขุมนรกแห่งความมืด
จอมมารโง่เขลาแปดตนก็ถูกปีศาจแฝงฝันส่งตัวออกไปคุมประพฤติ ส่วนนางก็อดที่จะลงไปในขุมนรกแห่งความมืดไม่ได้ทว่านางก็ถูกสกัดกั้นไว้ที่ทางเข้าขุมนรกแห่งความมืดเหมือนกับพิกซี
“เกิดอะไรขึ้น” ปีศาจแฝงฝันสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ทำไมแสงศักดิ์สิทธิ์จึงแน่นหนาเช่นนี้ อีกทั้งสียัง… หรือว่าปฐมราชินีหยวนชูมาแล้ว!?”
“เป็นไปไม่ได้ พวกเราเฝ้าที่นี่อยู่ตลอด” พิกซีพยายามสืบข่าวสถานการณ์ด้านในของขุมนรกแห่งความมืดอยู่ตลอด มันจึงยังไม่ได้ออกไป แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์นัก
แต่แล้วปีศาจแฝงฝันก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา “หากแท้จริงแล้วนางคือ ‘จักรพรรดินี’ ที่เข้ามาพร้อมจักรพรรดิล่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงของพิกซีไม่ค่อยดีนัก “เจ้าคิดว่าฝ่าบาทไม่สามารถแยกแยะได้หรือว่านั่นคือปฐมราชินีหยวนชูหรือไม่ ทั้งยังพานางมาทำลายถิ่นของตนเองเช่นนี้”
“ข้า…” ปีศาจแฝงฝันหมายความเช่นนี้จริงๆ
แต่เรื่องนี้กลับทำให้พิกซีเดือดดาล “เจ้าปีศาจแฝงฝัน เจ้าช่างโอหังมากขึ้นทุกที! ฝ่าบาทยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้ากลับคิดว่าตนเองรู้ดีกว่าฝ่าบาทหรือ”
“ข้ามิบังอาจ!” สีหน้าปีศาจแฝงฝันไม่สู้ดีนัก “ข้าแค่กังวลว่าปฐมราชินีหยวนชูคนนั้นเจ้าเล่ห์เกินไป ตอนนั้นสิบสองเทพมารของเผ่าเราก็ถูกนางไล่อออกจากแดนมืดวิญญาณอสูรแล้วถูกฆ่าทิ้งมิใช่หรือ”
“แต่บรรพบุรุษของพวกเรากลับไม่มีใครสักคนที่สามารถไปมาอย่างอิสระในขุมนรกแห่งความมืดหรือกระทั่งสร้างวังจักรพรรดิอสูรข้างขุมนรกแห่งความมืดได้เช่นฝ่าบาท” พิกซียิ่งมั่นใจว่าปีศาจแฝงฝันทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองจริงๆ
ปีศาจแฝงฝันที่ถูกแย้งกลับจนพูดอะไรไม่ออกก็พูดเพียงว่า “ข้าแค่เป็นห่วงฝ่าบาท”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรเป็นห่วงฝ่าบาทรึ” ดวงตาสีเขียวของพิกซีราวกับมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง มันกวาดตามองปีศาจแฝงฝัน “เจ้ามีความคิดที่ไม่สมควรต่อฝ่าบาท”
เรื่องนี้ปีศาจแฝงฝันมิอาจปฏิเสธได้ “ใช่แล้ว ฝ่าบาทคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเผ่ามารของเรา ข้าปีศาจแฝงฝันเลื่อมใสกระทั่งรักในตัวเขา ก็ได้ บางทีข้าอาจจะอิจฉา ทำให้ข้ามีใจคิดอคติ หลังจากเรื่องนี้ ข้าจะปลีกวิเวกตนเอง”
“ถือว่ายังไม่สาย” พิกซีมองกลับไปที่ขุมนรกแห่งความมืดด้านล่าง ถึงแม้มันยังคงไม่เห็นอะไร แต่มันก็ไม่เลิกสำรวจ
ปีศาจแฝงฝันไม่กล้าพูดอะไรอีก มันเฝ้ารออยู่ที่นั่นพยายามสงบสติอารมณ์ ภาพใบหน้าอันวิจิตรงดงามของเยี่ยนอวี๋กลับลอยเข้ามาในความคิดของมัน มันรู้สึกคุ้นเคยแต่ก็คิดไม่ออกว่าคือใคร
…
ในขณะเดียวกัน!
“ปรากฏ”
ต้าซือมิ่งที่ในที่สุดก็หยุดเขียนอักษรศักดิ์สิทธิ์ เขาเปล่งเสียงเบาๆ ออกมา
และเมื่อเสียงนี้ดังขึ้น…
วิ้ง!
อักษรศักดิ์สิทธิ์แน่นหนาเหล่านั้นจู่ๆ ก็ระเบิดกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยการเวียนว่ายตายเกิด กระทั่งลึกลับและยิ่งใหญ่กว่านั้นออกมา!
ชั่วจังหวะนั้นเอง เยี่ยนอวี๋รู้สึกราวกับเห็นโลกทั้งใบแตกสลาย มันกำลังพังทลายและสูญสิ้น ทำให้นางหวาดหวั่น ในขณะเดียวกัน…
“…”
แสงสีเลือดนับพันถูกปลดปล่อยออกจากขุมนรกแห่งความมืดราวกับว่าเพียงเสียงนั้นเสียงเดียวก็เต็มไปด้วยพลังกฎเกณฑ์ที่แม้แต่ขุมนรกแห่งความมืดก็ไม่สามารถต้านทานได้ หรือบางที ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้นก็คงไม่สามารถต้านทานได้ ดังนั้นเมื่อแสงสีเลือดรวมตัวกันเป็น ‘ต้าซือมิ่ง’ ผมแดงในชุดสีขาวพร้อมด้วยดวงตาสีแดงสดปรากฏขึ้นที่ด้านหน้า เยี่ยนอวี๋ก็รู้ทันทีว่านี่คือ ‘ร่างพลัง’ ที่แท้จริงแล้ว
ทว่าเห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายของ ‘ร่างพลัง’ นี้ยิ่งใหญ่เกินไป! เหมือนกับว่าจะเกินกำลังของต้าซือมิ่งไปมาก!?
นี่มัน…
“ระวัง!”
เยี่ยนอวี๋ตะโกนด้วยสัญชาติญาณ นางกลัวว่าต้าซือมิ่งจะเสียท่า!
แต่แล้ว…
เมื่อเสียงเตือนของนางดังขึ้น นางก็เห็นว่า ‘ต้าซือมิ่ง’ หัวแดงที่เพิ่งก่อตัวขึ้นนั้นยกมุมปากจนเกิดเป็นรอยยิ้มอันน่ากลัวและเดินไปทางต้าซือมิ่ง
ในขณะนั้นเองต้าซือมิ่งก็ดึงมือกลับมาและมองไปที่ ‘ร่างพลัง’ ของตนเอง เขายังไม่ทันตั้งสติได้ด้วยซ้ำ ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้นก็เดินหายเข้าไปในร่างของเขาแล้ว
ครานี้เอง…
“หรงอี้!”
ไม่เพียงเยี่ยนอวี๋เท่านั้นที่อุทานเสียงหลง
“พ่อ!”
เจ้าตัวน้อยก็หวาดวิตกเช่นกัน “ร้าย! พ่อปลอม ออกไป!”
น่าเสียดาย…
‘ต้าซือมิ่ง’ หัวแดงไม่ฟังใครเลย เขาไม่หยุด และเดินเข้าไปในร่างของต้าซือมิ่งแล้ว
ในขณะเดียวกัน
ฟู่!
ผมของต้าซือมิ่งพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
———————————————
[1] เส้อ เครื่องดนตรีชนิดเครื่องสาย ที่สืบทอดต่อกันมาเหลือเพียงสองแบบ ได้แก่แบบยี่สิบห้าสายและแบบสิบหกสาย